เอ.ดี. ไทม์ (ไทยแลนด์) ทุ่ม 30 ล้านบาท

เอ.ดี. ไทม์ (ไทยแลนด์) เตรียมขนนาฬิกาแฟชั่น และวัยรุ่นชื่อดังกว่า 10 แบรนด์ทำตลาดในช่วงไฮซีซั่น หรือเทศกาลของขวัญ อัดโปรโมชั่นสิ้นปีเพียบ ทั้งลด แลก แจก แถม ร่วมกับห้างต่าง ๆ หวังปิดยอดขายปีนี้กว่า 50 ล้านบาท พร้อมทุ่มงบกว่า 30 ล้านบาท ทำตลาดปีหน้า เตรียมลุยเปิดช็อปทั่วประเทศเป็นของตัวเอง ชูจุดเด่นแบรนด์แฟชั่น พร้อมดีไซน์ที่แปลกใหม่ เน้นสินค้าที่เป็นลิมิเต็ดอิดีชั่น จับกระแสผู้นำเทรนด์แฟชั่นนาฬิกา คาดมีอัตราเติบโตมากกว่า 50 % หวังแชร์ส่วนแบ่งตลาดนาฬิกาแฟชั่น 15 % ในมูลค่าตลาด 3,000 ล้านบาท เผยปีหน้าเตรียมนำเข้านาฬิกาเพิ่มอีก 2-3 แบรนด์

คุณธีริน สุขกระสานติ ผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เอ.ดี.ไทม์ (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ เป็นผู้นำเข้านาฬิกาแฟชั่น กว่า 10 แบรนด์ อาทิ ODM, Levi’s, Esprit, Bonia, Alain Delon, Roxy, Quiksilver, Ed Hardy, Replay และ Invicta ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ประเทศมาเลเซีย และเป็นผู้นำเข้านาฬิกาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศมาเลเซีย โดยทางบริษัทแม่ ได้ตั้งเป้าหมายในการขยายธุรกิจไปในหลายประเทศ อาทิ สิงคโปร์ บรูไน ไต้หวัน อินโดนีเซีย เวียดนาม และประเทศไทย ซึ่งประเทศไทยได้เปิดสาขาขึ้นในปีที่ผ่านมา และได้รับกระแสตอบรับจากผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น และวัยทำงานเป็นอย่างดี จนทำให้ในปี 2553 บริษัทฯมียอดขายเกินเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้

หลังจากที่ได้เข้ามาเปิดตลาดในไทย เราได้รับการตอบรับที่ดีมาก ทั้งนี้ส่วนใหญ่สภาพการแข่งขันของตลาดนาฬิกาแฟชั่นมักจะชูจุดขายที่แบรนด์ และภาพลักษณ์ผ่านตัวนาฬิกา ทำให้ลูกค้าที่สนใจจะเป็นกลุ่มเดิม ๆ หรือมีแบรนด์เดิมที่อยู่ในใจลูกค้าอยู่แล้ว (Brand Loyalty) และในปัจจุบันก็มีการแข่งขันทางด้านราคา และด้านการตลาดมากขึ้น ดังนั้นทาง บริษัทฯ จึงได้จับมือกับห้างสรรพสินค้าชั้นนำในประเทศไทย อาทิ The Mall, Robinson, Central, Isetan หรือ Flag Ship store อาทิ Loft @ Siam Discovery และล่าสุดกับ Loft @ Paradise Park นำผลิตภัณฑ์เข้าไปจำหน่าย

