จากรายงานยอดขายรถยนต์ในประเทศ และยอดการส่งออกรถยนต์ของไทยในเดือนพฤษภาคม ปี 2553 ที่ผ่านมา ซึ่งแม้จะต้องเผชิญกับวิกฤตความรุนแรงทางการเมืองภายในประเทศ และปัญหาเศรษฐกิจในต่างประเทศจากวิกฤตหนี้ในกลุ่มยูโรโซนและมาตรการชะลอความร้อนแรงของการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีน โดยยอดขายรถยนต์ในประเทศขยายตัวสูงถึงร้อยละ 53.4 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันในปีก่อน ด้านยอดการส่งออกรถยนต์ของไทยเดือนเดียวกันก็ขยายตัวสูงมากเช่นเดียวกันที่ระดับร้อยละ 135.2 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว โดยการขยายตัวของทั้ง 2 ตลาดในเดือนพฤษภาคมนี้ เป็นการขยายตัวในระดับสูงต่อเนื่องมาจากต้นปี ซึ่งจะเป็นผลทำให้ปริมาณการผลิตรถยนต์ของไทยในปี 2553 นี้ ขยายตัวสูงขึ้นอย่างมาก เกินระดับที่ผู้ประกอบการเคยมีการคาดการณ์ไว้ที่ 1.4 ล้านคัน และมีโอกาสสูงที่จะขึ้นไปทำสถิติสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้วิเคราะห์ถึงทิศทางการผลิตรถยนต์ของไทยในปี 2553 โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้
ตลาดรถยนต์ในประเทศปี 2553 ขยายตัวเกินคาดถึงประมาณร้อยละ 27 ถึง 33
จากการรายงานของ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ล่าสุดถึงตัวเลขยอดขายรถยนต์ในประเทศเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ทำให้ในช่วง 5 เดือนแรกที่ผ่านมาของ ปี 2553 ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ในประเทศของไทยสามารถบันทึกยอดขายได้สูงถึง 286,135 คัน ด้วยอัตราการขยายตัวที่สูงถึงร้อยละ 52.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในจำนวนนี้แบ่งออกเป็นรถยนต์นั่ง 124,196 คัน ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 56.4 ขณะที่รถเพื่อการพาณิชย์มีจำนวนทั้งสิ้น 161,939 คัน และขยายตัวสูงถึงร้อยละ 49.1
ยอดขายรถยนต์ในประเทศของไทยที่ขยายตัวสูงตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2552 นั้น ได้รับปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของทั้งในและต่างประเทศที่ดีขึ้น และยังเป็นผลมาจากการเพิ่มสูงขึ้นของราคาสินค้าเกษตรบางตัว เช่น ยางพารา และมันสำปะหลัง ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น รวมถึงการแข่งขันกันสูงระหว่างบริษัทผู้ให้สินเชื่อ ส่งผลทำให้ยอดขายรถยนต์ในประเทศปีนี้ปรับตัวดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว อย่างไรก็ตามปัจจัยสำคัญอีกด้านที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าเป็นตัวกระตุ้นอุปสงค์ของรถยนต์ในประเทศในปีนี้ค่อนข้างมาก คือ การตอบรับที่ดีอย่างมากต่อรถยนต์นั่งขนาดเล็กที่เปิดตัวใหม่ ซึ่งเป็นปัจจัยผลักดันให้ยอดขายรถยนต์นั่งในประเทศขยายตัวสูงต่อเนื่อง จนปัจจุบันมีสัดส่วนอยู่ที่ประมาณร้อยละ 43 ของตลาดรถยนต์รวม จากที่เคยมีสัดส่วนไม่ถึงร้อยละ 40 ในปี 2551 และความนิยมต่อรถยนต์นั่งขนาดเล็กที่เพิ่มขึ้นนี้ คาดว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ตลาดรถยนต์นั่งมีสัดส่วนสูงขึ้น
