ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนพฤศจิกายน 2552 ที่รายงานโดยกระทรวงพาณิชย์ เร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อนหน้า และเป็นตัวเลขที่สูงกว่าการคาดการณ์ของตลาด อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังคงอยู่ในระดับต่ำ สะท้อนภาวะการบริโภคที่ยังคงอ่อนแอ สำหรับแนวโน้มในระยะต่อไป แรงกดดันเงินเฟ้อมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยคาดว่าจะมีแรงหนุนที่สำคัญมาจากปัจจัยด้านอุปทาน ซึ่งราคาสินค้าเกษตรและสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นในปีหน้า ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อที่มาจากอุปสงค์ในการใช้จ่ายของผู้บริโภคยังมีค่อนข้างน้อย นอกจากนี้ยังต้องติดตามข้อสรุปเกี่ยวกับการต่ออายุ 5 มาตรการ 5 เดือนของรัฐบาล ที่กำลังจะสิ้นสุดลงในปลายปีนี้ ซึ่งจะมีผลค่อนข้างมากต่อตัวเลขเงินเฟ้อในปีหน้า ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย วิเคราะห์แนวโน้มเงินเฟ้อของไทยในเดือนสุดท้ายของปี 2552 และในปี 2553 โดยมีประเด็นสำคัญ ดังนี้
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนพฤศจิกายน 2552 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (Year-on-Year) เร่งตัวขึ้นจากร้อยละ 0.4 ในเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นเดือนที่เงินเฟ้อพลิกกลับมาเป็นบวกครั้งแรกในช่วงปีนี้ ขณะเดียวกัน เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม (Month-on-Month) ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 สูงกว่าที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยและนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ประกอบกับราคาสินค้าอาหารบางประเภทปรับเพิ่มขึ้น เช่น ข้าวและเนื้อสัตว์ สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในเดือนพฤศจิกายนเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) เป็นการพลิกกลับมาเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 7 เดือน แต่ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานยังคงไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม (MoM) ซึ่งเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่ายังไม่มีสัญญาณของแรงกดดันเงินเฟ้อที่มาจากด้านอุปสงค์ อย่างไรก็ตาม เงินเฟ้อพื้นฐานยังคงอยู่ภายนอกกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่กำหนดไว้ที่ร้อยละ 0.5-3.0 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 ทั้งนี้ โดยภาพรวมแล้ว ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2552 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลงร้อยละ 1.2 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า แม้ระดับราคาสินค้าในช่วงเดือนสุดท้ายของปีนี้น่าจะค่อนข้างทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า แต่ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนน่าจะสูงขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 3.6 (YoY) ในเดือนธันวาคม 2552 เนื่องจากผลของฐานเปรียบเทียบในปีก่อนที่อยู่ในระดับต่ำ ขณะที่ในเดือนธันวาคม มีประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม ซึ่งจะมีผลต่อตัวเลขเงินเฟ้อในปี 2553 นั่นคือ การตัดสินใจของรัฐบาลเกี่ยวกับการขยายระยะเวลา 5 มาตรการ 5 เดือน เพื่อลดภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชน ที่จะครบกำหนดสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2552 นี้ โดย 5 มาตรการดังกล่าวครอบคลุมการรับภาระค่าไฟฟ้าสำหรับครัวเรือนที่มีปริมาณการใช้ไม่เกิน 90 หน่วยต่อเดือน การรับภาระค่าน้ำประปาสำหรับครัวเรือนที่มีปริมาณการใช้ไม่เกิน 30 ลูกบาศก์เมตรต่อเดือน และการให้บริการรถเมล์และรถไฟชั้น 3 ฟรี ซึ่งในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาใช้งบประมาณของรัฐบาลในการดำเนินการประมาณ 10,000 ล้านบาท
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2552 อาจจะมีค่าเฉลี่ยติดลบประมาณร้อยละ 0.8 ดีขึ้นเล็กน้อยกว่าประมาณการครั้งก่อน (เดือนพฤศจิกายน) ที่คาดว่าจะติดลบร้อยละ 0.9 เนื่องจากเงินเฟ้อในเดือนพฤศจิกายนเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาด โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงไตรมาสที่ 4/2552 น่าจะขยายตัวเป็นบวกประมาณร้อยละ 1.9 (สูงกว่าคาดการณ์เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ระดับร้อยละ 1.8 เล็กน้อย) สำหรับคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานสำหรับปี 2552 ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงจากประมาณการครั้งก่อน ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 โดยสัญญาณการใช้จ่ายและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ยังอ่อนแอ น่าจะเป็นปัจจัยที่กดดันให้ผู้ประกอบการยังไม่สามารถปรับราคาสินค้าขึ้นได้มาก โดยล่าสุด จากเครื่องชี้เศรษฐกิจของธนาคารแห่งประเทศไทยในเดือนตุลาคม 2552 ดัชนีการบริโภคภาคเอกชน (ที่ปรับฤดูกาล) หดตัวลงร้อยละ 1.1 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า (MoM, SA) ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ที่สำรวจโดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยในเดือนตุลาคมก็ปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน (อยู่ที่ระดับ 75.4 จากระดับ 75.6 ในเดือนกันยายน)
