ปี 2553…ปีทองข้าวไทย

วงการค้าข้าวคาดหมายว่าปี 2553 จะเป็นปีทองของข้าวไทย เนื่องจากปริมาณการผลิตข้าวในตลาดโลกลดลง จากผลกระทบสภาพอากาศแปรปรวน ในขณะที่ความต้องการนำเข้าข้าวเพิ่มขึ้น ทั้งจากฟิลิปปินส์ที่ผลผลิตข้าวได้รับความเสียหายจากลมมรสุม ส่วนอินเดียประสบปัญหาความแห้งแล้ง ทำให้ต้องพลิกกลับจากการเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวอันดับ 4 ของโลกไปเป็นประเทศผู้นำเข้าข้าว ในขณะที่ปริมาณการผลิตข้าวของไทยในปี 2553 ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จึงเป็นโอกาสดีของไทยที่จะสามารถส่งออกข้าวได้มากขึ้น โดยข้าวที่จะได้รับอานิสงส์คือ ข้าวหอมมะลิ ข้าวนึ่ง ปลายข้าว และข้าวเหนียว ส่วนข้าวขาวนั้นแม้ว่าจะมีโอกาสในการส่งออกเพิ่มขึ้น แต่ยังคงต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงจากเวียดนาม อย่างไรก็ตาม ผู้ส่งออกข้าวของไทยยังต้องเผชิญความเสี่ยงจากราคาข้าวที่อาจจะผันผวน อันเป็นผลมาจากสภาพอากาศที่แปรปรวน และการเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐบาลของทั้งประเทศที่ส่งออกและนำเข้าข้าว

ผลิตข้าวลด…ผลกระทบจากสภาพอากาศแปรปรวน
กระทรวงเกษตรของสหรัฐฯคาดการณ์ผลผลิตข้าวในตลาดโลกในปี 2552/53 ลดลงมาอยู่ที่ 432.1 ล้านตันข้าวสาร เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาลดลงร้อยละ 3.1 เนื่องจากอินเดียประสบปัญหาแห้งแล้งทำให้คาดการณ์ว่าผลผลิตข้าวของอินเดียจะลดลงเหลือ 80.0 ล้านตันข้าวสาร หรือลดลงถึงร้อยละ 19.3 ส่งผลให้ในเดือนกันยายน 2552 อินเดียประกาศงดส่งออกข้าวที่ไม่ใช่ข้าวบัสมาติต่อเนื่องไปอีก หลังจากที่ในปี 2551 อินเดียก็งดส่งออกข้าวที่ไม่ใช่ข้าวบัสมาติเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2552 อินเดียประกาศจะนำเข้าข้าว ทำให้ในปี 2553 อินเดียจะพลิกฐานะจากการเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวเป็นประเทศผู้นำเข้าข้าว ส่วนเวียดนามคาดว่าผลผลิตข้าวในปี 2552/53 จะลดลงเล็กน้อยเหลือ 23.80 ล้านตันข้าวสาร หรือลดลงร้อยละ 2.6 เนื่องจากเนื้อที่ปลูกข้าวบางส่วนได้รับความเสียหายจากภาวะน้ำท่วม สำหรับประเทศไทยคาดการณ์ว่าผลผลิตข้าวในปี 2552/53 ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นไปอยู่ในระดับ 20.0 ล้านตันข้าวสาร หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1

ปัจจัยที่ยังต้องติดตามต่อไป ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อปริมาณผลผลิตข้าว คือ
-ปรากฎการณ์เอลนิโนส่งผลให้สภาพอากาศแห้งแล้ง อาจสร้างความเสียหายให้กับผลผลิตข้าวมากขึ้น ทั้งในฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย สหรัฐฯ และลาตินอเมริกาโดยเฉพาะบราซิลและเวเนซูเอลา ซึ่งอาจจะส่งผลให้ผลผลิตข้าวของโลกโดยรวมมีแนวโน้มลดลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้

