ทำตลาดไม่ว่ายุคไหนต้องรู้เขารู้เรา รู้ว่า “ลูกค้ากลุ่มไหน” กำลังมา และที่ต้องจับตาให้ดี คือ “แมสทีจ” กลุ่มคนชั้นกลาง อยู่กึ่งกลางระหว่างไฮโซและแมสเติบโตขึ้นทุกปี ด้วยอำนาจการซื้อไม่น้อยกว่า 14,000 ล้านบาทต่อเดือน กลายเป็น “พลังซื้อยุคใหม่” ที่หลายธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์ ร้านอาหาร ร้านไวน์ เลือกเจาะตลาดนี้โดยเฉพาะ ส่วนแบรนด์ไหนจะอยู่ในใจ และกลยุทธตลาดแบบไหน จะเหมาะกับลูกค้ากลุ่มนี้ ทั้งหมดนี้…เรามีคำตอบ
ลูกค้ากลุ่มนี้มาจากผลงานวิจัยของนักศึกษาปริญญาโท วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้สอบถามการสนทนากลุ่มและสัมภาษณ์เชิงลึก เป็นหญิงและชายที่รายได้สองหมื่นถึงแปดหมื่นอยู่กรุงเทพฯ และปริมาณฑล ชอบความหรูหรา ซื้อสินค้าพรีเมียม ในราคาจับต้องได้และการวิจัยเชิงปริมาณ 407 ชุด พบว่า
ผู้บริโภคอยู่กึ่งกลางระหว่างกลุ่มคนที่ต้องการสินค้าหรูหรา (เพรสทีจ) และสินค้าทั่วไป (แมส) จะเรียกกันว่า กลุ่มแมสทีจ กำลังเป็นลูกค้ากลุ่มใหม่ที่มีบทบาทในสังคมธุรกิจของไทย และกำลังได้รับความสนใจจากสินค้าและบริการ โดยคนกลุ่มคนนี้จะมีรายได้ปานกลาง ชอบใช้สินค้าหรูหราในราคาเข้าถึงได้ ซึ่งแบรนด์สินค้าที่เข้าข่ายกลุ่มแมสทีจ ซึ่งเป็นสินค้าพรีเมียม แต่ราคาเข้าถึงได้ คือ แอปเปิ้ล ไนกี้และโอเลย์ รีเจเนอริส
ความน่าสนใจของผู้บริโภคกลุ่มนื้ ส่วนหนึ่งมาจากผลวิจัยของ SCB EIC พบว่า ประชากรไทยที่มีรายได้ระดับปานกลางถึงสูง โดยมีรายได้ระหว่าง 15,000 – 35,000 บาท และรายได้ 35,000 บาทขึ้นไป จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากปี 1994 ประชากรที่มีรายได้ ระดับกลาง 11% แต่ในปี 2007 เพิ่มเป็น 18% และจากการคาดการณ์ไปยังอนาคต พบว่า ปี 2020 คนกลุ่มนี้จะมากขึ้น 41% คิดเป็น 2 เท่า จากปี 2007 โดยจะอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ประมาณ 2 ล้านคน
แนวคิดนี้ยังตรงกับ บาวเค่อ ราวเออร์ส ประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัท ยูนิลีเวอร์ ในประเทศไทย ได้เคยประเมินว่า ภายใน พ.ศ. 2563 ประชากรของไทยมากกว่า 90% จะกลายเป็นชนชั้นกลาง จากปัจจุบันมีเพียง 60% ส่วนอีก 40% ยังเป็นคนที่มีรายได้น้อย
อะไรทำให้แมสทีจเติบโต
แรงจูงใจคนกลุ่มนี้ก้าวสู่ความเป็นแมสทีจมาจากพื้นฐานของครอบครัวที่มีการใช้สินค้าแบรนด์เนมตลอด กลุ่มเพี่อนระดับมหาวิทยาลัย มักจะใช้สินค้าแบรนด์เนม หรูหรา ราคาแพง นอกจากนี้ยังใช้แบรนด์เนมเพื่อสังคมที่ทำงานเป็นหน้าตาของตัวเอง ต้องการได้รับการยอมรับจากเพื่อนที่ทำงาน เมื่อมีรายได้จึงแสวงหาชีวิตความเป็นอยู่หรือมีไลฟ์สไตล์ที่ดีขึ้น
ปรากฎการณ์ด้านการตลาดสินค้า “แมสทีจ” ในไทย คือ การเข้ามาทำตลาดของแบรนด์เสื้อผ้า H&M, ซาร่า, เฟอร์นิเจอร์ชิครีพับลิกและร้านไวน์ไอเลิฟยู
ถอดรหัสกลุ่มแมสทีจในไทย
“เรียบ หรู ชิลล์”
