แคนซัสซิตี้ รัฐแคนซัส – บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส ได้ออกแถลงการณ์ว่า บริษัทฯ ได้ทำการชำระคืนเงินกู้ยืมงวดสุดท้ายจำนวน 5,800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 186,296 ล้านบาท) แก่กระทรวงการคลังแห่งสหรัฐฯ และองค์การส่งเสริมการส่งออกแห่งประเทศแคนาดา ทั้งนี้เป็นการชำระคืนเงินกู้ยืมเต็มจำนวน ก่อนกำหนดการชำระคืนที่เคยกำหนดไว้
การประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นในการแถลงข่าวการลงทุนเพิ่มเติมจำนวน 257 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 8,254 ล้านบาท) ในศูนย์การผลิตรถยนต์ของจีเอ็มที่เมืองแฟร์แฟกซ์ มลรัฐแคนซัส และโรงงานดีทรอยท์-แฮมแทรค ณ เมืองดีทรอยท์ ซึ่งการลงทุน ณ โรงงานแฟร์แฟกซ์นั้น จะทำให้จีเอ็ม สามารถผลิตรถยนต์ในรุ่นมาลิบู เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดในอนาคตได้ดียิ่งขึ้น ส่วนโรงงานดีทรอยท์-แฮมแทรค จะเป็นแหล่งการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ เพื่อสนับสนุนการผลิต ณ โรงงานแฟร์แฟกซ์
“จีเอ็มสามารถชำระเงินกู้คืนแก่ภาครัฐโดยเต็มจำนวน พร้อมทั้งดอกเบี้ยก่อนกำหนด เนื่องจากเราสามารถทำยอดขายได้อย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะรถยนต์ในรุ่น เชฟโรเลต มาลีบู และรุ่น บูอิค ลาครอส เรากำลังก้าวย่างสู่การสร้างรถยนต์ รถบรรทุก และพาหนะอื่นๆที่ดีที่สุด และตลาดของเราก็เริ่มที่จะรับรู้การเคลื่อนไหวนี้ เราพบว่ายอดขายที่ตัวแทนจำหน่ายกำลังเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น เราจึงลงทุนเพิ่มเติมในส่วนของฐานการผลิต เพื่อให้สามารถเพิ่มกำลังการผลิตและสร้างโอกาสในการทำงานใหม่ๆ” มร. เอ็ด วิทเทเคอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เจนเนอรัล มอเตอร์ส กล่าว
รัฐบาลแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา ได้ให้เงินกู้ยืมจำนวน 8,400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 269,808 ล้านบาท) แก่จีเอ็ม และเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทฯ การชำระคืนเงินกู้ยืมในครั้งนี้ ประกอบด้วยการชำระคืนเงินกู้จำนวน 4,700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 150,964 ล้านบาท) แก่กระทรวงการคลังสหรัฐฯ และอีกจำนวน 1,100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 35,332 ล้านบาท) แก่องค์การส่งเสริมการส่งออกแห่งประเทศแคนาดา
“การที่เราสามารถชำระคืนเงินกู้ในครั้งนี้เป็นสัญญาณแสดงให้เห็นว่า เรากำลังดำเนินธุรกิจไปได้ตามแผนงาน และเรากำลังเดินมาในทางที่ถูกต้องแล้ว ซึ่งนี่เป็นก้าวย่างที่สำคัญที่ช่วยลดภาระการลงทุนของบรรดาผู้ถือหุ้นในบริษัท เราตระหนักดีว่ายังมีงานหนักรอเราอยู่ข้างหน้า และเราก็กำลังก้าวไปตามวิสัยทัศน์ของเราที่จะออกแบบ สร้าง และจัดจำหน่ายรถยนต์ที่ดีที่สุดในโลกต่อไป เรามีความยินดีที่สาธารณชนได้ให้ความสนับสนุนแก่จีเอ็ม และทำให้เราบรรลุเป้าหมายของเราได้” มร. เอ็ด วิทเทเคอร์ กล่าวเสริม