-ปริมาณการผลิตข้าวของประเทศรายเล็ก แต่น่าจับตามอง คือ พม่าและกัมพูชา โดยคาดการณ์ว่าในปี 2552/53 ปริมาณการผลิตข้าวของพม่าเพิ่มขึ้นเป็น 10.73 ล้านตัน เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาแล้วเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.7 เนื่องจากพม่าได้รับเงินช่วยเหลือจากธนาคารโลกเพื่อการพัฒนาระบบชลประทาน ส่วนปริมาณการผลิตข้าวของกัมพูชาในปี 2552/53 เพิ่มขึ้นเป็น 4.63 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.4 โดยกัมพูชาร่วมมือกับเวียดนามในการพัฒนาข้าว รวมทั้งยังได้รับเงินทุนจากคูเวต คาดการณ์ว่าทั้งพม่าและกัมพูชามีแนวโน้มที่จะขยายปริมาณการผลิตข้าวตอบสนองต่อราคาข้าวที่คาดว่าจะมีแนวโน้มสูงขึ้นในปี 2553

ความต้องการข้าวเพิ่มขึ้น…ตลาดกลับมาเป็นของผู้ส่งออก
คาดการณ์ว่าในปี 2552/53 การค้าข้าวในตลาดโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นไปอยู่ในระดับ 29.54 ล้านตันข้าวสาร เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาแล้วเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4 ซึ่งนับว่าการค้าข้าวในตลาดโลกกลับมาคึกคักขึ้นหลังจากในช่วงระยะ 2 ปีที่ผ่านมาการค้าข้าวในตลาดโลกหดตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2553 ทิศทางการค้าข้าวจะหวนกลับมาเป็นตลาดของผู้ส่งออกอีกครั้งเช่นเดียวกับในปี 2551 เนื่องจากความต้องการข้าวในตลาดโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อันเป็นผลมาจากสภาพอากาศที่แปรปรวน สร้างความเสียหายให้กับผลผลิตข้าวอย่างมาก จนกระทั่งประเทศผู้ผลิตข้าวบางประเทศพลิกกลับมาเป็นผู้นำเข้าข้าว โดยเฉพาะอินเดีย และประเทศที่นำเข้าข้าวอยู่แล้วต้องนำเข้าข้าวมากขึ้น โดยเฉพาะฟิลิปปินส์ ทำให้วงการค้าข้าวคาดว่าราคาข้าวในตลาดโลกมีแนวโน้มสูงขึ้น ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2552 ไปจนถึงอย่างน้อยช่วงกลางปี 2553

หลังจากนั้นต้องมาประเมินปัจจัยทั้งทางด้านผลผลิตและความต้องการข้าวในตลาดโลกอีกครั้ง โดยตัวแปรสำคัญคือ ความผันแปรของสภาพอากาศที่จะส่งผลกระทบต่อปริมาณการผลิตข้าว รวมทั้งยังต้องประเมินความต้องการข้าว โดยเฉพาะจากฟิลิปปินส์ ซึ่งถ้าความต้องการข้าวยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แนวโน้มราคาข้าวน่าจะยังอยู่ในเกณฑ์สูงต่อเนื่องไปจนถึงช่วงปลายปี 2553 อย่างไรก็ตาม คาดว่าราคาข้าวในตลาดโลกไม่น่าจะเพิ่มขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์เช่นเดียวกับในปี 2551 เนื่องจากบางปัจจัยที่ดึงราคาข้าวในตลาดโลกในปี 2551 นั้นไม่เกิดขึ้นในปี 2553 โดยเฉพาะราคาน้ำมันไม่น่าจะสูงไปแตะระดับ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาเรลล์ ซึ่งจะนำไปสู่ภาวะวิตกว่าจะเกิดภาวะวิกฤตอาหาร จากการแย่งพื้นที่ปลูกระหว่างพืชอาหารและพืชพลังงาน
สถานการณ์ของประเทศไทยซึ่งเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับหนึ่งของโลก คาดว่าในปี 2553 ปริมาณการส่งออกข้าวจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปี 2551 ที่ 10 ล้านตัน ซึ่งเป็นระดับที่สูงเป็นประวัติการณ์ หรืออาจจะเพิ่มขึ้นมากกว่าในกรณีที่รัฐบาลและผู้ส่งออกข้าวของไทยประสบความสำเร็จในการเจาะขยายตลาดข้าว ซึ่งน่าจะส่งผลให้ราคาข้าวในประเทศเพิ่มสูงขึ้นตามราคาข้าวในตลาดโลก อย่างไรก็ตาม ในปี 2553 แม้ว่าจะเป็นโอกาสดีในการส่งออกข้าว แต่คาดว่าผู้ส่งออกข้าวของไทยยังคงเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงจากเวียดนามเช่นเดียวกับในปี 2552

