เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ประกาศความพร้อมสู่ Asia Travel Destinatio

เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ปลื้มหลังนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ให้การยอมรับแบบเกินคาด ถึง 7.8 ล้านคนในช่วงปลายปี 2555 เผยเตรียมวางกลยุทธ์ปูทางสู่ Asia Travel Destination และแลนด์มาร์คของกรุงเทพฯ เพื่อต่อยอดสู่การเป็น World Class Travel Destination ภายในปี 2556

นายณภัทร เจริญกุล ผู้อำนวยการโครงการ โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เปิดเผยว่า ภายหลังจากเปิดตัวไปอย่างเป็นทางการล่าสุด เอเชียทีค ก็ได้รับการจัดอันดับ จากเว็ปไซด์ไปไหนดีดอทคอม (www.painaidii.com) ให้เป็นอันดับ 1 ในหมวดสถานที่ช้อปปิ้งและสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในเมืองไทย  ตลอด 4 เดือนที่ผ่านมา และได้รับการรีวิวจากเว็ปไซด์ CNNGo ว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวริมแม่น้ำแห่งล่าสุด         ที่หลายคนต้องหลงรัก ทั้งนี้ เอเชียทีค ชัดเจนในแง่แนวคิดการพัฒนา โครงการ ที่มีจุดเด่น 3  ประการ ประกอบด้วย การเป็น Theme Retail ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ที่สร้างจากเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริงบนที่ดินแห่งนี้เมื่อประมาณ 120 ปีที่แล้ว โดยการเก็บรักษาอาคารเก่าไว้ให้มากที่สุด ผสมผสานกับอาคารใหม่ที่สร้างเพิ่มเติมขึ้นได้อย่างกลมกลืนและลงตัว กับบริบทโดยรวมของพื้นที่ดั่งเดิม ทำให้ลูกค้าได้สัมผัสกับบรรยากาศและเรื่องราวย้อนยุคได้อย่างใกล้ชิด ตั้งอยู่บนทำเลทองติดริมน้ำเจ้าพระยาที่มีทางเดินยาวกว่า      300 เมตร อีกทั้งยังเป็นโค้งน้ำที่เห็นวิวของกรุงเทพฯ ยามค่ำคืนได้อย่างสวยงามแบบที่สุด และสุดท้ายกับกลยุทธ์การนำเสนอร้านค้า ร้านอาหาร และกิจกรรมที่สอดคล้องกับยุคสมัยและไลฟ์สไตล์คนปัจจุบัน ที่สามารถสร้างความเป็น Night Market ได้อย่างชัดเจน ทั้งยังเสนอขายในราคาที่สมเหตุสมผล มีความหลากหลายในตัวสินค้า แต่ต้องเป็นสินค้าที่มีคุณภาพและเหมาะกับทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ซึ่งในส่วนร้านอาหารจะเป็น ร้านอาหารที่มีชื่อเสียงในเมืองไทยที่มีสาขาน้อยมากหรือมีเพียงสาขาเดียว ทั้งในรูปแบบของเรสเตอรองต์และบาร์            ซึ่งมีจำนวนร้านอาหารรวมกว่า 45 ร้าน ในปัจจุบัน การแสดงเป็นการแสดงที่หาดูที่ไหนไม่ได้ทั้งโจหลุยส์ และ   คาลิปโซ่ อีกทั้งยังมีพื้นที่จัดกิจกรรมขนาดใหญ่ริมแม่น้ำซึ่งน่าจะเป็นที่เดียวในกรุงเทพฯ ที่สามารถทำได้          ซึ่งจุดขายทั้ง 3 ประการนี้ คือ ปัจจัยหลักที่นำเราสู่ความสำเร็จในระเวลาอันรวดเร็ว

