บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปปี’ 53: ผู้ประกอบการเน้นการเพิ่มมูลค่าสินค้า พร้อมๆกับขยายตลาดส่งออก

บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหารชนิดหนึ่ง ที่ไทยมีปริมาณการผลิตในแต่ละปีมากถึง 1.5 แสนตัน ส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 81 เป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายภายในประเทศ ที่เหลืออีกประมาณร้อยละ 19 ส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ ทั้งนี้ จากภาวะตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปภายในประเทศที่เริ่มอิ่มตัว โดยเฉพาะบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปชนิดซอง ซึ่งมีสัดส่วนของมูลค่าตลาดมากที่สุดถึงร้อยละ 94 ของมูลค่าตลาดรวม แต่กลับมีมูลค่าการจำหน่ายภายในประเทศขยายตัวได้เพียงร้อยละ 2-3 ต่อปี นั้น ทำให้ผู้ประกอบการไทยเริ่มขยายตลาดผลิตภัณฑ์ไปในกลุ่มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูประดับพรีเมี่ยม (ชนิดถ้วย) มากขึ้น ซึ่งน่าจะช่วยเพิ่มมูลค่ายอดขายภายในประเทศได้ พร้อมๆ ไปกับมองหาลู่ทางขยายตลาดไปยังต่างประเทศ ทำให้มูลค่าการส่งออกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของไทยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ขยายตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 15 ต่อปี โดยมีลูกค้าเป้าหมายสำคัญเป็นกลุ่มคนไทยและชาวเอเชียที่อาศัยอยู่ในสหภาพยุโรปและสหรัฐฯ

ทั่วโลกบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นเป็น 158.7 พันล้านซอง ในปี 2553

บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นอาหารสำคัญประเภทหนึ่งของคนเอเชีย เนื่องจากสอดคล้องกับวัฒนธรรมการรับประทานบะหมี่ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชาวเอเชีย และมีความสะดวกสบายในการปรุง ทำให้การบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของโลกในช่วงปี 2547-2551 ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องประมาณร้อยละ 17 ต่อปี ซึ่งจากข้อมูลล่าสุด ณ เดือนพฤษภาคม 2552 ของ World Instant Noodles Association ได้แสดงให้เห็นว่า ในปี 2551 ทั่วโลกมีปริมาณการบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรวม 93.6 พันล้านซอง ขณะที่มีการคาดการณ์ว่า ในปี 2553 ปริมาณการบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของโลก จะขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 158.7 พันล้านซอง หรือเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 30.2 ต่อปี

โดยปัจจุบันจีนเป็นตลาดผู้บริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรายใหญ่ที่สุดในโลก มีสัดส่วนประมาณครึ่งหนึ่งของปริมาณการบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทั้งหมดของโลก เนื่องจากจีนมีประชากรมากถึง 1,300 ล้านคน หรือ ประมาณร้อยละ 20 ของประชากรโลก โดยในปี 2551 จีนบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรวม 45.2 พันล้านซอง

ขณะที่อินโดนีเซียและญี่ปุ่นเป็นตลาดที่มีขนาดรองลงมา มีปริมาณการบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในปี 2551 รวม 13.7 และ 5.1 พันล้านซอง ตามลำดับ ทั้งนี้ ประเทศที่น่าจับตามองสำหรับตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป คือ เวียดนาม เนื่องจากในช่วงปี 2547-2551 เวียดนามมีการบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณร้อยละ 58 ต่อปี นำหน้าเกาหลีใต้ขึ้นมาเป็นผู้บริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปลำดับที่ 5 ของโลก

ส่วนไทยเป็นผู้บริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรายใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก ซึ่งในช่วงปี 2547-2551 มีอัตราการขยายตัวของปริมาณการบริโภคเฉลี่ยประมาณร้อยละ 5.1 ต่อปี โดยในปี 2551 มีปริมาณการบริโภครวม 2.2 พันล้านซอง หรือคิดเป็นอัตราการบริโภคเฉลี่ยของคนไทยเท่ากับ 35.5 ซอง/คน/ปี สูงกว่าอัตราการบริโภคเฉลี่ยของโลก ซึ่งอยู่ที่ 23.7 ซอง/คน/ปี แสดงให้เห็นว่า ในปัจจุบันคนไทยบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในปริมาณที่สูงกว่าอัตราการบริโภคเฉลี่ยของโลกอยู่มาก จึงทำให้ปริมาณความต้องการบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของไทยเริ่มขยายตัวเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง

ปี 2553 ไทยจะส่งออกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไปยังตลาดโลก เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 12-14

