แสนสิริชูสภาพคล่องล้น จากยอดขาย – โอนเกินเป้าหมาย ยกเลิกแผนเพิ่มทุน

แสนสิริชูสภาพคล่องล้นจากยอดขายและยอดโอน 8 เดือนที่ผ่านมาเกินกว่าเป้าหมายที่กำหนด ประกาศยกเลิกแผนเพิ่มทุน พร้อมเดินหน้าลุยขยายฐานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครอบคลุมตลาดที่อยู่อาศัยครบทุกเซกเมนต์ในช่วงที่เหลือของปีอีก 12 โครงการ มูลค่ารวม 20,000 ล้านบาท แจงไตรมาส 4/53 บริษัทมีการปรับเปลี่ยนนโยบายบัญชีการรับรู้รายได้เพื่อให้เป็นแนวทางเดียวกับสภาวิชาชีพบัญชี ยืนยันไม่ส่งผลกระทบต่อประมาณการผลกำไรปี 53 เนื่องจากเป็นการปรับปรุงรายการในงบดุลเป็นหลัก

นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัทแสนสิริในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมาได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าดีเกินคาด ทำให้แสนสิริต้องเร่งเปิดโครงการที่อยู่อาศัยเร็วกว่าแผนงานเดิม ส่งผลให้มียอดขายและยอดโอนเกินกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ รวมทั้งมีกระแสเงินสดและสภาพคล่องล้นเหลือ ประกอบกับประสบความสำเร็จจากการออกหุ้นกู้ระยะยาวในช่วงที่ผ่านมาทำให้เล็งเห็นศักยภาพในการรักษาการเติบโตได้ โดยไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุนในครั้งนี้

ในช่วงระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา แสนสิริมีการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่องและก้าวสู่การเป็นผู้นำทางธุรกิจ ทั้งทางด้านนวัตกรรมการสร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยเพื่อวันพรุ่งนี้ในรูปแบบใหม่ๆ, การเป็นผู้นำการทำการตลาดเต็มรูปแบบด้าน Digital Marketing ที่รุกต่อเนื่องในทุกๆ ปี พร้อมกันนี้ได้ขยายฐานกลุ่มลูกค้า ให้ครอบคลุมทุกเซกเมนต์มากยิ่งขึ้น แสนสิริได้มุ่งเน้นในเรื่องคุณภาพสินค้าและบริการที่ครบวงจรเหนือกว่าคู่แข่งขันมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปัจจุบัน แบรนด์แสนสิริ เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในทุกกลุ่มลูกค้า

“ด้วยแผนธุรกิจที่มุ่งเน้นการขยายฐานลูกค้าผ่านการนำเสนอสินค้าและบริการที่มีคุณภาพสูงสุด ส่งผลให้แสนสิริสามารถรักษาอัตราการเติบโตของรายได้และปรับปรุงประสิทธิภาพการทำกำไรมาโดยตลอด โดยในช่วงปี 2549 – 2552 มีอัตราการเติบโตของรายได้เฉลี่ยร้อยละ 15 ต่อปี ในขณะที่มีอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นสูงถึงร้อยละ 59 ต่อปี นอกจากนี้ แสนสิริยังประสบความสำเร็จจากการระดมทุนผ่านช่องทางที่หลากหลายเพิ่มขึ้น อาทิ การเสนอขายหุ้นกู้ให้แก่ผู้ลงทุนสถาบันและรายย่อยรวมกันเป็นจำนวน 4,000 ล้านบาทแล้ว โดยครึ่งหนึ่งเป็นหุ้นกู้ระยะยาวอายุ 7 ปี ประกอบกับได้มีการออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ (Warrant) ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของแสนสิริ (SIRI-W1) เป็นจำนวนรวม 736.79 ล้านหน่วย มีอายุ 5 ปี โดยมีราคาใช้สิทธิเท่ากับ 5.20 บาทต่อหุ้น ทำให้สามารถระดมทุนเพิ่มได้อีกประมาณ 3,800 ล้านบาท ในระหว่างปี 2555 – 2558” นายเศรษฐา กล่าว

สำหรับการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัทแสนสิริในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับอย่างดีเกินคาดจากกลุ่มลูกค้า ทำให้ต้องเร่งเปิดโครงการที่อยู่อาศัยเร็วกว่าแผนงานเดิม ส่งผลให้มียอดขายและยอดโอนเกินกว่าเป้าหมายที่วางไว้ รวมทั้งมีกระแสเงินสดและสภาพคล่องสูงกว่าที่ประมาณการไว้ จากปัจจัยต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น ประกอบกับการคำนึงถึงผลกระทบต่อกำไรต่อหุ้น (EPS) ที่จะเกิดขึ้นจากการเพิ่มทุนจดทะเบียนของผู้ถือหุ้นเดิมของแสนสิริ (Dilution effect) ทำให้คณะกรรมการบริษัทเล็งเห็นศักยภาพของแสนสิริว่า สามารถขยายธุรกิจเพื่อรักษาอัตราการเติบโตของรายได้ และยังคงความเป็นผู้นำในตลาดอสังหาริมทรัพย์ในอนาคตได้โดยไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุนในครั้งนี้ จึงได้พิจารณาอนุมัติยกเลิกแผนเพิ่มทุนให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) จำนวน 1,380 ล้านหุ้นที่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2552 และวันที่ 30 เมษายน 2553 ตามลำดับโดยจะเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาลดทุนที่สำรองไว้ตามแผนดังกล่าวในการประชุมใหญ่สามัญผู้ถือหุ้นของบริษัทในปี 2554 ต่อไป

ทั้งนี้ แสนสิริยังคงมุ่งมั่นที่จะขยายการดำเนินธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนที่จะเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ๆ อีกประมาณ 12 โครงการ ทั้งคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว และทาวน์เฮาส์ เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าทุกเซกเมนต์ โดยในช่วงที่ผ่านมาได้เปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ ไปแล้วทั้งสิ้น 14 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 16,000 ล้านบาท และจะยังคงทยอยเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องในช่วงไตรมาสที่ 4 อีกประมาณ 12 โครงการ มูลค่าโครงการขายรวมกว่า 20,000 ล้านบาท แบ่งเป็นการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมประมาณ 7 โครงการ มูลค่าการขายรวมประมาณ 15,000 ล้านบาท โครงการบ้านเดี่ยว 3 โครงการ มูลค่าประมาณ 4,000 ล้านบาท และยังมีแผนการพัฒนาทาวน์เฮาส์ประมาณ 2 โครงการ มูลค่าโครงการประมาณ 1,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ แสนสิริยังได้พิจารณาปรับเปลี่ยนนโยบายบัญชีการรับรู้รายได้ จากการรับรู้รายได้ตามความคืบหน้างานก่อสร้าง เป็นการรับรู้รายได้เมื่อมีการโอนกรรมสิทธิ์ โดยให้มีผลในไตรมาส 4 ของปี 2553 เป็นต้นไป เพื่อให้เป็นแนวทางเดียวกับที่สภาวิชาชีพบัญชีกำหนดไว้ และจะส่งผลให้งบการเงินประจำปี 2553 ของแสนสิริ สามารถเทียบเคียงกับบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายอื่นๆ ได้ โดยการเปลี่ยนแปลงนโยบายบัญชีในครั้งนี้ จะไม่ส่งผลกระทบต่อประมาณการผลกำไรประจำปี 2553 นี้ เนื่องจากเป็นการปรับปรุงรายการในงบดุลเป็นหลัก