อนึ่ง แม้ในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาจะเป็นช่วงที่สถานการณ์การเมืองของไทยต้องเผชิญกับปัญหาความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมการดำเนินชีวิตของประชาชนทั้งในกรุงเทพและอีกหลายจังหวัดเป็นเวลากว่าครึ่งเดือน และสร้างความเสียหายให้กับอุตสาหกรรมภาคบริการพอสมควร แต่ปัจจัยดังกล่าวก็ดูเหมือนจะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการจัดจำหน่ายรถยนต์ในประเทศอย่างที่เคยกังวลไว้ นอกจากนี้การที่ภาครัฐได้เข้ามาเร่งให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ และฟื้นฟูภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ เช่น อุตสาหกรรมท่องเที่ยว เป็นต้น ทำให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคฟื้นกลับคืนมาค่อนข้างเร็ว ซึ่งหากการฟื้นตัวของธุรกิจที่ได้รับผลกระทบสามารถดำเนินต่อไปได้ไม่สะดุด ประกอบกับภาคการส่งออกของไทยยังคงเป็นปัจจัยหนุนเศรษฐกิจของไทยให้ฟื้นตัวต่อเนื่องไปได้ในช่วงอีกครึ่งปีที่เหลือนี้ ก็น่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อการเติบโตของตลาดรถยนต์ในประเทศของไทย อย่างไรก็ดี แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่อาจจะมีการปรับขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง รวมทั้งปัญหาภัยแล้งที่จะกระทบต่อรายได้ของเกษตรกร อาจมีผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคบางกลุ่มในตลาดรถยนต์
จากทิศทางการขยายตัวของยอดขายรถยนต์ในประเทศดังกล่าว ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าจะทำให้ยอดขายรถยนต์ในประเทศปี 2553 ของไทยมีโอกาสขยายตัวได้สูงถึงร้อยละ 28 ถึง 33 คิดเป็นจำนวน 700,000 ถึง 730,000 คัน เพิ่มขึ้นจากที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ร้อยละ 16 ถึง 25 หรือคิดเป็นจำนวน 635,000 ถึง 685,000 คัน และจำนวนยอดขายรถยนต์ในประเทศดังกล่าวอาจเป็นสถิติที่สูงที่สุดของไทย โดยสูงกว่าที่เคยทำได้ในปี 2548 ที่จำนวน 703,261 คัน
การส่งออกรถยนต์ของไทยปี 2553 มีแนวโน้มขยายตัวสูงถึงร้อยละ 55 ถึง 64
จากรายงานตัวเลขการส่งออกรถยนต์ของไทยโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยล่าสุด พบว่าการส่งออกรถยนต์ของไทยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2553 ที่ผ่านมานั้น มีการขยายตัวดีขึ้นมากถึงร้อยละ 75.0 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน หรือคิดเป็นจำนวนรถยนต์ส่งออก 348,899 คัน โดยถ้าดูในส่วนของมูลค่าการส่งออกที่รายงานโดยกระทรวงพาณิชย์ในช่วงเวลาเดียวกันก็พบว่าขยายตัวสูงเช่นกันที่ร้อยละ 90.1 คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 5,013.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยตลาดส่งออกสำคัญที่มีการขยายตัวสูง คือ ออสเตรเลีย และอาเซียน ซึ่งมีการขยายตัวสูงถึงร้อยละ 159.2 และ 115.5 ตามลำดับ
การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศที่เป็นตลาดส่งออกรถยนต์รายหลักๆของไทย เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความต้องการซื้อสินค้าคงทนอย่างเช่นรถยนต์มีเพิ่มมากขึ้น ส่งผลทำให้โอกาสในการนำเข้ารถยนต์จากไทยมีเพิ่มสูงขึ้นตาม นอกจากนี้การเปิดเสรีทางการค้าระหว่างไทยกับประเทศคู่เจรจา โดยเฉพาะการเปิดเสรีภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน ซึ่งตั้งแต่ต้นปี 2553 ภาษีรถยนต์ส่งออกจากไทยไปยังประเทศในกลุ่มอาเซียนเดิม 6 ประเทศ ซึ่งประกอบไปด้วย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ บรูไน และไทย ได้ลดเหลือร้อยละ 0 ทั้งหมด ทำให้การส่งออกรถยนต์จากไทยมีโอกาสขยายตลาดเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันการเปิดเสรีทางการค้ายังส่งผลให้เกิดการย้ายฐานการผลิตรถยนต์บางรุ่นเข้ามายังไทย หลังต้นทุนวัตถุดิบและราคาส่งออกลดลงเพื่อขยายฐานการส่งออก ประกอบกับในปีนี้ไทยมีการเปิดตัวรถยนต์ขนาดเล็กประหยัดพลังงานรุ่นใหม่ หรือ รถอีโคคาร์ ออกสู่ตลาดสอดคล้องกับความต้องการในปัจจุบันของตลาดโลก ซึ่งคาดว่าจะเป็นปัจจัยบวกสนับสนุนตลาดส่งออกรถยนต์ของไทยในปีนี้ได้อีกทางหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงสำคัญในระยะต่อจากนี้ไปสำหรับการส่งออกรถยนต์ของไทยที่ยังต้องคำนึงถึง คือ ทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังมีความไม่แน่นอน โดยเฉพาะความวิตกกังวลต่อวิกฤตหนี้ในยุโรป รวมถึงการใช้มาตรการชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน ส่งผลให้การนำเข้าสินค้าขั้นต้นและขั้นกลางจากหลายประเทศลดลง ซึ่งมีโอกาสที่จะส่งผลกระทบต่อรายได้การส่งออกของตลาดส่งออกรถยนต์หลักของไทย เช่น อาเซียนและออสเตรเลีย เป็นต้น ทำให้การนำเข้ารถยนต์จากไทยของประเทศเหล่านี้อาจชะลอลงได้
จากปัจจัยต่างๆเหล่านี้ ประกอบกับทิศทางการส่งออกที่ขยายตัวดีต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าการส่งออกรถยนต์ของไทยมีแนวโน้มขยายตัวสูงถึงร้อยละ 55 ถึง 64 หรือคิดเป็นจำนวนรถยนต์ส่งออก 830,000 ถึง 880,000 คัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 47 ถึง 57 หรือคิดเป็นจำนวน 790,000 ถึง 840,000 คัน และจะเป็นปริมาณการส่งออกรถยนต์ที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์เช่นเดียวกัน หลังจากที่ไทยเคยส่งออกได้สูงที่สุดในปี 2551 ที่ 775,652 คัน
การผลิตรถยนต์ไทยปี 2553 คาดอยู่ระหว่าง 1.5 ถึง 1.6 ล้านคัน
ทั้งนี้ จากการคาดการณ์การขยายตัวที่เพิ่มสูงขึ้นมากของยอดขายรถยนต์ในประเทศ และการส่งออกรถยนต์ดังที่ได้กล่าวไปในเบื้องต้น ย่อมส่งผลทำให้ยอดการผลิตรถยนต์ปรับเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าการผลิตรถยนต์ในประเทศปี 2553 ของไทยมีโอกาสขยับขึ้นไปแตะระดับ 1,500,000 ถึง 1,600,000 คัน หรือขยายตัวประมาณร้อยละ 50 ถึง 60 เพิ่มขึ้นกว่าปีก่อนที่มีจำนวนยอดการผลิต 999,378 คัน หรือหดตัวร้อยละ 28.2 ซึ่งตัวเลขยอดการผลิตรถยนต์ในปีนี้จะเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากที่ไทยเคยผลิตได้สูงที่สุดก่อนหน้านี้ในปี 2551 ที่ 1,391,728 คัน โดยการผลิตรถยนต์เพื่อการส่งออกจะเป็นตัวกระตุ้นที่สำคัญในปีนี้ และมีสัดส่วนสูงกว่าครึ่งหนึ่งของการผลิตรถยนต์ทั้งหมด