ส่วนเวียดนามซึ่งเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับสองของโลก งดทำสัญญาส่งออกข้าวในช่วงไตรมาสสองของปี 2552 เนื่องจากปริมาณการส่งออกในช่วงไตรมาสแรกเป็นไปตามเป้าหมายในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 แล้ว และเพื่อรอดูสถานการณ์ราคาข้าว อย่างไรก็ตาม ในปี 2552 เวียดนามเซ็นสัญญาส่งออกไปแล้ว 6.45 ล้านตัน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนแล้วเพิ่มขึ้นร้อยละ 55 ส่วนหนึ่งเป็นการเบียดแย่งส่วนแบ่งตลาดข้าวขาวจากไทย โดยอาศัยกลยุทธ์ทางด้านราคา ซึ่งเกือบตลอดทั้งปี 2552 ราคาข้าวทั้งหมดเฉลี่ยของเวียดนามต่ำกว่าไทยประมาณ 100-200 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน แม้ว่าในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2552 ส่วนต่างของราคาข้าวเวียดนามและข้าวไทยเริ่มลดลงแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคาดว่าเวียดนามยังคงเป็นคู่แข่งสำคัญในตลาดส่งออกข้าวขาวต่อไป

อย่างไรก็ตาม ผู้ส่งออกข้าวของไทยยังคงต้องติดตาม มีดังนี้
-ปัจจัยผลกระทบของสภาพอากาศที่แปรปรวน ซึ่งส่งผลกระทบต่อปริมาณผลผลิตข้าวในช่วงกลางปี โดยเฉพาะความรุนแรงของปรากฎการณ์เอลนิโน ที่อาจจะสร้างความเสียหายต่อผลผลิตข้าว ทำให้ความต้องการนำเข้าข้าวอาจจะเพิ่มขึ้น และส่งผลผลักดันให้ราคาข้าวในตลาดโลกมีแนวโน้มอยู่ในเกณฑ์สูงตลอดทั้งปี 2553

-ประเทศที่เพิ่มการนำเข้าข้าวนั้น นำเข้าข้าวเนื่องจากปริมาณข้าวในประเทศไม่เพียงพอสำหรับการบริโภค ซึ่งจะมีผลกระทบอย่างมากต่อราคา โดยทำให้ราคาข้าวเพิ่มขึ้นมาก หรือนำเข้าข้าวเพื่อเพิ่มปริมาณสต็อกข้าว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อความมั่นคงที่ด้านอาหารของประเทศ โดยไม่มีแรงบวกจากความกังวลว่าจะเกิดวิกฤตอาหาร ส่งผลให้ราคาข้าวในตลาดโลกอาจจะไม่พุ่งแรงเหมือนในช่วงครึ่งแรกปี 2551 และอาจตกต่ำลงอย่างแรงเช่นในช่วงครึ่งหลังของปี 2551 เมื่อแต่ละประเทศคลายความวิตกในเรื่องปริมาณข้าวจะไม่เพียงพอกับความต้องการแล้ว