การส่งออกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของไทยในปัจจุบัน มีตลาดส่งออกหลักกว่าร้อยละ 45 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด เป็นกลุ่มคนไทยและชาวเอเชียที่อาศัยอยู่ในสหภาพยุโรป และสหรัฐฯ ซึ่งในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2553 ไทยมีมูลค่าการส่งออกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไปยังสหภาพยุโรปรวม 148.3 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 7.9 และส่งออกไปยังสหรัฐฯ รวม 76 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 13.6 ขณะที่การส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ในอาเซียน ซึ่งมีปริมาณการบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรวมกันมากเป็นอันดับสองรองจากจีน กลับขยายตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าในปัจจุบันจะมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 20.8 ของมูลค่าการส่งออกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทั้งหมดของไทยก็ตาม

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า อาเซียนถือเป็นตลาดส่งออกของไทยที่น่าจับตามอง เนื่องจากมีประชากรจำนวนมาก ประกอบกับรสชาติของอาหารที่บริโภคมีความคล้ายคลึงกัน แต่ปริมาณการผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในประเทศเหล่านี้ยังมีไม่เพียงพอ โดยมูลค่าการส่งออกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของไทยไปยังตลาดอาเซียนในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2553 มีมูลค่าส่งออกรวม 110.8 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนถึงร้อยละ 27.1 ซึ่งส่วนหนึ่งคาดว่าเป็นผลมาจากการเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ที่ทำให้ไทยสามารถส่งออกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไปยังประเทศต่างๆ ในอาเซียนได้มากขึ้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงคาดว่า มูลค่าการส่งออกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของไทยไปยังตลาดอาเซียนตลอดทั้งปี 2553 นี้ จะขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2552 ประมาณร้อยละ 23-25

ขณะที่การส่งออกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของไทยไปยังตลาดโลกในปี 2553 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า จะมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นประมาณ ร้อยละ 12-14 จากปี 2552 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจในตลาดส่งออกสำคัญ เช่น สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ที่ยังค่อนข้างเปราะบาง และดำเนินไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้คาดว่าปริมาณการบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป จะยังขยายตัวดี ต่อเนื่องจากปี 2552 ที่ผ่านมา ขณะที่ผลจากการเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียนจะทำให้มูลค่าการส่งออกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของไทยไปยังประเทศเพื่อนบ้านต่างๆ อาทิ สปป.ลาว พม่า กัมพูชา และเวียดนามมีแนวโน้มดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม ในการแข่งขันทั้งในตลาดโลกและอาเซียน ไทยยังต้องเผชิญกับคู่แข่งขันที่สำคัญอย่างอินโดนีเซีย เนื่องจากอินโดนีเซียเป็นประเทศผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรายใหญ่ของโลก มีกำลังการผลิตในปี 2552 ประมาณ 1.5 ล้านตัน และขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 7.7 ต่อปี ทำให้ในปัจจุบัน นอกจากอินโดนีเซียจะสามารถผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปได้มากเพียงพอต่อความต้องการบริโภคภายในประเทศแล้ว ยังมีเหลือเพื่อการส่งออกมากขึ้น โดยในปี 2552 อินโดนีเซียมีมูลค่าส่งออกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรวม 94.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่วนใหญ่เป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปราคาถูก เนื่องจากมีต้นทุนค่าวัตถุดิบสำคัญ อาทิ แป้งสาลี และน้ำมันปาล์มที่ค่อนข้างต่ำ เพราะสามารถผลิตได้เองภายในประเทศเป็นจำนวนมาก ขณะที่การผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของไทยยังต้องพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่

บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปพรีเมี่ยมมาแรง ดันตลาดในประเทศโตร้อยละ 5-6

สำหรับการจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในประเทศ ซึ่งเป็นตลาดหลักของผู้ประกอบการไทย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าในปี 2553 จะมีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 11,200 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2552 ประมาณร้อยละ 5-6 โดยได้รับอานิสงค์จากแข่งขันฟุตบอลโลก 2010 ซึ่งจะมีขึ้นในระหว่างวันที่ 11 มิถุนายน-11 กรกฎาคม 2553 ทำให้ความต้องการบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในระหว่างรับชมการแข่งขันฟุตบอลโลกในช่วงเวลาดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับที่คาดว่าผู้ประกอบการจะนำกลยุทธ์ทางการตลาดต่างๆ มาใช้อย่างต่อเนื่อง เพื่อจูงใจผู้บริโภคให้ตัดสินใจซื้อในสินค้าในปริมาณที่มากขึ้น ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นยอดขายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปภายในประเทศให้เพิ่มสูงขึ้น