อนึ่ง จากรายงานของธนาคารแห่งประเทศไทยล่าสุด พบว่าอัตราการใช้กำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรม สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนั้น ได้ใช้กำลังการผลิตรวมอยู่ที่ประมาณร้อยละ 70 อย่างไรก็ตาม จากการตอบรับที่ดีของตลาด ซึ่งทำให้รถยนต์หลายรุ่นผลิตไม่ทันและค้างส่งมอบเป็นระยะเวลาหลายเดือน ประกอบกับตั้งแต่เดือนมิถุนายนนี้ รถยนต์อีโคคาร์จากไทย จะเริ่มมีการส่งออกไปต่างประเทศ รวมถึงมีการย้ายฐานการผลิตรถยนต์บางรุ่นจากต่างประเทศมายังไทย โดยเน้นตลาดส่งออก ทำให้ในช่วงที่เหลือของปีอัตราการใช้กำลังการผลิตสำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์มีแนวโน้มจะปรับเพิ่มสูงขึ้นกว่าที่เคยทำไว้ที่ร้อยละ 70 ขึ้นมาเป็นมากกว่าร้อยละ 75 ของกำลังการผลิตรถยนต์ปัจจุบันที่สามารถทำได้ที่ 2 ล้านคันต่อปี
โดยสรุป จากการขยายตัวสูงอย่างต่อเนื่องของยอดขายรถยนต์ในประเทศและการส่งออกรถยนต์ของไทยตั้งแต่ต้นปี อันเนื่องมาจากปัจจัยบวกอันหลากหลายที่ยังคงมีเข้ามากระตุ้นตลาดอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ปัจจัยลบ จนถึงปัจจุบันก็ไม่ได้สร้างผลกระทบต่อยอดขายมากดังที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ ทำให้มีความเป็นไปได้ที่ตลาดรถยนต์ทั้งในและต่างประเทศในปี 2553 นี้จะขยายตัวได้สูงกว่าที่คาด ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงได้มีการปรับประมาณการยอดขายรถยนต์ในประเทศและการส่งออกรถยนต์ไทยขึ้นจากเดิม โดยยอดขายรถยนต์ในประเทศมีโอกาสขยายตัวได้สูงถึงร้อยละ 28 ถึง 33 คิดเป็นจำนวน 700,000 ถึง 730,000 คัน ขณะที่การส่งออกอาจขยายตัวถึงร้อยละ 55 ถึง 64 หรือคิดเป็นจำนวนรถยนต์ส่งออก 830,000 ถึง 880,000 คัน ส่งผลให้การผลิตรถยนต์ในไทยมีโอกาสขยับขึ้นไปแตะระดับ 1,500,000 ถึง 1,600,000 คัน หรือขยายตัวประมาณร้อยละ 50 ถึง 60 จากปีก่อน ซึ่งนับเป็นตัวเลขการผลิตที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์
โดยปริมาณการผลิตรถยนต์ที่สูงขึ้นมากนี้ ได้สร้างความท้าทายในลำดับต่อไปให้แก่กลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ของไทย ในการจะผลิตรถยนต์ให้ได้ตามเป้าหมายแผนแม่บทอุตสาหกรรมยานยนต์ฉบับที่ 2 ที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะผลิตรถยนต์ให้ได้ 2 ล้านคัน ในปี 2554 ซึ่งภาครัฐมีส่วนสำคัญในเชิงนโยบายเพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุนเพิ่มขึ้นในไทย ทั้งในแง่ของการขยายกำลังการผลิตที่มีอยู่เดิม รวมถึงการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศให้เข้ามายังไทยมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะหลังจากจีนซึ่งเป็นฐานการผลิตรถยนต์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก ประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และค่าจ้างแรงงานที่เพิ่มสูงขึ้นมาก ทำให้ไทยซึ่งเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงเป็นฐานการส่งออกรถยนต์ไปยังหลายภูมิภาค เช่น โอเชียเนีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกา เป็นต้น มีโอกาสเพิ่มขึ้นในการถูกมองเป็นฐานการลงทุนสำหรับผลิตรถยนต์ที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่ง