‘กรุงเทพประกันชีวิต’ ขายหุ้น IPO กันยายนนี้

‘กรุงเทพประกันชีวิต’ หรือ BLA พร้อมขายหุ้น IPO เดือนกันยายนนี้ ราคาระหว่าง 12.5-14 บาท ผู้บริหารมั่นใจนักลงทุนตอบรับดี ชูผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกกำไรเติบโต 58% ด้วยจุดแข็งขายประกันผ่านแบงก์กรุงเทพ พร้อมเดินหน้ามุ่งขยายเครือข่ายและพัฒนาคุณภาพตัวแทน

นายชาญ วรรธนะกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)หรือ BLA เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมที่จะเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 200 ล้านหุ้น ภายในเดือนกันยายน 2552 โดยกำหนดราคาเสนอขายหุ้นอยู่ระหว่าง 12.50–14.00 บาท และพร้อมนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในไตรมาสที่ 3 ปีนี้ ซึ่งเงินที่ได้จะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและเพิ่มเงินกองทุนของบริษัทให้แข็งแกร่ง สร้างความน่าเชื่อถือต่อคู่ค้าและรองรับการขยายตัวของธุรกิจในอนาคต

“บริษัทฯร่วมหารือกับที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายฯ มีความเห็นสอดคล้องกันว่า ภาวะแวดล้อมในปัจจุบันมีความเหมาะสม และน่าจะช่วยให้การเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปประสบผลสำเร็จด้วยดี เป็นที่คาดการณ์ของสถาบันทั่วไปทั้งภาครัฐและภาคเอกชนว่า ภาวะเศรษฐกิจได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้น และยังมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวต่อเนื่องอย่างมีเสถียรภาพ ภาวะการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ในระยะที่ผ่านมาก็ได้สะท้อนภาพดังกล่าวและบ่งบอกถึงความมั่นใจของนักลงทุนได้เป็นอย่างดี อีกทั้งผลประกอบการของบริษัทเองก็มีการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง ทำให้มั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน”นายชาญ กล่าว

ขณะเดียวกันในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้นำเสนอข้อมูลให้กับนักลงทุนสถาบันหลายแห่งปรากฎว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และในสัปดาห์หน้าบริษัทฯ จะนำเสนอข้อมูลให้กับนักลงทุนรายย่อย ซึ่งก็มั่นใจว่าจะได้รับความสนใจเช่นเดียวกัน

สำหรับกลยุทธ์การตลาดในปี 2552 บริษัทฯยังคงมุ่งเน้นการยายเครือข่ายและพัฒนาคุณภาพตัวแทน การพัฒนาประสิทธิภาพการขยายตลาดผ่านธนาคาร และการให้ความสำคัญกับการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายและความต้องการของลูกค้า นอกจากนี้บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญอย่างมากกับการสร้างความรู้ความเข้าใจและทัศนคติที่ดี ทั้งกับตัวแทนขาย และลูกค้า เพื่อให้การขายเป็นไปด้วยความรู้ความเข้าใจของทั้งสองฝ่าย ซึ่งจะช่วยให้งานที่ได้มีคุณภาพ อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า และช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของบริษัทและธุรกิจประกันชีวิตโดยรวมอีกด้วย

โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีช่องทางในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายหลักด้วยกัน 2 ช่องทาง ได้แก่ ช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านตัวแทน ซึ่ง ณ สิ้นปี 2551 บริษัทฯ มีจำนวนตัวแทนทำงานทั้งสิ้น 12,214 คน และช่องทางการจำหน่ายผ่านธนาคารซึ่งมีธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เป็นพันธมิตร โดยในปี 2551 มีเบี้ยรับรวมผ่านช่องทางการจำหน่ายผ่านตัวแทน 61.85% ผ่านธนาคาร 33.15% และช่องทางอื่น 5%

ส่วนทางด้านผลการดำเนินงานนั้น ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2552 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 790 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.61% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นผลมาจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของเบี้ยประกันภัย ทั้งเบี้ยประกันปีต่ออายุและเบี้ยประกันใหม่

“ครึ่งปีแรกบริษัทฯ มีเบี้ยประกันภัยรับรวมสุทธิ 9,423 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนถึง 43.43% ขณะเดียวกันบริษัทฯ ก็มีรายได้จากการลงทุนรวม 1,490 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.12% จากปีก่อน คิดเป็นผลตอบแทนจากการลงทุนประมาณ 5.8% ทรัพย์สินของบริษัท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเงินลงทุนในพันธบัตร และตราสารหนี้ระยะยาวที่มีความมั่นคง เพิ่มขึ้นจาก 51,481 ล้านบาทเมื่อสิ้นปี 2551 มาเป็น 58,425 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2552 ซึ่งมีส่วนช่วยให้เพิ่มการประหยัดทางขนาด และมีความสามารถในการทำกำไรเพิ่มขึ้น ในขณะที่บริษัทฯ ก็สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้ค่อนข้างดี” นายชาญ กล่าว

สำหรับนโยบายการจ่ายเงินปันผลนั้น บริษัทฯ มีนโยบายที่จะเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่า 25% ของกำไรสุทธิหลังจากหักภาษีในแต่ละปีที่มีผลกำไรจากการดำเนินงาน แต่จะต้องไม่มีขาดทุนสะสมในส่วนของผู้ถือหุ้น

กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.กรุงเทพประกันชีวิต กล่าวด้วยว่า ภาพรวมธุรกิจประกันชีวิตถือว่ามีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นทุกปีเนื่องจากธุรกิจประกันชีวิตมีการชำระเบี้ยประกันระยะยาว ทำให้รายได้ของบริษัทมีความมั่นคงและผันผวนค่อนข้างน้อย โดยในปี 2551 ธุรกิจประกันชีวิตมีเบี้ยประกันภัยรับรวม 221,969 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.09% เมื่อเทียบกับปี 2550 โดยปัจจุบันมีบริษัทที่ประกอบธุรกิจประกันชีวิตในประเทศรวมทั้งหมด 25 แห่ง โดยในปี 2551 บริษัทฯ มีส่วนแบ่งตลาดของเบี้ยประกันภัยปีแรก 8.01% เพิ่มขึ้นจากปี 2550 ที่อยู่ในระดับ 6.37% ซึ่งถือเป็นอันดับที่ 6 ของประเทศ

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะเป็นหนึ่งในบริษัทประกันชีวิตและสถาบันการเงินชั้นนำในประเทศไทย ที่มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยไม่ต่ำกว่าอุตสาหกรรม โดยใช้ช่องทางจัดจำหน่ายผ่านตัวแทน และผ่านธนาคาร เป็นหลัก อีกทั้งยังมีระบบการจัดการที่ดี โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ เป็นสถาบันการเงินที่มีส่วนช่วยระดมเงินออมในระยะยาว เพื่อพัฒนาประเทศ