พลัส ผู้นำด้านธุรกิจบริหารทรัพยากรอาคารของไทย เผยปี 53 กวาดรายได้รวมประมาณ 100 ล้านบาท จากมูลค่าตลาดรวม 360 ล้านบาทในส่วนอาคารที่รับบริหารโดยบริษัท ที่ปรึกษาซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาคารเพื่อการพาณิชย์ หลังพิสูจน์ให้ตลาดเห็นศักยภาพ ด้วยบทบาท ‘ตัวจริงในสนาม’ มากว่า 15 ปี มั่นใจปี 54 ธุรกิจบริหารทรัพยากรอาคารยังคึกคักหลังสำรวจพบ อาคารในเขต กทม. ประมาณ 70% ยังบริหารอาคารเอง พร้อมเตรียมทีมนำเสนอบริการคุณภาพ คาดปี 54 สามารถสร้างรายได้เพิ่มกว่า 10% ดังเช่นปีที่ผ่านมา
นายชาญ ศิริรัตน์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายบริหารทรัพยากรอาคารและฝ่ายวิศวกรรม บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ปี 2553 ที่ผ่านมา บริษัทประสบความสำเร็จในธุรกิจบริหารทรัพยากรอาคาร โดยมีรายได้รวมประมาณ 100 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อน 10% ส่วนหนึ่งมาจากกลุ่มลูกค้าใหม่ที่เพิ่มขึ้น กว่า 40% จากการใช้กลยุทธ์ธุรกิจรุกตลาดบริหารทรัพยากรอาคารอย่างจริงจังรวมถึงความสำเร็จ จากประสบการณ์ที่ลูกค้าให้ความไว้วางใจต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลากว่า 15 ปี
“พลัส นับเป็นบริษัทด้านบริหารทรัพยากรอาคารรายแรกของไทย ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 9001 Version 2008 ตลอดจนความพร้อมของบุคลากร ที่เราได้พัฒนาศักยภาพอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำ อาทิ สถาบันปัญญาภิวัตน์ รวมทั้งคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อจัดฝึกอบรมและปฏิบัติการต่างๆ ในการเตรียมพร้อมบุคลากรรองรับการขยายตัวของธุรกิจในอนาคต อาทิ งานสัมมนา ในหัวข้อ “Facility Crisis Management” (กลยุทธ์บริหารอาคารฝ่าพายุวิกฤติ) ในปีที่ผ่านมา ซึ่งได้เชิญบุคลากรอันเป็นที่ยอมรับในแวดวงธุรกิจบริหารทรัพยากรอาคาร มาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และ แนวทางการทำงาน เพื่อพัฒนาเชิงความรู้ นอกจากนี้ การไม่หยุดยั้งทางความคิด ที่จะสร้างมาตรฐานการให้บริการ ก็เป็นหัวใจหลัก ที่ส่งผลให้ พลัส ก้าวสู่การเป็นผู้นำตลาดในปัจจุบัน” นายชาญกล่าว
นอกจากนี้ พลัสยังสร้างบรรทัดฐานการควบคุมคุณภาพงานบริการ ผ่าน Service Quality Guideline หรือคู่มือการควบคุมงานบริการภายในอาคาร ที่รวบรวมทั้งคู่มืองานทำความสะอาด งานรักษาความปลอดภัย งานดูแลสวนและภูมิทัศน์ เป็นต้น เพื่อให้งานบริการภายในอาคารมีคุณภาพและเป็นที่ยอมรับตรงกัน ทั้งยังได้สร้างสรรค์ ทีม Quality Control เพื่อเพิ่มศักยภาพการออกแบบบริการใหม่ได้อย่างรวดเร็วและตรงตาม ความต้องการของตลาด โดยนำระบบ BOS (Building Operation System) ที่คงมาตรฐานเรื่องความครบถ้วนของฐานข้อมูลอาคาร มาช่วยประมวลผลและพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานในแต่ละจุดเพื่อป้องกัน การผิดพลาดในการดำเนินงาน ซึ่งถือเป็นการคิดค้นและพัฒนากระบวนการอย่างมืออาชีพจนเป็นที่ยอมรับ ของตลาด ณ ปัจจุบัน