ทั้งนี้ การขยายตัวของตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปภายในประเทศ ซึ่งแบ่งออกเป็นชนิดซองและชนิดถ้วย (ระดับพรีเมี่ยม) มีความแตกต่างกันดังนี้

 บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปชนิดซอง เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีสัดส่วนของมูลค่าตลาดมากที่สุด ประมาณร้อยละ 94 ของมูลค่าตลาดรวม แต่จากการที่ตลาดถูกปิดไว้ด้วยราคาจำหน่ายประมาณ 5-8 บาท/ซอง ทำให้ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ตลาดค่อนข้างอิ่มตัว โดยมีมูลค่าตลาดขยายตัวเพิ่มขึ้นเพียงประมาณร้อยละ 2-3 ต่อปี ทั้งนี้ ในปี 2553 ซึ่งมี การแข่งขันฟุตบอลโลก 2010 เกิดขึ้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงประเมินว่า บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปชนิดซองน่าจะมีโอกาสขยายตัวได้มากขึ้นกว่าปีก่อนหน้าเล็กน้อย โดยคาดว่า มูลค่าตลาดจะขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ ร้อยละ 3-4 จากปี 2552 หรือมีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 10,300 ล้านบาท ซึ่งการแข่งขันของผู้ประกอบการจะเน้นไปที่การสรรหารสชาติใหม่ๆ บนรูปแบบผลิตภัณฑ์เดิม เพื่อรักษาตลาดไว้ และแย่งชิงกลุ่มลูกค้าจากคู่แข่งขัน โดยทุกวงจรผลิตภัณฑ์ประมาณ 2-3 เดือน จะมีการออกรสชาติใหม่ เพื่อให้เกิดความเคลื่อนไหวกับตราผลิตภัณฑ์

บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปชนิดถ้วย หรือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูประดับพรีเมี่ยม เป็นตลาดผลิตภัณฑ์ที่คาดว่าจะมีการแข่งขันรุนแรงมากขึ้น หลังจากที่ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปชนิดซองเริ่มอิ่มตัว เนื่องจากเป็นตลาดที่สามารถกำหนดราคาจำหน่ายได้สูง และในอนาคตจะช่วยส่งผลให้ภาพลักษณ์ของตราผลิตภัณฑ์ดีขึ้นจากการพัฒนามูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์ ทำให้ในปัจจุบันผู้ประกอบการแต่ละรายเริ่มมีการขยายผลิตภัณฑ์และทำการตลาดในกลุ่มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูประดับพรีเมี่ยมมากขึ้น ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ในปี 2553 มูลค่าตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูประดับพรีเมี่ยมจะขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2552 ถึงร้อยละ 40 หรือมีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 896 ล้านบาท ทำให้มีสัดส่วนของมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 8 ของมูลค่าตลาดรวม ซึ่งนอกจากนี้ ยังคาดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูประดับพรีเมี่ยมจะมีส่วนแบ่งตลาดมากถึงร้อยละ 20 ของมูลค่าตลาดรวม

อย่างไรก็ตาม นอกจากผู้ประกอบการไทยจะต้องแข่งขันกันเองภายในประเทศแล้ว ยังต้องเผชิญกับการแข่งขันจากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนำเข้า ทั้งในตลาดระดับล่างและบนเพิ่มมากขึ้น โดยในตลาดผลิตภัณฑ์ระดับล่าง จะต้องเผชิญกับการแข่งขันจากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปราคาถูกจากอินโดนีเซียที่เริ่มเข้ามาตีตลาด ซึ่งจะเห็นได้จากปริมาณการนำเข้าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของไทยจากอินโดนีเซียในปี 2552 ที่มีสัดส่วนมากที่สุดถึงร้อยละ 77.9 ของปริมาณการนำเข้าทั้งหมด และเพิ่มขึ้นจากปี 2551 ถึงร้อยละ 52.0 ถึงแม้ว่าในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2553 จะมีปริมาณการนำเข้าลดลงร้อยละ 60.0 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนก็ตาม แต่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยก็คาดว่าปริมาณการนำเข้าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของไทยจากอินโดนีเซียในปีนี้ ก็จะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยเกื้อหนุนจากการเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ซึ่งคาดว่าปริมาณการนำเข้าจะทยอยเพิ่มสูงขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปี 2553 เป็นต้นไป

