แสนสิริ ตอกย้ำเจตนารมณ์การขึ้นเป็นผู้นำตลาดที่อยู่อาศัยครบวงจร ด้วยการเพิ่มทุนจดทะเบียนครั้งใหญ่เท่าตัว จากเดิม 6,307 ล้านบาท เป็น 12,612 ล้านบาท ภายในปีนี้ พร้อมออก Warrant ให้ผู้ถือหุ้นเดิม ในอัตรา 2 ต่อ 1 ซึ่งจะส่งผลให้ทุนจดทะเบียนเพิ่มขึ้นรวมเป็น 15,766 ล้านบาท เตรียมขออนุมัติผู้ถือหุ้น 6 พฤศจิกายน 2552 เผยการมีปริมาณยอดขาย (Pre-Sale backlog) สูงสุดในระบบถึง 18,000 ล้านบาท และการขยายฐานทุนให้มั่นใจจะช่วยตอกย้ำความเป็นผู้นำอันดับหนึ่งของตลาดที่อยู่อาศัยที่ครบวงจรที่สุดในประเทศไทยได้
นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 23 กันยายนที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ฯ ครั้งที่ 7/2552 ได้มีมติอนุมัติให้นำหุ้นสามัญที่ออกใหม่ (ภายใต้มติที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2550 เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2550) จำนวน 1,473,000,000 หุ้น มาจัดสรรให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) ซึ่งอาจเป็นนักลงทุนในประเทศและ/หรือต่างประเทศ ในราคาไม่ต่ำกว่าหุ้นละ 4.28 บาท และไม่ต่ำกว่าร้อยละ 90 ของราคาตลาดของหุ้นบริษัทที่คำนวณตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องก่อนวันที่เสนอขาย ซึ่งอาจจะเป็นการขายทั้งหมดในคราวเดียว หรือ แบ่งขายเป็นคราวๆ ก็ได้ โดยมอบหมายให้คณะกรรมการ หรือ บุคคลที่คณะกรรมการมอบหมายเป็นผู้กำหนดรายละเอียด พร้อมกันนี้ ยังได้อนุมัติออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท (Warrant) จำนวน 736,814,346 หน่วยเพื่อจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท ตามสัดส่วนการถือหุ้นในอัตราส่วน 2 หุ้นเดิมต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ ราคาใช้สิทธิ์ 5.20 บาทต่อหุ้น โดยจะเป็นการจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมโดยไม่คิดมูลค่า ซึ่ง Warrant นี้จะจัดสรรให้แก่เฉพาะผู้ถือหุ้นเดิมเท่านั้น สำหรับผู้ถือหุ้นรายใหม่ที่ซื้อหุ้นเพิ่มทุนจะไม่ได้รับ Warrant ที่ออกในคราวนี้ โดยกำหนดวันให้สิทธิผู้ถือหุ้น (Record Date) ที่จะได้รับ Warrant ดังกล่าวและที่จะเข้าร่วมประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัทเพื่ออนุมัติแผนทั้งหมด ในวันที่ 9 ตุลาคม 2552 นี้ ส่วนการประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ จะจัดให้มีขึ้นในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2552 ที่โรงแรมพูลแมน ถนนรางน้ำ กรุงเทพฯ
“เราจะเห็นได้ค่อนข้างชัดเจนว่า ช่วงที่ผ่านมาตลาดที่อยู่อาศัยเติบโตในแนวทางที่ ตลาดเป็นของผู้ประกอบการรายใหญ่เพียงไม่กี่ราย นอกจากนี้ส่วนแบ่งการตลาดของผู้ประกอบการรายใหญ่ในกลุ่มดังกล่าวก็มีอัตราการเติบโตที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ สอดคล้องกับการที่ผู้บริโภคเองก็เลือกที่จะเชื่อมั่นในแบรนด์ผู้ประกอบการที่มีความน่าเชื่อถือ ซึ่งการสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งก็เป็นแนวทางที่แสนสิริได้ทำมาโดยตลอด ดังนั้นนอกเหนือไปจากปัจจัยที่กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว การเพิ่มทุนจดทะเบียนในครั้งนี้จะทำให้บริษัทมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้นเป็นอย่างมาก และจะเป็นพื้นฐานที่สำคัญมากอีกส่วนหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มโอกาสให้กับบริษัทในการขยายธุรกิจให้ครบวงจรและครอบคลุมทุกเซ็กเมนท์ ทั้งในส่วนตลาดในประเทศและต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีวินัยมากขึ้น” นายเศรษฐา กล่าว
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัทแสนสิริในช่วงต่อไป มีกลยุทธ์หลัก ที่จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้การดำเนินธุรกิจมีความแข็งแกร่งและประสบความสำเร็จ ได้แก่ ประการแรกคือการสานต่อการสร้างแบรนด์สินค้าให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ทั้งโครงการบ้านจัดสรรภายใต้แบรนด์เศรษฐสิริสำหรับโครงการบ้านระดับราคา 6 ล้านบาทขึ้นไป แบรนด์บุราสิริสำหรับโครงการบ้านระดับราคา 5 ล้านบาทขึ้นไป และแบรนด์สราญสิริสำหรับโครงการบ้านระดับราคาเริ่มต้นประมาณ 3 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีโครงการคอนโดมิเนียมระดับพรีเมี่ยมที่จะเกิดขึ้นอีกหลายโครงการ ประการที่สองคือการที่แสนสิริมียอดขายล่วงหน้า (Pre-Sale Backlog) โครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ เป็นมูลค่ารวมเกือบ 18,000 ล้านบาท ที่จะทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องใน 1-3 ปีข้างหน้า ซึ่งถือเป็นฐานรายได้สำคัญที่จะสร้างความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจในอนาคตที่มั่นคง ประการที่สามคือ แผนการรุกขยายงานในตลาดต่างประเทศ เพื่อรองรับทุกความต้องการของลูกค้า และประการสุดท้ายคือ การมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่ง เพื่อรองรับการขยายธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีผลกระทบต่อแผนการลงทุนระยะยาว อันจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุนและสถาบันการเงินได้ดียิ่งขึ้น