ยอดขายรถยนต์ใหม่ในประเทศ ปี’56…คาดหดตัวร้อยละ 10 – 15
จบครึ่งแรกปี 2556 ตลาดรถยนต์ในประเทศของไทยปิดตัวเลขอย่างสวยงามที่ยอดขาย 740,795 คัน ขยายตัวสูงขึ้นจากปีก่อนหน้าถึงร้อยละ 22 โดยรถยนต์นั่งซึ่งถือครองส่วนแบ่งกว่าร้อยละ 48 ของตลาดรวมทั้งประเทศขยายตัวกว่าร้อยละ 36 ขณะที่รถเพื่อการพาณิชย์ขยายตัวเช่นกันที่ร้อยละ 11 ทั้งนี้เป็นผลมาจากการเร่งส่งมอบรถยนต์ให้กับผู้จองซื้อรถยนต์ภายใต้นโยบายการคืนภาษีรถยนต์คันแรกที่สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2555 ซึ่งนโยบายการคืนภาษีรถยนต์คันแรกนี้ แม้ว่าจะส่งผลดีต่อตลาดในแง่ของยอดขายรถยนต์ในประเทศที่พุ่งขึ้นอย่างมากในช่วงปีกว่า 1 ปี ที่ผ่านมา แต่จากผลของนโยบายที่ทำให้มีการดึงอุปสงค์ล่วงหน้ามาใช้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ตลาดรถยนต์ในประเทศช่วงหลังจากหมดแรงกระตุ้นจากนโยบายการคืนภาษีรถยนต์คันแรก จะเริ่มมีทิศทางที่หดตัวลงอย่างชัดเจนในระดับตัวเลข 2 หลัก ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2556 นี้เป็นต้นไปถึงอย่างน้อยในเดือนมีนาคม 2557 ซึ่งปัจจัยลบที่จะเข้ามากระทบตลาดรถยนต์ในประเทศช่วงครึ่งหลังของปีนี้ยังรวมไปถึง การยกเลิกใบจองซื้อรถในโครงการรถยนต์คันแรก ซึ่งจากข้อมูลของผู้ประกอบการพบว่า ปัจจุบันน่าจะอยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ 20 และการเลื่อนรับรถอีกร้อยละ 10 ถึง 20
แม้ตลาดจะมีปัจจัยลบอยู่รอบด้าน แต่ปัจจัยบวกที่สำคัญซึ่งทยอยเข้ามากระตุ้นตลาดในขณะนี้อย่างการระดมจัดแคมเปญกระตุ้นตลาดในรูปแบบต่างๆของแต่ละค่ายรถ รวมถึงการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆออกมาดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องนี้ น่าจะมีส่วนช่วยผลักดันตลาดให้สามารถประคองตัวเลขยอดขายรถยนต์ในช่วงครึ่งหลังของปี 2556 นี้ไม่ติดลบลงไปมากกว่าที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเคยคาดการณ์เอาไว้ที่หดตัวประมาณร้อยละ 35 ถึง 40 หรือคิดเป็นยอดขายรถยนต์ประมาณ 480,000 ถึง 550,000 คัน
ทั้งนี้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ยอดขายรถยนต์ในประเทศนับจากนี้ไปจะทยอยหดตัวลงไปอีกจากระดับปัจจุบัน (ยอดขายเดือนมิถุนายน 2556 อยู่ที่ 105,217 คัน) โดยนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคมซึ่งจะมีปัจจัยเรื่องฤดูมรสุมและการส่งมอบรถยนต์คันแรกที่คาดกันว่าจะทยอยส่งมอบได้เสร็จสิ้นในเดือนตุลาคมนี้ที่เข้ามาฉุดยอดขายให้ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่งาน Motor Expo 2013 ช่วงปลายปีจะกลับมาเป็นปัจจัยบวกที่ดึงยอดขายรถยนต์ให้ขยับขึ้นในช่วงเดือนสุดท้ายของปี และท้ายที่สุดหากไม่มีปัจจัยลบเพิ่มเติมใดๆ ก็คาดว่ายอดขายรถยนต์ในประเทศปี 2556 นี้ อาจยังคงรักษาระดับที่สูงกว่า 1,200,000 