ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง : อานิสงส์ FTA ส่งออกพุ่ง…รัฐเร่งระบายสต็อก

ปี 2553-2554 นับว่าเป็นปีที่ท้าทายสำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง เนื่องจากปริมาณผลผลิตมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของเพลี้ยแป้ง และปัญหาภัยแล้ง ในขณะที่ความต้องการผลิตภัณฑ์ภัณฑ์มันสำปะหลัง โดยเฉพาะจากตลาดจีนมีแนวโน้มสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังทุกระดับตลาด ตั้งแต่ราคาหัวมันสำปะหลังสดที่เกษตรกรขายได้ ไปจนถึงราคาส่งออกเอฟโอบีมันเส้น และแป้งมัน มีแนวโน้มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไข คือ การขาดแคลนมันสำปะหลังเพื่อป้อนโรงงานอุตสาหกรรมต่อเนื่อง

ผลผลิตมันสำปะหลังในปีเพาะปลูก 2552/53ลดลงเหลือ 21.94 ล้านตัน เมื่อเทียบกับปีเพาะปลูก 2551/52 แล้วลดลงร้อยละ 23.5 จากเดิมที่เคยมีการคาดการณ์ว่าผลผลิตมันสำปะหลังจะสูงถึง 30.00 ล้านตัน เนืองจากปัญหาการแพร่ระบาดของเพลี้ยแป้ง และปัญหาภัยแล้ง

คาดการณ์ว่าในปี 2553/54 ผลผลิตมันสำปะหลังมีแนวโน้มลดลงเหลือ 20.00 ล้านตัน หรือลดลงอีกร้อยละ 8.8 ส่งผลให้ราคาหัวมันสำปะหลังมีแนวโน้มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์จากระดับ 1.93 บาท/กิโลกรัม ในช่วงต้นปี 2553 เป็น 2.67 บาท/กิโลกรัมในช่วงปลายเดือนมิถุนายน และยังคงมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันในบางพื้นที่ราคาแตะ 4 บาท/กิโลกรัม

ราคาหัวมันสำปะหลังสดที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ส่งผลต่อเนื่องถึงราคาส่งออกเอฟโอบีมันเส้น และแป้งมันสำปะหลังมีแนวโน้มสูงขึ้นไปด้วย โดยในเดือนมิถุนายน 2553 ราคาส่งออกเอฟโอบีมันเส้นอยู่ในระดับ 6.54 บาท/กิโลกรัม จากที่เคยอยู่ในระดับ 4.97 บาท/กิโลกรัม ในช่วงต้นปี 2553 ส่วนราคาส่งออกเอฟโอบีแป้งมันก็เพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับ 15.88 บาท/กิโลกรัม จาก 9.79 บาท/กิโลกรัม ปัจจุบันราคาเพิ่มขึ้นเป็น 19 บาท/กิโลกรัม

ในขณะที่ปริมาณการผลิตมันสำปะหลังในประเทศมีแนวโน้มลดลง แต่ความต้องการผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเพื่อการส่งออกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมาก กล่าวคือ ในช่วงครึ่งแรกปี 2553 มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเพิ่มขึ้นเป็น 1,222.22 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเพิ่มขึ้น 117.7(y-o-y) เนื่องจากการส่งออกไปจีนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากที่ในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 การส่งออกไปจีนชะลอตัว จากการเผชิญการแข่งขันรุนแรงจากเวียดนาม ปัจจุบันการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังไปยังตลาดจีนมีสัดส่วนร้อยละ 56.4 ของมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังทั้งหมด ถ้าพิจารณาแยกผลิตภัณฑ์พบว่า สำหรับมันเส้นจีนครองสัดส่วนตลาดร้อยละ 99.8 ส่วนแป้งมันจีนครองตลาดเพียงร้อยละ 25.6 ตลาดสำคัญอื่นๆ ได้แก่ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น ไต้หวัน มาเลเซีย สหรัฐฯ และเกาหลีใต้

คาดการณ์ว่าในปี 2553 ความต้องการมันเส้นของจีนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากจีนมีการพัฒนาพลังงานชีวภาพ ในขณะที่ผลผลิตมันสำปะหลังของจีน ที่มีแหล่งปลูกในเขตปกครองตนเองกวางสี ประสบปัญหาภัยแล้ง ผลผลิตลดลงอย่างมาก ทำให้ความต้องการมันเส้นเพื่อใช้ในการผลิตเอทานอลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

ผลจากปัญหาหัวมันสำปะหลังขาดแคลนและราคามีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ส่งผลกระทบอย่างมากต่อโรงงานอุตสาหกรรมแป้งมันสำปะหลัง กล่าวคือ โรงงานแป้งมันสำปะหลังซื้อวัตถุดิบเท่าที่จำเป็นต่อการส่งออกสำหรับลูกค้าที่ได้ทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าไว้แล้ว โรงงานที่เปิดดำเนินการผลิตก็จะลดกำลังการผลิตเหลือเพียงร้อยละ 10-15 ของกำลังการผลิต โรงงานที่ปิดดำเนินการชั่วคราว ร้อยละ 30-40 ทั้งนี้เพื่อประคองตัวรอผลผลิตฤดูการใหม่ที่คาดว่าจะออกสู่ตลาดในราวเดือนตุลาคม 2553