ความต้องการนำเข้าข้าวจากฟิลิปปินส์และอินเดีย…กระตุ้นตลาด
ในปี 2553 คาดการณ์ว่าประเทศที่จะต้องเพิ่มการนำเข้าข้าวคือ ฟิลิปปินส์และอินเดีย โดยทั้งสองประเทศได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่แปรปรวน คาดการณ์ว่าฟิลิปปินส์ต้องการนำเข้าข้าวมากถึง 2.05 ล้านตัน โดยในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2552 ฟิลิปปินส์มีกำหนดประมูลข้าวแล้ว 4 รอบ(วันที่ 4 พ.ย.จำนวน 250,000 ตัน วันที่ 1,8 และ 15 ธ.ค. ครั้งละ 600,000 ตัน) กำหนดส่งมอบในช่วงครึ่งแรกของปี 2553 และคาดการณ์ว่าในปี 2553 ฟิลิปปินส์อาจต้องการนำเข้าข้าวมากถึง 2.4-2.6 ล้านตัน(ในกรณีที่ผลผลิตข้าวอาจจะเสียหายเพิ่มขึ้นจากสภาพอากาศโดยเฉพาะปรากฎการณ์เอลนิโนอาจต้องนำเข้าข้าวมากถึง 3 ล้านตัน) อย่างไรก็ตาม ผู้ส่งออกข้าวของไทยไม่ได้รับอานิสงส์จากการเปิดประมูลข้าวของฟิลิปปินส์ เนื่องจากไม่สามารถประมูลแข่งกับเวียดนามได้ ประเด็นที่ผู้ส่งออกข้าวของไทยต้องติดตามคือ ไทยกำลังเจรจากับฟิลิปปินส์ขอชดเชยกรณีที่ฟิลิปปินส์ไม่ลดภาษีนำเข้าข้าวตามกรอบข้อตกลงอาฟตา ส่งผลให้ไทยมีโอกาสส่งออกข้าวของไทยไปยังฟิลิปปินส์เพิ่มขึ้น รวมทั้งติดตามปริมาณการผลิตข้าวของเวียดนาม เนื่องจากการที่เวียดนามเซ็นสัญญาส่งออกข้าวไปแล้วในปริมาณมาก ทำให้โอกาสกลับมาเป็นของผู้ส่งออกข้าวไทย เมื่อเวียดนามต้องเก็บข้าวไว้เพื่อรองรับความต้องการบริโภคในประเทศ

สำหรับอินเดียในปี 2552/53 ผลิตข้าวลดลงเหลือ 80 ล้านตัน หรือลดลงร้อยละ 19.3 ทำให้อินเดียพลิกจากการเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวที่มีความสำคัญเป็นอันดับ 4 ของโลกมาเป็นประเทศนำเข้าข้าวสุทธิครั้งแรกในรอบ 20 ปี คาดการณ์ว่าอินเดียนำเข้าข้าว 2 แสนตันภายในปี 2552 และในปี 2553 อินเดียจะนำเข้าข้าวอีก 2 แสนตัน ซึ่งคาดการณ์ว่าอินเดียอาจต้องเร่งนำเข้าข้าวตั้งแต่ช่วงต้นปี 2553 เนื่องจากการคาดการณ์ราคาข้าวในตลาดโลกที่มีแนวโน้มสูงขึ้น นอกจากนี้ อินเดียยังลดภาษีนำเข้าข้าวจากร้อยละ 70 เหลือร้อยละ 0 ถึงเดือนกันยายน 2553 ทั้งนี้เพื่อทำให้ราคาข้าวนำเข้าลดลง และลดความกดดันในประเทศที่อาจนำไปสู่ปัญหาเสถียรภาพทางการเมือง จากราคาข้าวในประเทศที่พุ่งสูงขึ้นไปแล้วร้อยละ 25 ผู้ส่งออกข้าวของไทยมีโอกาสในการส่งออกข้าวไปยังอินเดียในปี 2553 แต่คงต้องเผชิญการแข่งขันจากเวียดนาม และปากีสถาน

