กลุ่มทิสโก้โชว์ผลงานครึ่งปีแรก ธุรกิจขยายตัวต่อเนื่องทุกภาคส่วนท่ามกลางปัจจัยท้าทาย กำไรโต 32% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อน เผยครึ่งปีหลังยังเดินหน้าขยายธุรกิจทุกกลุ่มด้วย 4 กลยุทธ์ “ขยายฐานลูกค้า-เน้นธุรกิจที่ชำนาญ-เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ-สร้างแบรนด์ต่อเนื่อง” มั่นใจเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ 15-20%
นางอรนุช อภิศักดิ์ศิริกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ (Mrs. Oranuch Apisaksirikul, Group Chief Executive) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2556 ต้องเผชิญกับปัจจัยท้าทายหลายด้าน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีแรกสูญเสียแรงส่งจากอุปสงค์ภายในประเทศ ทั้งการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากขายรถยนต์ในประเทศได้ปรับลดลงเข้าสู่ภาวะปกติ ภายหลังการสิ้นสุดโครงการรถคันแรก ขณะที่การฟื้นตัวในภาคการส่งออกยังคงเปราะบางตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า ประกอบกับอัตราแลกเปลี่ยนที่ค่อนข้างผันผวน รวมถึงเศรษฐกิจโลกนำโดยสหรัฐอเมริกามีแนวโน้มฟื้นตัว ส่งผลให้เม็ดเงินลงทุนที่อยู่ในภูมิภาคเอเชียไหลกลับเข้าไปในสหรัฐฯ โดยศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ ปรับประมาณการการเติบโตของ GDP ปี 2556 ลงเหลือ 4.5% จากเดิม 4.7% แต่ยังถือว่าเป็นระดับการขยายตัวที่อยู่ในเกณฑ์ดี
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางปัจจัยที่ท้าทายดังกล่าว การดำเนินงานของกลุ่มทิสโก้ในครึ่งปีแรกที่ผ่านมาโดยรวมอยู่ในระดับที่ดี สินเชื่อในทุกภาคส่วนมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยกำไรสุทธิหลังผู้ถือหุ้นส่วนน้อยขยายตัวอยู่ที่ 32% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากกลยุทธ์ที่วางไว้ ได้แก่การทำ Cross-selling ที่เน้นการทำงานแบบเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิดในทุกธุรกิจภายในกลุ่มทิสโก้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมุ่งนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างตรงจุด ทำให้ปัจจุบันกลุ่มทิสโก้มีขนาดสินทรัพย์เติบโตขึ้นมาอยู่ที่ 323,969 ล้านบาท
สำหรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของกลุ่มทิสโก้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2556 นางอรนุชกล่าวว่า ยังคงเดินหน้าตามแผนงานที่วางไว้ คือการสร้างการเติบโตให้ธุรกิจทุกกลุ่มด้วย 4 กลยุทธ์หลัก ซึ่งประกอบด้วย 1. การขยายฐานลูกค้า ด้วยการขยายช่องทางให้บริการที่ครอบคลุมทั่วประเทศ และการให้บริการที่ปรึกษาการเงินที่ครบวงจร รองรับความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม 2. การดำเนินธุรกิจแบบ Selective Focus โดยเลือกดำเนินธุรกิจในตลาดที่มีความชำนาญ และเป็นธุรกิจที่มีโอกาสการเติบโตที่ดี 3. การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ ด้วยการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพและการกำกับดูแลกิจการที่ดี และ 4. การสร้างแบรนด์ ให้เกิดการรับรู้แบรนด์ทิสโก้ในวงกว้างมากขึ้น โดยทั้งหมดจะดำเนินการควบคู่ไปกับการพัฒนาบุคคลากรของทิสโก้อย่างต่อเนื่อง
“ผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกถือว่าน่าพอใจมาก ทุกอย่างเป็นไปตามที่เราประเมินและเตรียมแผนงานรองรับไว้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นแผนรับการชะลอตัวของตลาดรถยนต์หลังหมดมาตรการทางภาษีรถคันแรก แผนการควบคุมคุณภาพหนี้ รวมถึงเรามีการประเมินความต้องการของตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี ทำให้ผลประกอบการเป็นไปตามเป้าหมาย ส่วนในครึ่งปีหลังเรายังคงเดินหน้าด้วยกลยุทธ์ที่วางไว้ โดยคงเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อรวมทั้งปีที่ 15-20% และมั่นใจว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างแน่นอน” นางอรนุช กล่าว