“ตลอดระยะเวลา 4 เดือนที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวกว่า 2.4 ล้านคน ได้เดินทางมาสัมผัสความพิเศษสุดของ เอเชียทีค ซึ่งเราเองก็ได้มีการปรับแผนในการรองรับการขยายตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของสถานที่จอดรถที่อยู่ระหว่างการขยายพื้นที่เพิ่มอีก 1,000 คันบนที่ดินฝั่งตรงข้าม รวมถึงการติดตั้งระบบปรับและระบายอากาศภายในโกดังทั้งหมด เพื่อเพิ่มบรรยากาศความสะดวกสบาย ระหว่างการเลือกซื้อสินค้าภายในโครงการและปรับภูมิทัศน์ภายในโครงการ ระบบการให้บริการต่างๆ เพื่อให้ได้มาตรฐาน        World Class Travel Destination ในปี 2556 โดยคาดการรายได้รวม ในปีแรกไว้ที่ 250 ล้านบาท ซึ่ง 80%     ของรายได้มาจากค่าเช่าพื้นที่ของร้านค้า และ 20% มาจาก การปล่อยพื้นที่ให้เช่าเพื่อจัดกิจกรรม” นายณภัทร เจริญกุล กล่าว

ด้านนายฐวัฒน์ สมมะโนพัฒน์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดและประชาสัมพันธ์ โครงการเอเชียทีค เดอะ     ริเวอร์ฟร้อนท์ กล่าวเกี่ยวกับภาพรวมการตอบรับจากกลุ่มนักท่องเที่ยวว่า “ในแง่ของการตอบรับจากลูกค้าถือว่าดีมาก เพราะจากเดิมเราคาดว่าจะมีลูกค้ามาใช้บริการประมาณ วันละ 10,000 คนในวันธรรมดาและ 20,000 คนในช่วงวันหยุด แต่ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา เรามีลูกค้าเข้ามายังโครงการวันละ 15,000-20,000 คน  ในวันธรรมดา และ 50,000-60,000 คน ในวันหยุด ซึ่งมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ประมาณ 2-3 เท่า ส่งผลบวกต่อบรรดาร้านค้าภายในโครงการโดยเฉพาะธุรกิจร้านอาหาร และในส่วนร้านค้าก็มียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน    ซึ่งน่าจะคึกคักอย่างมากในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี เพราะเป็นช่วง High Season ของการท่องเที่ยว           โดยทีมการตลาดของเอเชียทีค จะใช้กลยุทธ์ Theme Retail เข้ามาเป็นจุดขายหลักบวกกับการนำเสนอจุดขาย   ที่มีกิจกรรมต่างสลับหมุนเวียนที่สร้างกระแสไม่ให้เกิดความนิ่ง เพื่อให้ลูกค้าที่มาแล้วก็ไม่เบื่อที่จะมาอีก พร้อมทั้งสามารถดึงกลุ่มลูกค้าใหม่ให้เข้ามาที่โครงการอีกด้วย และในอีกไม่นานเรามีแผนที่จะเพิ่ม ความครบวงจรของโครงการ บนพื้นที่ที่ยังเหลืออีกกว่า 50% เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้เพิ่มขึ้น”

“ในช่วงแรกลูกค้าคนไทยมีสัดส่วนถึง 90% แต่ในปัจจุบันนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก           ทั้งในรูปแบบของกรุ๊ปทัวร์และการมาเที่ยวส่วนตัว ปัจจุบันสัดส่วนของคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ           ในวันธรรมดาอยู่ที่ประมาณ 50:50 ส่วนช่วงวันศุกร์-วันอาทิตย์อยู่ที่ 65:35 ตามลำดับ โดยนักท่องเที่ยวที่มา    ในอันดับต้นๆ คือ ฮ่องกง จีน ญี่ปุ่น และชาติอาเซียน โดยเราคาดว่าเมื่อโรงละครคาลิปโซ่และโรงละครเอเชียทีคเปิดบริการอย่างเต็มรูปแบบ จะมีนักท่องเที่ยวจากยุโรปเพิ่มขึ้นอีกจำนวนมาก ประกอบกับการที่เราได้รับ      การสนับสนุนอย่างดีมาก จาก ททท. โดยอนุญาตให้ใช้สัญลักษณ์ “Amazing Thailand”  อีกทั้งทีมการตลาดเอเชียทีค ยังออกไปโรดโชว์เพื่อนำเสนอรายละเอียดโครงการในประเทศเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง อาทิ จีน ญี่ปุ่น อินเดีย และยุโรป ซึ่งได้ทำต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา  นอกจากนี้เรายังได้รับการสนับสนุนจาก ATTA ในส่วนของกรุ๊ปทัวร์และ PATA ในส่วนของงาน MICE จากยุโรปด้วย” นายฐวัฒน์ สมมะโนพัฒน์ กล่าวสรุป