นอกเหนือจากความพร้อมด้านบุคลากรและเทคโนโลยีรวมถึงเพื่อเป็นการเพิ่มระดับความพึงพอใจของลูกค้าและสร้างโอกาสในการขยายตลาดผ่านการบอกต่อหรือแนะนำจากลูกค้าเก่า (Word of mouth) พลัส ยังได้สร้างสรรค์ทีม CRM และพัฒนาระบบ Call Center อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นสื่อกลางระหว่างบริษัทกับลูกค้า ในการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างทันท่วงที และดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด โดยจะคอยสอบถามถึงความพึงพอใจของลูกค้า และมีการออกแบบการประเมินผลความพึงพอใจในรูปแบบใหม่ เพื่อให้ทราบถึงแหล่งที่มาหรือต้นเหตุของปัญหา และแก้ไขปัญหาได้ฉับไวและตรงจุด
สำหรับทิศทางตลอดจนแนวโน้มตลาดบริหารทรัพยากรอาคารในปี 2554 นั้น นายชาญ กล่าวเสริมว่า ภาพรวมทิศทางเศรษฐกิจ จากคาดการณ์ของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เกี่ยวกับการขยายตัวของจีดีพีที่ 4.5% ในปีนี้ ซึ่งหากเศรษฐกิจเป็นไปในทิศทางที่ดีดังกล่าว ก็จะส่งผลให้เกิดความต้องการใช้พื้นที่สำนักงานจากบริษัทเกิดใหม่เพิ่มขึ้นจำนวนมากเป็นเงาตามตัว ทั้งนี้ ปัจจุบันอาคารสำนักงานส่วนใหญ่จะมีอายุเฉลี่ยของอาคารมากกว่า 10 ปีขึ้นไป ซึ่งอยู่ในภาวะที่ต้องการการดูแลและปรับปรุง เพื่อคงอัตราค่าเช่าในระดับสร้างกำไรที่คุ้มค่าภายใต้บรรยากาศการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นทุกปี ในขณะที่การเพิ่มขึ้นของต้นทุนค่าใช้จ่าย ที่สำคัญในอาคาร เช่น ค่าไฟฟ้าและอาคารที่มีสภาพใหม่ จะส่งผลให้เกิดความต้องการใช้บริการ บริหารทรัพยากรอาคาร โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญเพิ่มมากขึ้น เพื่อคงศักยภาพอาคารและเตรียมพร้อมในการแข่งขัน รองรับความต้องการของตลาดอาคารสำนักงานอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
“ปี 2554 นี้ พลัส ยังคงมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องในการเป็น บริษัทผู้ให้บริการด้านธุรกิจบริหารทรัพยากรอาคารคุณภาพในมาตรฐานระดับสากล ที่เน้นการทำงานเชิงรุก ภายใต้ศักยภาพของทีมงานมืออาชีพกว่า 300 คน ครอบคลุมทั้งด้านงานบริหารอาคารและงานบริหารงานวิศวกรรมอาคาร ซึ่งเราเชื่อว่าจะสามารถเจาะเข้าสู่ตลาด Blue Ocean หรือ ตลาดอาคารสำนักงานที่บริหารจัดการเอง (In-sourcing) และอาคารเพื่อการศึกษา ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 70% ของจำนวนอาคารทั้งหมด รวมมูลค่าประมาณ 840 ล้านบาทได้ในไม่ช้า ส่งผลให้ประมาณการรายได้ของบริษัทในปี 54 จะมีอัตราเติบโตประมาณ 10% นอกจากนี้เรายังมุ่งมั่นสานต่อการพัฒนาบุคลากรมืออาชีพด้านธุรกิจบริหารทรัพยากรอาคาร โดยยังคงร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน อย่างต่อเนื่อง เพื่อขยายความรู้ความเข้าใจที่มีต่องานบริหารอาคารให้มากขึ้นเพื่อผลักดันให้สังคมไทยตระหนักถึงความสำคัญของการบริหารทรัพยากรอาคารที่ได้มาตรฐานอันจะส่งผลถึงความปลอดภัย รวมถึงการใช้ทรัพยากรพลังงานที่คุ้มค่าต่อไป” นายชาญ กล่าวสรุป