คุณธีริน กล่าวต่อว่า ในปีหน้าบริษัทฯ เตรียมงบการทำตลาดไว้ที่ 30 ล้านบาท โดยตั้งเป้าที่จะเปิดช็อปนาฬิกาแฟชั่นเป็นของตัวเอง ในห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป ประมาณ 10 แห่ง โดยแบ่งงบ 15 ล้านบาทเป็นงบลงทุนเปิดช็อป และ 15 ล้านบาทเป็นงบการตลาด พร้อมกับเปิดตัวคอลเลคชั่นใหม่ๆที่เน้นรูปลักษณ์ดีไซน์ทันสมัย เอาใจคนรุ่นใหม่ในรุ่นพิเศษ หรือลิมิเต็ดอิดิชั่น และนอกจากนี้ในปีหน้าบริษัทฯ ยังมีแผนนำเข้านาฬิกาในกลุ่มแฟชั่นมาทำตลาดอีกประมาณ 2-3 แบรนด์ หวังขยายกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในเซ็กเมนต์ที่ยังเป็นช่องว่างอยู่ ซึ่งเรามองว่าตลาดนาฬิกาแฟชั่นยังโตได้อีกมาก ด้วยความนิยมในตลาดนาฬิกาแฟชั่นที่เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มองนาฬิกาเป็นเสมือนเครื่องประดับ และแฟชั่น ที่บ่งบอกไลฟ์สไตล์ และสะท้อนภาพลักษณ์

สำหรับแผนในปีหน้า บริษัทฯ จะจัดแคมเปญการตลาดในเชิงรุก โดยเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ตั้งแต่ นักเรียน นักศึกษา จนถึงวัยทำงาน ผ่านช่องทางต่างๆอาทิ เว็บไซต์, เฟสบุ๊ค, อีเว้นท์ เป็นต้น ซึ่งจะเน้นสร้างคอมมิวนิตี้ ให้ลูกค้าได้มีส่วนร่วม และสัมผัสแบรนด์ได้อย่างใกล้ชิด ผนวกกับกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ที่มุ่งเน้นดีไซน์ที่แปลกใหม่ ตรงกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมาย ในราคาไม่แพงมากนัก ตั้งแต่ 1,850 บาท ไปจนถึงราคาระดับ 48,999 บาท ทำให้บริษัทมั่นใจว่า ด้วยแผน และกลยุทธ์ต่างๆที่ได้วางไว้ จะผลักดันให้ในปี 2554 บริษัทจะมียอดขายเติบโตมากขึ้นเป็นสองเท่านับจากปี 2553 นี้

คุณธีริน กล่าวต่ออีกว่า นอกจากนี้ ทางบริษัทฯ ยังได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดอย่างต่อเนื่อง ทั้งทางด้านราคา, การออกสินค้าใหม่ๆ ดีไซน์ที่ทันสมัย แปลก ไม่ซ้ำใคร เพื่อเป็นการช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจในการซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้น และสามารถซื้อได้ในราคาที่เหมาะสมอีกด้วย โดยเฉพาะในช่วงสิ้นปีนี้ถือได้ว่าเป็นช่วงไฮซีซั่น หรือเทศกาลของขวัญ โดยเฉพาะในกลุ่มนาฬิกาแฟชั่นจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี บริษัทจึงได้เตรียมทำกิจกรรมร่วมกับห้างต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงสิ้นปีนี้ ซึ่งคาดว่าจะสามารถทำยอดขายเป็นไปตามเป้าได้ที่ 50 ล้านบาท และในปีหน้าหลังจากทุ่มตลาดพร้อมเปิดช็อปเป็นของตัวเองจะทำให้บริษัทฯมีอัตราเติบโตมากกว่า 50 %

“โดยภาพรวมตลาดนาฬิกาแฟชั่นในไทยที่มีมูลค่าตลาดประมาณ 3,000 ล้านบาท และในช่วงปีที่ผ่านมา ได้หดตัวลงไปประมาณ 20% สอดคล้องกับตลาดนาฬิกาทั่วโลกที่ลดลงต่อเนื่องเช่นกัน ทั้งนี้การที่ตลาดหดตัวลง เป็นเพราะได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจในประเทศ และเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง ทั้งยังมีปัญหาทางด้านการเมือง ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลงไปพอสมควร โดยเฉพาะนาฬิการะดับบนจะได้รับผลกระทบมากที่สุด แต่บริษัทประเมินว่าตลาดนาฬิกาโดยรวมในปี 2553 นี้ จะอยู่ในระดับที่ทรงตัว และมีแนวโน้มที่จะกลับมาฟื้นตัวได้ขึ้นอีกครั้งในปี 2554 ตามสถานการณ์เศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดในกลุ่มนาฬิกาแฟชั่น” คุณธีริน กล่าวปิดท้าย