สต็อกข้าวโลกลด 5%…หดตัวครั้งแรกในรอบ 3 ปี
คาดการณ์สต็อกข้าวของโลกในปี 2553 ลดลงเหลือ 85.9 ล้านตัน เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาหดตัวร้อยละ 5.0 ซึ่งนับว่าเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 3 ปี อันเป็นผลมาจากการคาดการณ์ปริมาณผลผลิตข้าวในตลาดโลกมีแนวโน้มลดลง ในขณะที่ความต้องการนำเข้าข้าวของหลายประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งการที่ปริมาณสต็อกข้าวในตลาดโลกมีแนวโน้มลดลงนี้ อาจเป็นสัญญาณเตือนให้หลายประเทศต้องเพิ่มการนำเข้าข้าวเพื่อเก็บเข้าสต็อก ทั้งนี้เพื่อความมั่นคงทางด้านอาหารของประเทศ และป้องกันการเกิดปัญหาอัตราเงินเฟ้อพุ่งจากราคาข้าว ซึ่งส่งผลต่อเนื่องถึงความสงบเรียบร้อยของประเทศ เนื่องจากอาจจะมีความวุ่นวายเกิดขึ้นในการแย่งชิงอาหาร จากความวิตกว่าจะเกิดปัญหาการขาดแคลน

สำหรับประเทศไทย สต็อกข้าวรัฐบาลไทยเคยอยู่ในเกณฑ์สูงถึง 6 ล้านตัน ซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ปี 2548 อันเป็นผลมาจากปัญหาการส่งออกข้าวในปี 2552 ทำให้ชาวนาเข้าจำนำข้าวกับรัฐบาล ทั้งในช่วงนาปีของฤดูการผลิต 2551/52 และนาปรังปี 2552 อย่างไรก็ตาม รัฐบาลปรับเกณฑ์การระบายสต็อกโดยการให้ภาคเอกชนประมูลผ่านตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าแทนการเสนอประมูลผ่านกระทรวงพาณิชย์โดยตรง ส่งผลให้สต็อกข้าวรัฐบาลลดลงเหลือประมาณ 4 ล้านตัน ซึ่งนับว่ายังสูงกว่าเวียดนามที่คาดว่าจะมีสต็อกข้าวเพียง 1.6 ล้านตันเท่านั้น

ปริมาณสต็อกข้าวที่อยู่ในระดับสูงนั้น จะเป็นปัจจัยที่ประเทศผู้นำเข้าข้าวใช้ในการต่อรองราคาซื้อขายข้าว รวมทั้งรัฐบาลต้องระมัดระวังในการระบายสต็อกข้าว เนื่องจากการระบายสต็อกข้าวส่งผลกระทบในเชิงจิตวิทยาต่อราคาข้าว อย่างไรก็ตาม การที่ราคาข้าวในตลาดโลกอยู่ในช่วงขาขึ้นนี้ นับว่าเป็นโอกาสอันดีของรัฐบาลในการทยอยระบายสต็อกข้าว โดยเฉพาะการเจรจาซื้อขายในลักษณะรัฐบาลต่อรัฐบาล

ราคาผันผวน…ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตามอง
จากการคาดการณ์สถานการณ์ข้าวในตลาดโลกที่ปริมาณผลผลิตมีแนวโน้มลดลง ในขณะที่ความต้องการข้าวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาข้าวในตลาดโลกมีแนวโน้มสูงขึ้น ส่งผลต่อเนื่องให้ราคาข้าวเปลือกในประเทศไทยและราคาส่งออกข้าวของไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยราคาข้าวหอมมะลิจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่เร็วกว่าข้าวขาว เนื่องจากคาดว่าข้าวขาวยังต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงจากเวียดนาม ในขณะที่ราคาข้าวบัสมาติของอินเดีย ซึ่งเป็นคู่แข่งขันโดยตรงของข้าวหอมมะลิของไทยในตลาดโลกอยู่ในระดับที่สูงกว่า ทำให้ความต้องการข้าวหอมมะลิของไทยเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงที่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับข้าวของไทยต้องระวัง คือ ในปี 2553 มีปัจจัยที่กดดันให้ราคาข้าวมีโอกาสผันผวน ได้แก่

-สภาพอากาศที่แปรปรวน สภาพอากาศที่แปรปรวนส่งผลกระทบโดยตรงต่อปริมาณผลผลิตข้าว ซึ่งยังคงต้องจับตาผลกระทบของปรากฎการณ์เอลนิโนที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อปริมาณการผลิตข้าวของอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ส่วนไทยอาจจะเกิดปัญหาฝนทิ้งช่วง หรือปัญหาปริมาณน้ำไม่เพียงพอต่อการผลิตข้าวนาปรัง ทำให้คาดว่าปริมาณการผลิตข้าวของโลกอาจจะลดลงมากกว่าที่คาดการณ์ และปริมาณความต้องการนำเข้าข้าวอาจจะเพิ่มมากขึ้น แนวโน้มราคาข้าวอาจจะดีดตัวแรงกว่าที่คิดก็ได้