สำหรับแรงกดดันเงินเฟ้อจากด้านอุปสงค์น่าจะมีเพิ่มขึ้นในระยะข้างหน้า โดยราคาสินค้าเกษตรและอาหารหลายชนิดมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากผลผลิตในหลายประเทศทั่วโลกได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติที่รุนแรงในช่วงที่ผ่านมาของปีนี้ โดยเฉพาะราคาข้าวที่มีการประเมินว่าจะพุ่งสูงขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้งในปี 2553 ส่วนในด้านราคาน้ำมัน แม้ในช่วงประมาณ 1 เดือนมานี้ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกค่อนข้างทรงตัวเฉลี่ยประมาณ 77 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรล และราคาน่าจะยังอยู่ภายใต้แรงกดดันต่อไปอีกระยะหนึ่ง ท่ามกลางกระแสความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังมีสัญญาณลบแทรกเป็นระยะ เช่น ตัวเลขการว่างงานที่อยู่ในระดับสูงและยังมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น ทำให้หลายฝ่ายยังคงกังวลต่อความต่อเนื่องของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ขณะที่เริ่มมีความวิตกกังวลมากขึ้นต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศเกิดใหม่ หลังจากเวียดนามได้ประกาศลดค่าเงินด่องลงร้อยละ 5.4 และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 เป็นร้อยละ 8 เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศที่เผชิญภาวะเงินเฟ้อสูงและการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมูลค่าสูงอย่างมาก และตามมาด้วยกรณีบริษัท Dubai World ขอเลื่อนการชำระหนี้ออกไป 6 เดือน ถึงวันที่ 30 พฤษภาคม 2553 ซึ่งได้สร้างความกังวลถึงความเป็นไปได้ที่ภาวะฟองสบู่แตกในภาคอสังหาริมทรัพย์อาจจะเกิดขึ้นในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่รายอื่นอีก รวมทั้งผลกระทบที่อาจมีต่อระบบสถาบันการเงินทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ทิศทางโดยทั่วไปของเศรษฐกิจโลกในปี 2553 น่าจะปรับตัวดีขึ้นกว่าในปีนี้ และเมื่อเศรษฐกิจโลกมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนมากขึ้นในปีหน้า ก็มีโอกาสสูงที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทุกประเภทจะมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในอัตราเร่ง จากความคาดหวังของนักลงทุนต่อแนวโน้มอุปสงค์ของสินค้าโภคภัณฑ์ที่จะปรับเพิ่มขึ้น และความต้องการเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงท่ามกลางการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ฯ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ในปี 2553 อาจจะมีค่าเฉลี่ยทั้งปีประมาณ 75-85 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นร้อยละ 21-37 จากระดับราคาประมาณ 62 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรลในปี 2552 แต่ราคามีโอกาสขึ้นไปแตะระดับ 100 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรลในช่วงครึ่งหลังของปี ซึ่งจะกดดันให้ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศปรับเพิ่มขึ้น แม้ในส่วนของราคาน้ำมันดีเซล รัฐบาลมีความพยายามที่จะตรึงราคาไว้ไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ซึ่งน่าจะมีความเป็นไปได้ในระยะนี้ต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาสแรกของปี 2553 แต่หลังจากนั้น หากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเคลื่อนไหวในระดับที่สูงกว่า 80 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรลขึ้นไปมาก รัฐบาลน่าจะเผชิญความยากลำบากมากขึ้นหากยังมีนโยบายที่จะตรึงราคาดีเซลไว้ต่อไป จากปัจจัยทั้งหลายที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2553 อาจเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 3.0 และหากในกรณีที่ราคาน้ำมันและราคาสินค้าเกษตรปรับตัวสูงขึ้นอย่างรุนแรง และรัฐบาลไม่ต่ออายุมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน เงินเฟ้อมีโอกาสที่จะขึ้นไปสูงถึงร้อยละ 5.0 จากที่คาดว่าจะติดลบร้อยละ 0.8 ในปี 2552 ส่วนในด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5-2.5 จากที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 ในปี 2552