แนวทางการแก้ปัญหาผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังขาดแคลน
-การระบายสต็อกของรัฐบาล รัฐบาลมีสต็อกมันเส้น 1.2 ล้านตัน ทางคณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลังแห่งชาติ มีมติที่จะแบ่งระบายมันเส้น 200,000 ตัน ผ่านการประมูลในตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 900,000 ตัน ยังอยู่ในระหว่างพิจารณาแนวทางการระบายระหว่างการเปิดประมูลเป็นการทั่วไป โดยให้ผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเข้าร่วมประมูลได้ หรือ ให้เสนอราคาซื้อมันเส้นเป็นรายสัปดาห์ เหมือนกับที่เคยดำเนินการระบายมันเส้นในช่วงต้นปี 2553

ปัญหาที่น่ากังวลคือ อุตสาหกรรมแป้งมันสำปะหลัง เนื่องจากสต็อกแป้งมันสำปะหลังของรัฐบาล 140,000 ตันนั้น รัฐบาลขายให้กับ China Marine Shipping Agency Lianyungang Co.Ltd. ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจจีนไปแล้ว ในราคา 10.67 บาท/กิโลกรัม ขณะนี้อยู่ในระหว่างการรอส่งมอบ ซึ่งถ้าการส่งมอบตามสัญญาก็ควรนำแป้งมันส่วนนี้มาเปิดประมูลใหม่

-การนำเข้า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2553 ไทยนำเข้ามันเม็ดมันเส้น 33,119 ตัน มูลค่า 2.87 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 51.2 และร้อยละ 28.6 (y-o-y) เนื่องจากต้องเผชิญปัญหาการแย่งวัตถุดิบกับเวียดนาม ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่การนำเข้าหดตัว ตั้งแต่ไทยเริ่มนำเข้ามันเม็ดมันเส้นในปี 2550 ซึ่งทั้งปริมาณและมูลค่าการนำเข้ามีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

การนำเข้าหัวมันสำปะหลังสดคงทำได้เฉพาะโรงงานแป้งมันที่อยู่แถบชายแดนในจังหวัดจันทบุรี และสระแก้ว ส่วนโรงงานแป้งมันที่ตั้งห่างออกมา การนำเข้านั้นไม่คุ้มค่ากับการขนส่ง ส่วนการนำเข้าแป้งมันจากต่างประเทศ ในปัจจุบันคงทำได้ยาก เนื่องจากหลายประเทศประสบปัญหาการขาดแคลนแป้งมัน โดยเฉพาะอินโดนีเซีย ต้องหันมานำเข้าแป้งมันจากไทย
สำหรับประเด็นที่ต้องพิจารณาสำหรับอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังในระยะยาว คือ

-ผลของกรอบ FTA ต่างๆ ซึ่งมีการลด/ยกเลิกภาษีมันเม็ดมันเส้น และแป้งมันสำปะหลังภายใต้กรอบ FTA ต่างๆ คาดว่าส่งผลให้การส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังไปยังตลาดจีน และอาเซียน โดยเฉพาะอินโดนีเซีย และมาเลเซียมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่วนตลาดที่น่าสนใจ คือ ตลาดญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ กล่าวคือ เกาหลีใต้ลดภาษีแป้งมันเป็นร้อยละ 0 ตั้งแต่ปี 2553 ส่วนผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังภาษีร้อยละ 9 เฉพาะในโควตา 9,600 ตัน/ปี ส่วนตลาดญี่ปุ่นภาษีแป้งมันร้อยละ 0-8.7 ลดลงเหลือร้อยละ 0 ในปี 2561 ส่วนผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังคงอัตราไว้ที่ร้อยละ 15

-ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังในประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อุตสาหกรรมเอทานอล ปัจจุบันราคากากน้ำตาล ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตเอทานอล ราคาแพงและมีแนวโน้มขาดแคลน ส่งผลให้โรงงานผลิตเอทานอลปรับตัวหาวัตถุดิบทดแทน ซึ่งวัตถุดิบที่เหมาะสมคือ มันเส้น และ/หรือแป้งมัน รวมทั้งโรงงานเอทานอลที่เปิดดำเนินการใหม่ก็ใช้มันเส้น และ/หรือแป้งมันเป็นวัตถุดิบ ดังนั้นความต้องการมันเส้นและแป้งมันในประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเป็นพืชที่มีศักยภาพในอนาคต โดยเป็นทั้งพืชอาหาร วัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมประเภทต่างๆ และเป็นพืชที่ใช้ผลิตพลังงานทดแทน ทำให้เป็นพืชที่มีตลาดรองรับอย่างกว้างขวาง แม้ว่าในระยะสั้นจะประสบกับปัญหาผลผลิตลด จากปัญหาเพลี้ยแป้ง และภัยแล้ง ทำให้ราคาพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ แต่คาดว่าเป็นปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ในระยะสั้น เนื่องจากยังมีสต็อกของรัฐบาลที่พอจะประคองอุตสาหกรรมต่างๆไปจนถึงต้นฤดูการผลิตปี 2553/54 รวมทั้งทั้งภาครัฐบาลและเอกชนร่วมมือกันแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเพลี้ยแป้ง ในระยะยาวคาดว่ากรอบ FTA ต่างๆ จะช่วยผลักดันการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง โดยเฉพาะตลาดจีน และอาเซียน(โดยเฉพาะอินโดนีเซียและมาเลเซีย) รวมทั้งเกาหลีใต้และญี่ปุ่น นอกจากนี้ ความต้องการเอทนอลที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ความต้องการผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังในประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นด้วย เนื่องจากโรงงานผลิตเอทานอลบางโรงงานเริ่มหันมาใช้ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังแทนกากน้ำตาล