ในมุมมองของคนทั่วไปที่มองกลุ่มคนแมสทีจว่าเป็นกลุ่มคนที่มีรสนิยมสูง รายได้ต่ำ, บ้าแบรนด์ โดยที่คนแมสทีจมองตัวเองว่าเป็นคนประเภท “เรียบ หรู ชิลล์” ชื่นชอบแบรนด์เนม เสื้อผ้า หน้าผมต้องเป๊ะ นิยม gadget บ่งบอกถึงตัวตนที่ต้องไม่ธรรมดา
ชาวแมสทีจของไทยจะมีอายุ 26 – 30 ปี ชายและหญิงเท่าๆ กัน ส่วนใหญ่เป็นโสดถึง 44% โดย 50% ยังอยู่กับครอบครัว มี 28% อยู่คนเดียว ระดับการศึกษาจบระดับปริญญาตรี 76% ส่วนใหญ่มักจะหาความรู้เพิ่มเติม ไอที ธุรกิจ ทำอาหารและภาษา โดยประกอบอาชีพพนักงานขาย/การตลาด 23% เจ้าของธุรกิจ 21% วิศวะกรและสถาปนิก 11%
คนกลุ่มนี้มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 40,000 บาท ในจำนวนนี้ 21% ที่มีรายได้เสริมเฉลี่ย 13,000 บาทต่อเดือน ทั้งขายตรง ขายสินค้าออนไลน์ สอนหนังสือ กำไรจากการลงทุนและค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์
เงินที่หามาจะใช้เพื่อการออมและลงทุน 30% เงินส่วนใหญ่ 70% จะนำไปเป็นค่าใช้จ่าย ชำระหนี้ ให้ครอบครัว ดูแลตัวเอง ซื้อของส่วนตัว โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 27,165 บาทต่อคนต่อเดือน หากกลุ่มคนชั้นกลางของไทยมีอยู่ 1 ใน 4 ของประชากรเท่ากับว่าคนกลุ่มนี้จะใช้จ่ายถึง 14,000 ล้านบาทต่อเดือน ทำให้ชาวแมสทีจเป็นผู้บริโภคได้รับความสนใจจากสินค้าและบริการเวลานี้
พฤติกรรมชาวแมสทีจ พบว่า 36% อาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมราคา 1 – 5 ล้านบาท กรณีศึกษาการตลาดที่น่าสนใจ คือ บริษัทแสนสิริเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ทำตลาดไปยังกลุ่มแมสทีจ คือ โครงการ Wyne ที่ใช้เฟซบุ้คเข้าถึงลูกค้ากลุ่มนี้ ออกแบบแต่ละห้องให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์และการเลือกใช้กิจกรรมที่ตรงกับลูกค้ากลุ่มนี้ และร้านชิค รีพับลิก ที่ขายเฟอร์นิเจอร์ที่เจาะจงถึงกลุ่มแมสทีจโดยตรง
ช้อป ชีลล์ พฤติกรรมยอดฮิตชาวแมสทีจ
ผู้บริโภคชั้นกลางในวัยทำงานจะต้องแวะซื้อกาแฟก่อนเข้าทำงาน ต้องเป็นกาแฟสดที่มียี่ห้อ อย่าง สตาร์บัคส์หรืออเมซอน โดยบรรจุภัณฑ์ต้องดูสวย ไม่งั้นไม่กล้าถือขึ้นออฟฟิศ
หลังเลิกงานตอนเย็นของวันศุกร์จะเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่แมสทีจที่จะนัดเพื่อนๆ มาสังสรร และเป็นโอกาสของร้านอาหารดีไซน์เก๋ๆ นั่งสบายจึงเกิดขึ้นมากมาย เช่น ร้านไวน์ไอเลิฟยู ที่แจ้งเกิดได้ด้วยคอนเซปท์การแต่งร้าน ไวน์ดี อาหารอร่อยราคาไม่สูง
เช่นเดียวกับวันหยุดสุดสัปดาห์ชาวแมสทีจจะมีประโยคยอดฮิต “วันนี้จะไปช้อปและชิลล์ที่ไหนดี” เพราะชาวแมสทีจะนิยมไปช้อปปิ้งตามห้างสรรพสินค้าเป็นอันดับแรก รองลงมา คอมมูนิตี้มอลล์และไฮเปอร์มาร์เก็ต
สินค้าแฟชั่น คือ สิ่งที่เลือกช้อปเป็นอันดับแรกๆ เพราะสามารถบอกตัวตนและแสดงออกถึงฐานะทางสังคม
การเลือกใช้สินค้าจะเลือกจากคุณภาพและคุณสมบัติ ก่อนเรื่องของราคา ชาวแมสทีจจะให้ความสำคัญกับเรื่อง “หน้าตา” เพราะช่วยสร้างความมั่นใจเมื่อต้องพบปะผู้คน