ส่วนในตลาดผลิตภัณฑ์ระดับบน ผู้ประกอบการจะต้องเผชิญการแข่งขันกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนำเข้าจากญี่ปุ่น ซึ่งไทยมีมูลค่านำเข้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องประมาณร้อยละ 60-70 ต่อปี โดยในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2553 มีมูลค่านำเข้ารวม 1.2 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนถึงร้อยละ 140 อย่างไรก็ตาม บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนำเข้าจากญี่ปุ่นมีรสชาติที่ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของคนญี่ปุ่น ซึ่งแตกต่างจากรสชาติบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของไทยที่มีความจัดจ้านเป็นเอกลักษณ์สำคัญ ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ผู้ประกอบการบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของไทยยังมีโอกาสอีกมาก ที่จะแข่งขันในตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูประดับพรีเมี่ยมทั้งตลาดในประเทศและตลาดโลก เนื่องจากมีผลิตภัณฑ์ที่มีรสชาติเป็นที่รู้จักและยอมรับของคนทั่วโลก อาทิ รสต้มยำกุ้ง และรสหมูสับ เป็นต้น แต่ปัจจัยสำคัญที่ผู้ประกอบการจะต้องพัฒนาต่อไปเพื่อให้สามารถแข่งขันได้มากขึ้น ก็คือ การพัฒนารูปแบบบรรจุภัณฑ์ ให้มีลักษณะเป็นที่น่าดึงดูด ควบคู่ไปกับการพัฒนารสชาติและเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการต่างๆ ให้กับผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง

ราคาวัตถุดิบมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น…เป็นปัจจัยที่ต้องเฝ้าระวัง

แม้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจะคาดว่าตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในปี 2553 จะขยายตัวเพิ่มขึ้น ทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก แต่ปัญหาเรื่องราคาสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ตามทิศทางของภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวดีขึ้น และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกที่ไม่มีความแน่นอน ก็อาจทำให้ราคาวัตถุดิบสำคัญ อาทิ แป้งสาลี และน้ำมันปาล์ม ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นได้ ส่งผลให้ต้นทุนวัตถุดิบของผู้ประกอบการเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ราคาจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกลับถูกจำกัดไว้ที่ราคา 5-8 บาท/ ซอง เท่านั้น ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงควรต้องมีการติดตามและเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงของราคาและสถานการณ์ทางธรรมชาติต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาวัตถุดิบอย่างใกล้ชิด และนำกลยุทธ์การซื้อ-ขายวัตถุดิบล่วงหน้ามาปรับใช้ ควบคู่ไปกับการปรับปรุงและจัดการระบบบริหารสินค้าคงคลังให้มีประสิทธิภาพ

สรุป

จากสภาพตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปชนิดซองภายในประเทศที่เริ่มอิ่มตัวในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้ผู้ประกอบการบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปต้องปรับตัว ด้วยการขยายตลาดไปในกลุ่มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูประดับพรีเมี่ยม (ชนิดถ้วย) มากขึ้น พร้อมๆ ไปกับมองหาลู่ทางกระจายสินค้าไปยังตลาดต่างประเทศ ทำให้มูลค่าการส่งออกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของไทย เริ่มขยายตัวดีขึ้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงคาดว่า ในปี 2553 มูลค่าการส่งออกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของไทยจะขยายตัวเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 12-14 จากปี 2552 เนื่องจากตลาดส่งออกสำคัญ เช่น สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ยังมีทิศทางฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจที่ค่อนข้างเปราะบาง ทำให้คาดว่าปริมาณการบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป จะยังขยายตัวดี ต่อเนื่องจากปี 2552 ที่ผ่านมา ขณะที่ผลจากการเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) จะทำให้ไทยสามารถขยายตลาดไปในประเทศเพื่อนบ้านต่างๆ อาทิ สปป.ลาว พม่า กัมพูชา และเวียดนามได้มากขึ้น โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของไทยไปยังตลาดอาเซียนในปี 2553 จะขยายตัวเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 23-25 จากปี 2552

ขณะที่การจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในประเทศ ซึ่งเป็นตลาดหลักของผู้ประกอบการไทย ในปี 2553 นี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า จะมีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 11,200 ล้านบาท หรือขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2552 ประมาณร้อยละ 5-6 โดยได้รับอานิสงค์จากการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010 ที่จะทำให้ความต้องการบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในระหว่างรับชมการแข่งขันเพิ่มสูงขึ้น โดยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปชนิดซองที่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ตลาดค่อนข้างอิ่มตัว โดยขยายตัวได้เพียงร้อยละ 2-3 ต่อปี นั้นคาดว่าในปีนี้จะมีมูลค่าตลาดขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 3-4 จากปี 2552 หรือมีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 10,300 ล้านบาท ขณะที่ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปชนิดถ้วยหรือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูประดับพรีเมี่ยม จะขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2552 ถึงร้อยละ 40 หรือมีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 896 ล้านบาท