ปุ๋ยตรามงกุฎยังพร้อมลุยตลาด อย่างต่อเนื่อง จากความสำเร็จในการขาย การตลาดในปีที่ผ่านมา สนองความต้องการเกษตรกรไทยหลังพบว่า เกษตรกรมีความต้องการใช้ปุ๋ยเพิ่มมากขึ้นเนื่องจาก ภาวะราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกที่สูงขึ้น และ รัฐบาลมีงบประมาณช่วยลดต้นทุนให้เกษตรกร เพื่อนำร่อง และสนับสนุนการใช้ปุ๋ยเคมีอย่างถูกวิธี โดยยังคงตอกย้ำความมั่นใจสินค้าปุ๋ยมีคุณภาพเต็มสูตรทุกกระสอบ ทุกเม็ด เพราะบริษัทในเครือเองก็ใช้ ทั้งยังมีนโยบายผลิตปุ๋ยสดใหม่เก็บไว้ขายไม่เกิน 3 เดือน และยังปรับเปลี่ยน พัฒนาคุณภาพของบรรจุภัณฑ์ทั้งด้านรูปลักษณ์ที่ทันสมัย และความแข็งแรงเพื่อรักษาคุณภาพของปุ๋ยตรามงกุฎทุกกระสอบ เผยเตรียมแผนการตลาด ส่งเสริมการขาย และโฆษณาประชาสัมพันธ์อย่างครบเครื่อง ครบวงจร หวังสร้างความเชื่อมั่นให้แก่คู่ค้าและผู้บริโภค ล่าสุดเปิดหนังโฆษณาใหม่ โดยยังใช้ “ปุ๋ยขยัน” เป็น Mascot สะท้อนประสิทธิภาพที่เห็นผลจริงจากผู้ใช้
นายวุฒิพงษ์ หวังสันติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทอราโกร เฟอร์ติไลเซอร์ จำกัด กล่าวถึงสถานการณ์ปุ๋ยของประเทศไทยว่า ปี 2553 แม้ประเทศไทยประสบสภาวะฝนแล้งและน้ำท่วมตลอดจนปัญหาแมลงศัตรูพืช แต่ประเทศเราก็นำเข้าปุ๋ยสูงถึง 5.2 ล้านตัน ถือว่าเป็นสถิติที่สูงที่สุด เพราะในปีที่ผ่านมา ประเทศไทยนำเข้าเพียงปีละ 4 ล้านตันเท่านั้น
นอกจากนี้ ในปีที่ผ่านมา ท่ามกลางอุปสรรคต่างๆ มากมาย ปุ๋ยตรามงกุฎกลับทำยอดขายได้กว่า 2 แสนตัน ซึ่งใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ พร้อมกันนี้ยังมีสัดส่วนการตลาด สูงขึ้นจากเดิมค่อนข้างมาก และ เกษตรกรก็รู้จักปุ๋ยตรามงกุฎ อย่างแพร่หลาย และเป็นที่นิยมของเกษตรกรที่ได้ทดลองใช้ เนื่องจากต้นทุนต่ำลง แต่ผลผลิตเพิ่มมากขึ้น
ในด้านทิศทางและโอกาสของปุ๋ยเคมี จากการประชุมสัมมนาร่วมกันกับกรมวิชาการเกษตร กระทรวงพาณิชย์ ผู้ประกอบการ และ ผู้นำเกษตรกร ทุกฝ่ายยังคงเห็นว่าปุ๋ยเคมียังคงเป็นทางเลือกหลักสำหรับอุตสาหกรรมเกษตรของไทย เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศหลักในการผลิตพืชอาหารและพืชพลังงานของโลก การใช้ปุ๋ยเคมีจะเหมาะกว่าปุ๋ยอินทรีย์เพราะธาตุอาหารในปุ๋ยอินทรีย์ค่อนข้างต่ำ และหากต้องขนส่งปุ๋ยอินทรีย์ซึ่งมีส่วนประกอบเป็นอินทรีย์วัตถุซึ่งไม่ใช่ธาตุอาหารหลัก เกษตรกรจะต้องมีค่าใช้จ่ายในการขนส่งที่มากขึ้น นอกจากนี้ นักวิชาการยังได้ออกมายืนยันว่าปุ๋ยเคมีเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้สำหรับเกษตรกรทั่วโลก แต่แนะนำให้บำรุงดินเพิ่มเติมโดยเพิ่มอินทรีย์วัตถุ เช่นปุ๋ยหมัก มูลสัตว์ และ ไม่ทำลายธาตุอาหารโดยการเผาตอซัง โดยใช้ปุ๋ยให้ถูกกับสภาพของดินและพืช