โดยสรุป อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนพฤศจิกายน 2552 เป็นบวกต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (Year-on-Year) เร่งตัวขึ้นจากร้อยละ 0.4 ในเดือนตุลาคม ขณะที่เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม (Month-on-Month) ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 สูงกว่าการคาดการณ์ของตลาด โดยเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และราคาสินค้าอาหารบางชนิด เช่น ข้าวและเนื้อสัตว์ ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานในเดือนพฤศจิกายนไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อน (MoM) แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY) โดยแม้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะกลับมาเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 7 เดือน แต่ยังคงอยู่ภายนอกกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่กำหนดไว้ที่ร้อยละ 0.5-3.0 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า แม้ระดับราคาสินค้าในช่วงเดือนสุดท้ายของปีนี้น่าจะค่อนข้างทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า แต่ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนน่าจะสูงขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 3.6 (YoY) เนื่องจากผลของฐานเปรียบเทียบในปีก่อนที่อยู่ในระดับต่ำ ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในไตรมาสที่ 4/2552 เป็นบวกอยู่ที่ประมาณร้อยละ 1.9 (YoY) และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2552 มีค่าเฉลี่ยติดลบร้อยละ 0.8 (ดีขึ้นกว่าประมาณการครั้งก่อนที่คาดว่าจะติดลบร้อยละ 0.9 เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อเดือนพฤศจิกายนที่สูงกว่าที่คาด) อย่างไรก็ตาม คาดว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะยังคงอยู่ในระดับต่ำ โดยมีค่าเฉลี่ยประมาณร้อยละ 0.3 ในปี 2552
สำหรับแนวโน้มในปี 2553 คาดว่าแรงกดดันเงินจะเพิ่มมากยิ่งขึ้น เนื่องจากราคาสินค้าเกษตรมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นค่อนข้างมาก ตามภาวะผลผลิตในประเทศผู้ผลิตรายสำคัญของโลกที่ลดลง ส่วนราคาน้ำมันดิบและราคาสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ แม้ขณะนี้ยังค่อนข้างทรงตัว เนื่องจากทั่วโลกยังคงวิตกกังวลต่อทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมทั้งเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ หลังเวียดนามมีการปรับลดค่าเงิน และตามมาด้วยกรณีบริษัท Dubai World ขอเลื่อนการชำระหนี้ออกไป 6 เดือน อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เศรษฐกิจโลกมีสัญญาณการฟื้นตัวได้อย่างชัดเจนมากขึ้นในปีหน้า ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทุกประเภทน่าจะมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในอัตราเร่ง จากความคาดหวังของนักลงทุนต่อแนวโน้มอุปสงค์ของสินค้าโภคภัณฑ์ที่จะปรับเพิ่มขึ้น และความต้องการเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงท่ามกลางการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ฯ จึงทำให้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2553 อาจเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 3.0 และหากในกรณีที่ราคาน้ำมันและราคาสินค้าเกษตรปรับตัวสูงขึ้นอย่างรุนแรง และรัฐบาลไม่ต่ออายุมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน เงินเฟ้อมีโอกาสที่จะขึ้นไปสูงถึงร้อยละ 5.0 จากที่คาดว่าจะติดลบร้อยละ 0.8 ในปี 2552 ส่วนในด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5-2.5 จากที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 ในปี 2552
สำหรับประเด็นสำคัญเชิงนโยบายที่ต้องติดตาม ในระยะอันใกล้นี้ ต้องจับตาการตัดสินใจของรัฐบาลเกี่ยวกับ 5 มาตรการ 5 เดือน เพื่อลดภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชน ซึ่งจะสิ้นสุดลงในวันที่ 31 ธันวาคม 2552 นี้ โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า รัฐบาลควรใช้แนวทางค่อยๆ ทยอยลดระดับการให้ความช่วยเหลือลง เพื่อหลีกเลี่ยงสภาวะที่เงินเฟ้อจะพุ่งสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงเวลาหนึ่งๆ หากมีการยกเลิกมาตรการทั้งหมดในคราวเดียว ส่วนผลของอัตราเงินเฟ้อที่จะมีต่อการดำเนินนโยบายการเงินนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า แม้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มที่จะมีระดับเฉลี่ยสูงกว่าร้อยละ 3.0 ในช่วงครึ่งแรกของปี 2553 แต่ปัจจัยด้านอุปสงค์ที่ยังอ่อนแอ อาจยังกดดันให้เงินเฟ้อพื้นฐานยังคงมีระดับต่ำ โดยคาดว่าจะมีค่าเฉลี่ยไม่เกินร้อยละ 1.5 ในช่วงครึ่งปีแรก และยังคงเป็นระดับที่อยู่ภายในกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อของธนาคารแห่งประเทศไทย (ที่กำหนดไว้ที่ร้อยละ 0.5-3.0) ซึ่งน่าจะยังคงเปิดทางให้ธนาคารแห่งประเทศสามารถดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยน่าจะยังคงอยู่ที่ระดับร้อยละ 1.25 ต่อไปได้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2553 แต่มีความเป็นไปได้ที่อัตราดอกเบี้ยจะเริ่มขยับขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ซึ่งจังหวะเวลาและขนาดของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายคงต้องขึ้นอยู่กับระดับอัตราเงินเฟ้อภายในประเทศ รวมทั้งปัจจัยพิจารณาอื่นๆ เช่น อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทย และทิศทางอัตราดอกเบี้ยในต่างประเทศ เป็นสำคัญ