-นโยบายของรัฐบาล ประเด็นที่ต้องจับตาคือ การเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาลที่ส่งผลกระทบต่อราคาและการแข่งขันในตลาดข้าว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดประมูลนำเข้าข้าวเร็วกว่าปกติของฟิลิปปินส์ การประกาศงดส่งออกข้าวที่ไม่ใช่ข้าวบัสมาติของอินเดีย การประกาศนำเข้าข้าวของอินเดีย รวมไปถึงการปรับลดค่าเงินด่องลงร้อยละ 5.4 จาก 17,034 ด่องต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เป็น 17,961 ด่องต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในวันที่ 26 พฤศจิกายนนี้ การประกาศลดค่าเงินด่องของเวียดนาม ที่ส่งผลให้ราคาข้าวของเวียดนามยิ่งมีราคาถูกกว่าข้าวไทยลงไปอีกในสายตาของประเทศผู้นำเข้าข้าว ซึ่งกระทบต่อสถานะของข้าวไทยในตลาดโลก และโอกาสการแย่งชิงตลาดข้าวในปี 2553

สำหรับประเทศไทยการเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐบาลที่ทำให้ราคาข้าวของไทยมีโอกาสผันผวนคือ การเปลี่ยนนโยบายแทรกแซงตลาดข้าวจากมาตรการจำนำเป็นมาตรการประกันรายได้เกษตรกร และในช่วงปลายปี 2552 เป็นช่วงรอยต่อของการเปลี่ยนมาตรการ นับเป็นปัจจัยฉุดให้ราคาข้าวในประเทศพุ่งขึ้นช้ากว่าราคาข้าวในตลาดโลก และราคาข้าวจะผันผวนไปตามสถานการณ์ของตลาด นอกจากนี้ การลดภาษีนำเข้าข้าวของไทยตามกรอบข้อตกลงอาฟตาเหลือร้อยละ 0 ผู้เกี่ยวข้องในวงการค้าข้าวของไทยยังคงต้องติดตามผลกระทบต่อไป ทั้งในแง่ของโอกาสที่ข้าวจากพม่า และกัมพูชาจะทะลักเข้ามาในประเทศ กดดันให้ราคาข้าวในประเทศลดต่ำลง รวมทั้งโอกาสในการส่งออกไปยังตลาดฟิลิปปินส์เพิ่มมากขึ้น อันเป็นผลจากการเจรจาขอชดเชย กรณีที่ฟิลิปปินส์ไม่ลดภาษีนำเข้าข้าวตามข้อผูกพันกับอาฟตา

ผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในวงการค้าข้าวปี 2553 แยกพิจารณาได้ดังนี้
-ชาวนา
จากแนวโน้มราคาข้าวในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีแนวโน้มว่าชาวนาที่ปลูกข้าวหอมมะลิ และข้าวเหนียวจะได้รับอานิสงส์ ในขณะที่ชาวนาที่ปลูกข้าวขาวที่ยังต้องเผชิญการแข่งขันกับเวียดนามนั้นยังคงต้องรอจังหวะที่เวียดนามส่งออกหมดแล้ว และต้องรอผลผลิตข้าวฤดูใหม่ เนื่องจากราคาข้าวขาวของไทยอยู่ในเกณฑ์สูงกว่าเวียดนาม และเวียดนามใช้กลยุทธ์ราคาเบียดแย่งสัดส่วนตลาดข้าวขาวของไทย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ชาวนาเป็นกังวล ก็คือ ราคาข้าวที่เพิ่มขึ้น ไม่ได้สร้างผลกำไรมากนัก เพราะต้นทุนปัจจัยการผลิตก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นด้วย เหมือนในช่วงปี 2550-2551 ที่ราคาปุ๋ยเคมีปรับขึ้นไปกว่า 2 เท่าตัว รวมถึงยาปราบศัตรูพืช และเมล็ดพันธุ์ก็มีราคาเพิ่มขึ้น และมีปัญหาขาดแคลน ส่วนราคาเช่าที่ดินก็มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า รวมทั้งมีการเรียกเก็บเป็นรายฤดูนา ไม่ใช่รายปีเหมือนเดิม

-ผู้ส่งออก/โรงสี ในช่วงที่ราคาข้าวเป็นช่วงขาขึ้น การที่ผู้ส่งออกและโรงสีเริ่มเก็บสต็อกข้าว สิ่งที่ต้องระวัง คือ ความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาข้าวที่อาจจะทำให้ต้องเผชิญกับภาวะขาดทุนเช่นเดียวกับในช่วงปี 2551 โดยการรับคำสั่งซื้อไว้แล้ว แต่หาซื้อข้าวเพื่อการส่งมอบไม่ได้ หรือต้องซื้อข้าวในราคาที่แพงขึ้นกว่าราคาที่รับคำสั่งซื้อไว้ ซึ่งการติดตามข่าวสารข้อมูลอย่างใกล้ชิดจะช่วยลดความเสี่ยงลงได้บ้าง

-ผู้บริโภคข้าวในประเทศ สำหรับผู้บริโภคข้าวในประเทศ สิ่งที่กังวลคือ ราคาข้าวมีแนวโน้มจะแพงขึ้น และอาจจะเกิดปัญหาความตื่นตระหนกเกรงว่าข้าวจะขาดตลาด ทำให้มีการซื้อข้าวไปกักตุนในครัวเรือน จนกระทั่งเกิดภาวะที่ผู้ประกอบการส่งข้าวไปให้ทางโมเดิร์นเทรดไม่ทัน ข้าวถุงจึงไม่มีวางตามชั้นจำหน่าย เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งแรกปี 2551 คาดการณ์ว่าในช่วงต้นปี 2553 ราคาข้าวสารบรรจุถุงมีแนวโน้มแพงขึ้นประมาณร้อยละ 10 เนื่องจากราคาข้าวมีแนวโน้มสูงขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตข้าวถุงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

-รัฐบาล ในช่วงราคาข้าวอยู่ในช่วงขาขึ้น รัฐบาลต้องมีมาตรการรับมือกับข้าวแพง ทั้งทางด้านคุณภาพ และมาตรฐาน เนื่องจากหากชาวนาเร่งลงทุนปลูกข้าวเพิ่ม ในอนาคตถ้าสถานการณ์เปลี่ยนแปลง อาจเกิดปัญหาผลผลิตล้นตลาด และราคาตกต่ำ รวมทั้งหากมีการเพิ่มรอบในการทำนามากขึ้น อาจจะส่งผลต่อคุณภาพข้าวโดยรวมของไทย นอกจากนี้ ในช่วงที่ราคาข้าวมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นน่าจะเป็นโอกาสอันดีในการระบายสต็อกข้าวของรัฐบาล แต่ก็คงต้องพิจารณาทั้งจังหวะและปริมาณที่เหมาะสมด้วย

ในปี 2553 นับว่าจะเป็นโอกาสอันดีของผู้ที่เกี่ยวข้องในวงการค้าข้าวของไทย เนื่องจากการคาดการณ์ว่าราคาข้าวจะกลับมาเป็นช่วงขาขึ้นอีกครั้ง แม้ว่าจะไม่ได้พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์เช่นเดียวกับในปี 2551 แต่ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากปัจจัยทางด้านผลผลิตข้าวที่ลดลงจากความผันแปรของสภาพอากาศ ทำให้ปริมาณความต้องการบริโภคข้าวเพิ่มขึ้น แต่สิ่งที่ผู้ที่เกี่ยวข้องในวงการค้าข้าวต้องจับตามองต่อไปอย่างใกล้ชิด คือ ความผันผวนของราคา ทั้งนี้เพื่อป้องกันผลกระทบที่ตามมาเมื่อราคาข้าวดิ่งลงอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในช่วงกลางปี 2551