นายวุฒิพงษ์กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับปุ๋ยเคมีในปีนี้ คาดว่าการใช้ปุ๋ยปั้นเม็ด ที่มีธาตุอาหาร NPK ในเม็ดเดียวน่าจะมากขึ้น เนื่องจากเมื่อเกษตรกรต้องการเพิ่มผลผลิตก็จะต้องเพิ่มในส่วนของ P และ K ขึ้นมา นอกจากนี้ภาครัฐโดยกรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมสหกรณ์และกระทรวงเกษตรฯ ล้วนแต่พยายามส่งเสริมให้เกษตรกรใช้ปุ๋ยปั้นเม็ด เพื่อลดปัญหาปุ๋ยไม่เต็มสูตร หรือปุ๋ยปลอม
จากเหตุผลดังกล่าว ประกอบกับภาวะฝนและน้ำ ซึ่งคาดว่าจะดีกว่าปีที่แล้วเนื่องจากฝนตกตามฤดูกาล ปุ๋ยตรามงกุฎก็มีเป้าหมายการเติบโตอยู่ที่ 3 แสน 5 หมื่นตันในปี 2554 พร้อมกับตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 4,600 ล้านบาท
ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายข้างต้น ปุ๋ยตรามงกุฎจะยังคงยืนหยัดในเรื่องการรักษาคุณภาพ พร้อมทั้งนำนวัตกรรมที่ก้าวหน้ามาสู่ผู้บริโภค รวมทั้งเป็นทางเลือกใหม่ให้แก่เกษตรกร โดยเน้นการใช้วัตถุดิบจากแหล่งที่ดีที่สุดของโลก พร้อมทั้งช่วยเกษตรกรในการลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต เพราะทางบริษัทฯ มีศักยภาพในการรักษาต้นทุนของสินค้า เนื่องจากมีกำลังซื้อในปริมาณมากและมีทีมงานที่เข้าใจว่า ควรนำเข้าวัตถุดิบในช่วงเวลาใด จึงจะได้ราคาไม่สูงมาก
“นี่คือหัวใจสำคัญในการรักษาต้นทุนไม่ให้สูงจนเกินไป นอกจากนี้เรายังให้ความสำคัญกับรายละเอียดอย่างอื่นด้วย อย่างเช่นคุณภาพของบรรจุภัณฑ์ และ การจัดเก็บ โดยเฉพาะถุงบรรจุนั้น เราได้พัฒนาทั้งถุงด้านนอกและถุงด้านใน ทั้งด้านการออกแบบ สีสัน และ ความแข็งแรงรวมถึงการปิดปากถุงด้วยความร้อน แทนการมัด พร้อมกับยังมีนโยบายที่จะผลิตปุ๋ยสดใหม่ สำหรับการขายในรอบละไม่เกิน 3 เดือน เพราะฉะนั้นจึงมั่นใจได้ว่า เราจะมีสินค้าที่สดและใหม่อยู่เสมอเพื่อจำหน่ายให้แก่เกษตรกร
นอกจากนั้น เรายังมีแผนนำเสนอปุ๋ยสูตรใหม่ๆ ออกสู่ตลาด ล่าสุดในเดือนมกราคม – เมษายน ที่ผ่านมา เราได้ผลิตแล้วหลากหลายเช่น สูตร 20-8-20 สูตร 21-7-18 สูตร 20-10-12 สูตร 9-9-32 สูตร 14-7-35 และ สูตร 18-8-8 สำหรับยางพารา เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดจะเป็นปุ๋ยสูตรที่เหมาะกับพืชเศรษฐกิจต่างๆ ที่จะช่วยให้เกษตรกรได้ใช้ปุ๋ยที่เหมาะสมกับพืชเศรษฐกิจต่างๆ และ สภาพดิน ตามนโยบายของรัฐบาล” นายวุฒิพงษ์กล่าว
นายวุฒิพงษ์กล่าวต่อไปว่า ปุ๋ยตรามงกุฎนอกจากจะผลิตเพื่อจำหน่ายในท้องตลาด และในหน่วยงานราชการบางแห่งแล้ว ยังขายให้บริษัทในกลุ่มเองด้วย
“ตรงนี้เป็นส่วนที่จะประกันได้ว่า สินค้าปุ๋ยของเรามีคุณภาพเต็มสูตรทุกเม็ดปุ๋ย ทุกกระสอบ เพราะหากบริษัทของเราผลิตเอง ใช้เอง ย่อมต้องใช้ของดี มีคุณภาพเท่านั้น”