ด้าน นายสุทัศน์ เรืองมานะมงคล กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) (Mr. Suthas Ruangmanamongkol, President, TISCO Bank Plc.) กล่าวว่า การเติบโตของธนาคารทิสโก้ในช่วง 6 เดือนแรก ยังคงรักษาอัตราการเติบโตที่แข็งแกร่ง โดยสินเชื่อรวมมีการขยายตัวอยู่ที่ 13.0% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อน ขณะที่สินเชื่อเช่าซื้อรวมมีการขยายตัวอยู่ที่ 12.5% และสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์อนุมัติใหม่ขยายตัวอยู่ที่ 11.7% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อน แม้จะไม่มีนโยบายรถคันแรกเป็นตัวกระตุ้น ส่วนสินเชื่อธุรกิจเพิ่มขึ้น 10.8% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อน และสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เพิ่มขึ้น 26.7% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อน ทั้งนี้ในด้านคุณภาพของสินทรัพย์หรือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 1.28% มาอยู่ที่ 1.45% โดยเป็นการเพิ่มขึ้นตามการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อ
สำหรับกลยุทธ์การดำเนินงานในช่วงที่เหลือของปีนี้ ธนาคารทิสโก้จะยังคงมุ่งการขยายตัวของสินเชื่อทุกภาคส่วน ทั้งเงินฝาก สินเชื่อธุรกิจทุกขนาด สินเชื่อรายย่อย และสินเชื่อรถยนต์ที่จะยังเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ซึ่งรวมถึงสินเชื่อทะเบียนรถยนต์ (ทิสโก้ ออโต้ แคช) อีกทั้งยังมีการเพิ่มช่องทางการบริการให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าในการให้บริการสินเชื่อรถยนต์อย่างครบวงจร สำหรับสินเชื่อธุรกิจทั้งธุรกิจขนาดใหญ่ ธุรกิจเอสเอ็มอี และธุรกิจวาณิชธนกิจ มุ่งเน้นการให้บริการโซลูชันทางการเงินที่ครบวงจรแก่ลูกค้า ทางด้านการระดมเงินฝากเราจะมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์เงินฝากและการลงทุนใหม่ๆ ที่โดดเด่นและแตกต่าง พร้อมนำเสนอผลตอบแทนในระดับที่จูงใจ เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ลูกค้า
ด้าน นายชาตรี จันทรงาม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายควบคุมการเงินและบริหารความเสี่ยงกลุ่มทิสโก้ (Mr. Chatri Chandrangam, CFO) กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มทิสโก้ ไตรมาส 2/2556 มีผลกำไรหลังผู้ถือหุ้นส่วนน้อย จำนวน 1,159 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 239 ล้านบาท หรือ 26.0% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า เป็นผลจากรายได้ดอกเบี้ยรวมที่เพิ่มขึ้น 31.8% ตามการขยายตัวของพอร์ตสินเชื่อซึ่งเพิ่มขึ้น 33.6% ขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยจากธุรกิจหลักอยู่ที่ 1,576 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 218 ล้านบาท หรือ 16.1% จากค่าธรรมเนียมของธุรกิจธนาคารและรายได้จากธุรกิจหลักทรัพย์
สำหรับผลประกอบการงวดครึ่งปีแรกของปี 2556 กลุ่มทิสโก้มีกำไรสุทธิหลังผู้ถือหุ้นส่วนน้อยจำนวน 2,313 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 556 ล้านบาท หรือ 31.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวน 1,756 ล้านบาท เป็นผลจากรายได้ดอกเบี้ยรวมที่เพิ่มขึ้น 31.3% ตามการขยายตัวของสินเชื่อทุกภาคส่วน ขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยจากธุรกิจหลักเพิ่มขึ้น 37.4% ตามการเติบโตอย่างต่อเนื่องของธุรกิจสินเชื่อ ธุรกิจนายหน้าประกันภัย ธุรกิจซื้อขายหลักทรัพย์ และธุรกิจจัดการกองทุน โดยผลการดำเนินงานในภาพรวมยังสามารถทำกำไรเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนอัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นเฉลี่ยสำหรับงวดไตรมาส 2 และ งวด 6 เดือนแรกของปี 2556 เพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ 23.5% และ 24.1% เทียบกับอัตราส่วนผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นเฉลี่ยของช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 22.1% และ 21.7% ตามลำดับ
สำหรับธุรกิจหลักทรัพย์ โดย บริษัทหลักทรัพย์ จำกัด (บล.ทิสโก้) มีรายได้จากค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ จำนวน 305.34 ล้านบาทในช่วงระหว่างไตรมาส โดยเพิ่มขึ้นอย่างมากถึง 77.5% ซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์และส่วนแบ่งตลาดของ บล. ทิสโก้ ที่เพิ่มขึ้นจาก 2.92% เป็น 3.19% สำหรับธุรกิจจัดการกองทุน โดย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด (บลจ.ทิสโก้) มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2556 จำนวน 154,030.64 ล้านบาท โดยรายได้ค่าธรรมเนียมรวมจากธุรกิจจัดการกองทุนในไตรมาส 2 ปี 2556 เท่ากับ 205.72 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46.93 ล้านบาท หรือ 29.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน