IFEC เดินหน้าบริหารสภาพคล่อง รุกขยายการลงทุนเพิ่ม

บริษัท อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ วิศวการ จำกัด (มหาชน) หรือ IFEC เดินหน้าขยายธุรกิจเพิ่ม หลังกระแสเงินสด มีสภาพคล่องสูง ชี้ถึงเวลาแตกไลน์ธุรกิจ เพื่อให้การใช้เงินทุนมีประสิทธิภาพสูงสุด ผนึกยักษ์ใหญ่ พลังงานแสงอาทิตย์จากไต้หวัน ประเดิมถือหุ้น 17% ในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ป้อนการไฟฟ้า ส่วนภูมิภาค เผยทยอยรับรู้รายได้ภายในปีนี้ ขณะที่ธุรกิจหลักยังคงเติบโตต่อเนื่อง สอดรับกับความต้องการในยุคดิจิตอล อีกทั้งคุณภาพของสินค้ายังรองรับเทคโนโลยีและคุณภาพงานระดับไฮเอนด์ เชื่อดัน ผลการดำเนินงานโตตามเป้าที่ตั้งไว้ 15-20%

นายณรงค์ เตชะไชยวงศ์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ วิศวการ จำกัด (มหาชน) หรือ IFEC เปิดเผยความคืบหน้าในการขยายธุรกิจของบริษัทฯ ด้วยการเข้าลงทุนในบริษัท อินฟินิท กรีน จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังแสงอาทิตย์ ว่าบริษัทฯ ได้เข้าลงทุนด้วยการซื้อหุ้นในบริษัทดังกล่าว จากบริษัท ท๊อป กรีน เอนเนอยี่ เทคโนโลยี จำกัด ประเทศไต้หวัน จำนวน 2.499 ล้านหุ้น ในราคาตามมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท รวมเป็นมูลค่า 24.99 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนการถือหุ้น 17% ของทุนจดทะเบียนและทุนชำระแล้วของบริษัท อินฟินิท กรีน จำกัด

สำหรับ บริษัท ท๊อป กรีน เอนเนอยี่ เทคโนโลยี จำกัด ประเทศไต้หวัน เป็นบริษัทใน กลุ่ม POWERCOM GROUP ผู้ผลิตเครื่องสำรองไฟ (UPS) ซึ่งครองตลาด UPS ในไต้หวันและอยู่ใน ตลาดหลักทรัพย์ไต้หวันอีกด้วย

“การขยายไปสู่ธุรกิจพลังงานในครั้งนี้ เพราะเราคิดว่า มีความพร้อมมากขึ้น ที่สำคัญในขณะนี้กระแสเงินสดของบริษัทฯ มีสภาพคล่องที่ดีมาก ทำให้เราคิดว่าทำอย่างไรจึงจะบริหารเงินทุนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด บริษัทฯ จึงตัดสินใจที่จะเข้าไปลงทุนในธุรกิจใหม่เพิ่มเติม ซึ่งต้องยอมรับว่าธุรกิจพลังงานทดแทนเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตในอนาคต โดยเป็นไปตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ และความต้องการใช้พลังงานยังมีอีกมาก ขณะที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์” นายณรงค์กล่าวและว่า นอกจากนี้ บริษัท ท๊อป กรีน เอนเนอยี่ เทคโนโลยี ก็นับได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจพลังงาน ที่ไม่ได้มีการลงทุนเฉพาะในไต้หวัน แต่ยังลงทุนในอิตาลี และในเดือนกันยายนปีนี้ บริษัทฯ ก็จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไต้หวัน อีกด้วย

ทั้งนี้ คาดว่า บริษัท อินฟินิท กรีน จำกัด จะสามารถผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อจำหน่ายให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ในระยะแรกประมาณ 2 เมกะวัตต์ จากกำลังการผลิตรวม 5 เมกะวัตต์ ของโรงงานแห่งที่ 1 ที่ตั้งอยู่ที่อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี บนเนื้อที่ 76 ไร่ ได้ภายในเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายนปีนี้ ซึ่งจะทำให้ IFEC สามารถเริ่มรับรู้รายได้จากบริษัทดังกล่าวได้ภายในปีนี้ ส่วนกำลังการผลิต ที่เหลืออีก 3 เมกะวัตต์ จะผลิตได้ประมาณต้นไตรมาสที่ 4

สำหรับธุรกิจหลักของบริษัทฯ ซึ่งเป็นผู้นำเข้า จำหน่าย และปล่อยเช่าสินค้า ประเภทเครื่องถ่ายเอกสารดิจิตอลมัลติฟังก์ชั่น และวัสดุสิ้นเปลือง ยี่ห้อโคนิก้า มินอลต้า แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทยนั้น ก็ยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นไปตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยผลการดำเนินงานในปี 2552 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 70.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.52 ล้านบาทหรือกว่า 40.89% เมื่อเทียบกับ ช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 50.18 ล้านบาท โดยบริษัทฯ ได้จ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นสำหรับ ผลการดำเนินงานปีที่ผ่านมา 3 ครั้ง รวมเป็นเงินปันผล 0.10 บาทต่อหุ้น

“บางคนอาจจะมองธุรกิจหลักของ IFEC เพียงแค่มิติเดียว ทำให้คิดว่าโอกาสของการขยายตัวมี ไม่มาก ทั้งที่ จริงๆ แล้ว ทุกวันนี้ไม่ว่าจะภาคธุรกิจขนาดใหญ่หรือเล็ก ต่างต้องการเทคโนโลยีที่มากขึ้น ซึ่งสินค้าของ IFEC ไม่ใช่ทำหน้าที่เพียงเครื่องถ่ายเอกสาร แต่เรียกได้ว่าเป็น Production Printing ที่สามารถรองรับกับเทคโนโลยีดิจิตอล และมีความสามารถในการทำงานได้หลากหลายขึ้น ทำให้โอกาสในการเติบโตของธุรกิจหลักยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง เมื่อผนวกกับการขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานเพิ่มเติม จากความต้องการบริหารเงินทุนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้เชื่อว่า ธุรกิจทั้งสองส่วนจะผลักดันให้ผล การดำเนินงานในปี 2553 สามารถเติบโตได้ตามที่บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 15-20% ได้ในที่สุด” ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร IFEC กล่าว

ด้าน นายไซม่อน ชาง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ท๊อป กรีน เอนเนอยี่ เทคโนโลยี จำกัด กล่าวว่า บริษัทมีความเชี่ยวชาญในเรื่องของพลังงานแสงอาทิตย์มากที่สุดรายหนึ่งของโลก และเป็นกลุ่มบริษัทเดียวในโลกที่มีวัตถุดิบในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์อย่างครบวงจร จึงเชื่อว่าการเข้ามาร่วมงานกับ IFEC ในครั้งนี้ จะส่งผลดีต่อผู้ถือหุ้นของ IFEC ด้วย และจากความสัมพันธ์ที่ได้เริ่มขึ้นแล้วนี้ จะเป็นก้าวสำคัญที่จะพัฒนาความร่วมมือในด้านอื่นๆ ต่อไป