นอกจากนี้ ยังมีนโยบายสนับสนุนคู่ค้า ด้วยเป้าหมายคือ ให้คู่ค้าส่งปุ๋ยที่ดีถึงมือผู้บริโภค พร้อมทั้งให้คู่ค้ามีรายได้จากการขายปุ๋ยตรามงกุฎ เป็นการทำธุรกิจแบบยั่งยืนร่วมกันกับทางกลุ่ม โดยเบื้องต้นจะเพิ่มช่องทางการสื่อสารกับคู่ค้าให้มากขึ้น ซึ่งขณะนี้ได้เปิดเว็บไซต์เพื่อเป็นช่องทางการสื่อสารถึงคู่ค้าตลอดรวมไปจนถึงผู้บริโภคแล้วที่ www.terragrofertilizer.com
“ในด้านกิจกรรมระหว่างบริษัทกับคู่ค้า เราจะมีกิจกรรมส่งเสริมการขายในพื้นที่ ร่วมกับร้านค้ามากขึ้นในปีนี้ โดยฝ่ายการตลาดและฝ่ายขายมีแผนงานทั้งปีร่วมกับร้านค้า นอกจากนั้นทีมส่งเสริมการขายที่ทำงานกับคู่ค้าในแต่ละพื้นที่ จะไปศึกษาว่าในพื้นที่นั้นมีปัญหาอะไร ต้องแก้ไขอย่างไร ทั้งนี้เป็นการทำงานในภาพรวมของทั้งประเทศ แต่ดูความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ของคู่ค้าด้วย”
ในส่วนของแผนสนับสนุนและส่งเสริมการขายปี 2554 จะมีทั้งระดับประเทศ และแผน ฯ ที่เหมาะกับแต่ละพื้นที่เป็นการเฉพาะ รวมถึงเหมาะกับพืชพันธุ์ตลอดจนฤดูกาลของแต่ละร้านค้าด้วย พร้อมกันนั้นได้แบ่งซอยเขตให้เล็กลงและเพิ่มทีมงานขายและส่งเสริมการขายให้มากขึ้น เพื่อลงทำงานกับร้านค้าในพื้นที่ ทั้งนี้เพื่อสร้างแรงจูงใจเกษตรกร ให้ซื้อปุ๋ยตรามงกุฎไปใช้ เพราะฉะนั้นงบประมาณด้านนี้ในปีนี้จะเพิ่มมากขึ้น
นายวุฒิพงษ์กล่าวอีกว่า ด้านกลยุทธ์การตลาดปีนี้ จะเป็นแบบครบวงจร มีการสร้างความจดจำในตราสินค้า ความน่าเชื่อถือของสินค้า ตลอดจนการตอกย้ำให้เกษตรกรมีความเชื่อมั่นในตัวสินค้า และกล้าซื้อกล้าใช้ด้วยงบประมาณทางการตลาดทั้งหมดกว่า 120 ล้านบาท
“ขณะนี้สินค้าของเราเป็นที่รู้จักและเริ่มมีลูกค้าที่ซื้อแล้วกลับมาซื้ออีก เราจึงต้องการให้ลูกค้าอีกส่วนหนึ่งที่ยังไม่เคยใช้ กล้าทดลองใช้และใช้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นการทำตลาดในปีนี้ จึงยังคงเป็นแบบครบวงจร ซึ่งเรารับรองได้ว่า เกษตรกรจะต้องรู้สึกถูกใจทั้งด้านคุณภาพและราคา”
ในส่วนของการโฆษณา นายวุฒิพงษ์เปิดเผยว่า จะมีทั้งทางทีวี เคเบิ้ลทีวี วิทยุ สิ่งพิมพ์ คือทุกสื่อที่ล้อมรอบผู้บริโภคอยู่ และจะเน้นมากขึ้นในส่วนของวิทยุชุมชน รวมทั้งเคเบิ้ลทีวีท้องถิ่นเนื่องจากเป็นสื่อที่เข้าถึงเกษตรกรได้ดีและอยู่กับเกษตรกรตลอดทั้งวัน โดยที่ขณะนี้ได้เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ซึ่งเป็นการต่อยอดจากแคมเปญเมื่อปีก่อนแล้ว
“จากที่ Mascot ปุ๋ยขยันได้รับการตอบรับอย่างดี และเป็นที่จดจำจากเกษตรกรทั่วประเทศ ในปีนี้เราจึงมอบหมายให้ Mascot ปุ๋ยขยันเป็นตัวสร้างความเชื่อมั่นให้กับกลุ่มเกษตรกรทั่วประเทศ และจากที่เกษตรกรหันมาใช้ปุ๋ยตรามงกุฎอย่างแพร่หลาย จึงเป็นแรงบันดาลใจให้ภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่เน้นแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่เห็นผลจริงจากผู้ที่ใช้ปุ๋ยตรามงกุฎ โดยคำนึงถึงความต้องการของเกษตรกร ที่ต้องการมีชีวิต ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น” นายวุฒิพงษ์กล่าวในที่สุด