จากภาพ : นายปกรณ์ พรรธนะแพทย์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย แถลงผลการดำเนินงานด้านกลุ่มลูกค้าธุรกิจเอสเอ็มอีในปี 2552
กสิกรไทย ตั้งเป้าเป็นที่หนึ่งในใจผู้ประกอบการเอสเอ็มอีด้วย 5 กลยุทธ์ ปีหน้าเตรียมขยายตลาดอย่างต่อเนื่อง มั่นใจบริการครบ อนุมัติเร็ว ตั้งเป้าใน 3 ปี กวาดส่วนแบ่งตลาดเป็น 30%
นายปกรณ์ พรรธนะแพทย์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า จากการที่เศรษฐกิจของไทยเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้น ทำให้ลูกค้าเอสเอ็มอีเริ่มใช้สินเชื่อเพิ่มขึ้น โดยในช่วงที่เหลือของปีนี้ ลูกค้าเอสเอ็มอีน่าจะยังมีความต้องการสินเชื่อระยะสั้น (Working Capital) อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ยอดสินเชื่อเอสเอ็มอีของธนาคารตลอดทั้งปี ขยายตัวประมาณ 4-5% หรือมียอดสินเชื่อ 360,000 ล้านบาท มียอดรายได้ 19,000 ล้านบาท และยังคงรักษาความเป็นอันดับหนึ่งด้วยส่วนแบ่งตลาดที่ 27%
ธนาคารได้ตั้งเป้าหมายที่จะเป็นที่หนึ่งในใจผู้ประกอบการ SME (Bank for SME) ซึ่งสิ่งที่จะยืนยันได้ก็คือ การเพิ่มส่วนแบ่งตลาดเป็น 30% ในอีก 3 ปี การเป็น The Most Trusted Bank For SME ด้วยการส่งมอบประสบการณ์ที่ดีและทำให้ลูกค้าเกิดความเชื่อใจในการใช้บริการ รวมถึงการเป็นธนาคารหลักในการดำเนินธุรกิจของลูกค้า (Main Bank)
สำหรับปี 2553 ธนาคารกสิกรไทย ตั้งเป้าขยายสินเชื่อเอสเอ็มอีเพิ่มขึ้น 8-10% ทำให้ยอดสินเชื่ออยู่ที่ 390,000 ล้านบาท รายได้ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น 19% หรือ 23,000 ล้านบาท เนื่องจากธุรกิจจะได้รับประโยชน์ต่อเนื่องจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว และโครงการลงทุนของรัฐบาลและเอกชน โดยธนาคารพร้อมที่จะก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในใจผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ด้วย 5 กลยุทธ์ ได้แก่
การมีผู้ดูแลความสัมพันธ์ลูกค้า (RM) ที่เข้าใจธุรกิจลูกค้าอย่างถ่องแท้และมีความน่าเชื่อถือ เปรียบเป็น Trusted Advisor ของลูกค้า ซึ่งธนาคารจะเน้นพัฒนาศักยภาพของผู้ดูแลความสัมพันธ์ลูกค้าทุกคน ให้สามารถเป็นที่ปรึกษาทางการเงินที่เชื่อถือและไว้ใจได้สำหรับลูกค้า
การมีผลิตภัณฑ์และบริการที่มีนวัตกรรม (Product Innovation) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการได้ตลอดทุกช่วงธุรกิจและทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ในรูปแบบของ Product Solution Package ซึ่งจะครอบคลุมทั้งด้านเงินทุน การจัดการด้านการเงิน และบริการธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศ
การสนับสนุนด้านองค์ความรู้ (Knowledge) ตามที่ธนาคารได้จัดโครงการ K SME Care ตลอด 3 ปี ที่ผ่านมา รวม 10 รุ่น โดยมีผู้เข้าอบรมทั้งสิ้น 5,000 ราย ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก และในปีที่ 4 ธนาคารยังคงจัดอบรมอย่างต่อเนื่องจำนวน 3 รุ่น ให้กับผู้เข้าร่วมอบรม 1,500 ราย ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด และเนื้อหาหลักสูตรการอบรมจะเป็นหัวข้อที่เข้มข้นเพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการปรับตัวเพื่อรองรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
การรักษาและสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ด้วยการมอบสิทธิพิเศษผ่านโครงการ K SME Value Plus ที่ธนาคารได้คัดสรรสำหรับลูกค้าคนพิเศษของธนาคารโดยเฉพาะ อาทิ สิทธิพิเศษในการใช้บริการทางการเงิน การจัดอบรมสัมมนา และกิจกรรรมพิเศษอีกมากมาย
การสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ (Networking) เป็นการสร้างเครือข่ายพันธมิตรของธนาคาร ทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อร่วมกันสนับสนุนธุรกิจ SME และการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการ SME ผ่านกิจกรรม Business Matching เพื่อเพิ่มช่องทางและโอกาสในการขยายเครือข่ายให้กับผู้ประกอบการ SME
ในช่วงปีที่ผ่านมา ธนาคารกสิกรไทยพยายามสร้างแบรนด์ K SME ให้แข็งแกร่งในตลาด และประสบความสำเร็จในการออกโฆษณาชุด เร็ว ยาว เยอะ ที่สร้างการจดจำและทำให้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น เป็น 25% และได้รับรางวัลทั้งในประเทศและระดับนานาชาติจาก 4 สถาบันรวม 7 รางวัล ได้แก่ รางวัล Silver จากงานประกวดโฆษณาแห่งภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก (ADFEST) รางวัล Cannes Silver Lions ในหมวด Banking Investment & Insurance รางวัลภาพยนตร์โฆษณาดีเด่นทางโทรทัศน์เพื่อผู้บริโภค จากสมาคมคุ้มครองผู้บริโภค และ Adman Awards 4 รางวัล โดยเฉพาะรางวัล Ad That Works ซึ่งเป็นรางวัล Best of The Best ของภาพยนตร์โฆษณา ซึ่งคณะกรรมการพิจารณาจากความคิดสร้างสรรค์ของเนื้อหาและผลตอบรับของโฆษณา
นายปกรณ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า การทำตลาด SME ไม่ง่าย แต่ด้วยความพร้อมและความตั้งใจจริงในการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME จึงทำให้ในวันนี้ K SME ครองความเป็นผู้นำตลาด และจะครองความเป็นที่หนึ่งในใจผู้ประกอบการ SME ตามเป้าหมายที่เป็นภารกิจสำคัญของธนาคารอย่างแน่นอน