ยอดขายของรถยนต์ทั้งเชฟโรเลต บูอิค จีเอ็มซี และคาดิแลค เป็นตัวกระตุ้นให้จีเอ็มต้องเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด ยอดขายของรถยนต์ทั้งสี่แบรนด์ในไตรมาสแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้นกว่า 36 เปอร์เซนต์ จากช่วงเดียวกันของปี 2552 โดยรถยนต์ในรุ่นใหม่ๆที่เพิ่งเปิดตัว เช่น เชฟโรเลต อิควินอกซ์ คาเมโร และแทรฟเวิร์ส จีเอ็มซี ทั้งรุ่นเทอร์เรน และอคาเดีย รวมถึงรถยนต์คาดิแลค เอสอาร์เอกซ์ กำลังเป็นที่ต้องการของตลาดเป็นอย่างมาก
สำหรับโรงงานที่แฟร์แฟกซ์ในปัจจุบัน สามารถผลิตรถยนต์ในรุ่นเชฟโรเลต มาลิบู และบูอิก ลาครอส ซึ่งเป็นสองรุ่นที่ขายดีที่สุดของบริษัทฯ โดยในไตรมาสแรกของปีนี้ จีเอ็มได้ทำการส่งมอบรถยนต์ในรุ่นมาลิบู แก่ลูกค้ากว่า 49,000 คัน และรถยนต์ในรุ่นลาครอส กว่า 14,000 คัน โดยยอดขายดังกล่าวเพิ่มขึ้นกว่า 58 เปอร์เซนต์จากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นนี้ จีเอ็มจะทำการเพิ่มรอบการทำงาน ซึ่งจะก่อให้เกิดการจ้างงานใหม่อีก 1,050 ตำแหน่ง ทำให้ยอดการจ้างงานรวมทั้งหมดที่โรงงานเพิ่มขึ้นถึง 3,800 ตำแหน่ง
นอกจากโรงงานแฟร์แฟกซ์ที่จะเป็นแหล่งผลิตสำคัญของรถยนต์ในรุ่นมาลิบู โรงงานดีทรอยท์-แฮมแทรค ซึ่งปัจจุบันผลิตรถยนต์บูอิก ลูเซิร์น และคาดิแลค ดีทีเอส จะได้รับการพัฒนาให้สามารถผลิตรถยนต์ในรุ่นมาลิบูได้เช่นกัน อีกทั้งในอนาคตโรงงานดีทรอยท์-แฮมแทรค จะสามารถผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ในรุ่นเชฟโรเลต โวลท์ โดยเมื่อวันที่ 31 มีนาคม ที่ผ่านมา โรงงานได้ฉลองความสำเร็จในการผลิตรถยนต์รุ่นนี้ ออกมาจากสายการผลิตจริงเพื่อทำการทดสอบสมรรถนะเป็นครั้งแรก
เงินลงทุนอันเกี่ยวข้องกับรถยนต์ในรุ่นมาลิบู จำนวน 136 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 4,368 ล้านบาท) ในโรงงานแฟร์แฟกซ์ และอีก 121 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 3,886 ล้านบาท) ในโรงงานดีทรอยท์-แฮมแทรค เป็นการลงทุนในส่วนของโครงสร้างโรงงาน สายการผลิต และอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ
ในแง่ของการลงทุน จีเอ็มได้ประกาศแผนการใช้เงินกว่า 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (48,180 ล้านบาท) ในโรงงานกว่า 20 แห่ง ทั้งในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว โดยการลงทุนเหล่านั้นได้ก่อให้เกิดการจ้างงานกว่า 7,500 ตำแหน่ง และเป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นรับผิดชอบของจีเอ็มในการดำเนินธุรกิจ ทั้งในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา
*หมายเหตุ ค่าเงินบาท ณ วันที่ 21 เมษายน 2553 (1 เหรียญสหรัฐฯ = 32.12 บาท)