คัน โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าจะทำได้ใกล้เคียงระดับที่เคยประเมินไว้ในช่วงต้นปีที่ประมาณ 1,220,000 ถึง 1,290,000 ล้านคัน หรือหดตัวระหว่างร้อยละ 10 ถึง 15 จากปีก่อนที่มียอดขายสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 1,434,752 คัน โดยหากแยกประเภทรถยนต์แล้ว คาดว่ารถยนต์นั่งซึ่งในปีนี้จะขยับสัดส่วนสูงขึ้นจากร้อยละ 47.6 มาอยู่ที่กว่าร้อยละ 49 นั้น จะมียอดขายประมาณ 604,000 ถึง 638,000 คัน หรือหดตัวประมาณร้อยละ 7 ถึง 12 ส่วนรถยนต์เพื่อการพาณิชย์จะมียอดขายประมาณ 616,000 ถึง 652,000 คัน หรือหดตัวถึงประมาณร้อยละ 13 ถึง 18
ตลาดรถยนต์มือสอง ปี’56 ยังถูกกระทบหนัก…ราคาและแนวทางการให้สินเชื่อที่แข่งขันได้ อาจช่วยพยุงตลาดหลังสิ้นรถยนต์คันแรก
ในส่วนของตลาดรถยนต์มือสองช่วงที่ผ่านมา จะเห็นว่าได้รับผลกระทบอย่างมากทั้งในด้านยอดขายและราคาขายที่ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง จากทั้งการเข้ามาสู่ตลาดของรถยนต์อีโคคาร์ นโยบายการคืนภาษีรถยนต์คันแรก และล่าสุดจากแคมเปญกระตุ้นยอดขายของค่ายรถที่ออกมาในช่วงภาวะตลาดซบเซา ซึ่งคาดว่าจะยังคงทยอยออกมาให้เห็นอีกอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ที่อาจจูงใจให้ผู้บริโภคตัดสินใจหันไปซื้อรถยนต์ใหม่กันมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายปี หลังจากผลของนโยบายรถยนต์คันแรกสิ้นสุดลง สภาพตลาดรถยนต์ในประเทศเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น และเมื่อระดับราคารถมือสองลดลงไปถึงจุดที่แข่งขันได้กับรถยนต์ใหม่ รวมถึงการให้สินเชื่อรถมือสองมีความยืดหยุ่นมากพอที่จะแข่งขันกับแคมเปญกระตุ้นยอดขายของรถยนต์ใหม่ได้ ก็คาดว่าตลาดรถยนต์มือสองน่าจะเริ่มส่งสัญญาณการฟื้นตัวขึ้นมาได้บ้าง
อย่างไรก็ตาม หากจะมองสภาพตลาดรถยนต์มือสองโดยรวมทั้งปีแล้ว ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงมองว่าปี 2556 นี้ น่าจะยังเป็นอีกปีที่ยากลำบากสำหรับธุรกิจขายรถยนต์มือสอง โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีเงินทุนหมุนเวียนไม่มาก และที่มีสต็อกรถยนต์เก่าที่รับซื้อมาก่อนปี 2555 และยังปล่อยไม่ออกจำนวนมาก ซึ่งในปี 2556 นี้ คาดว่ายอดโอนเปลี่ยนกรรมสิทธิ์การถือครองรถยนต์จะมีโอกาสหดตัว จากที่เริ่มมีสัญญาณให้เห็นในปี 2555 ที่ยอดโอนรถยนต์ขยายตัวเพียงร้อยละ 1.9 เท่านั้น
ทั้งนี้ ตลาดรถปิกอัพมือสอง ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายรถยนต์คันแรกน้อยกว่ารถยนต์นั่ง รวมถึงรถเพื่อการพาณิชย์อื่นๆที่เป็นรถมือสอง และรถยนต์นั่งมือสองขนาดกลางและใหญ่ ซึ่งไม่อยู่ในกลุ่มได้รับประโยชน์จากนโยบายรถยนต์คันแรก น่าจะเป็นกลุ่มที่ฟื้นตัวได้ก่อน ขณะที่รถยนต์นั่งมือสองขนาดเล็กน่าจะเป็นกลุ่มที่ตลาดฟื้นตัวได้ช้ากว่ากลุ่มอื่น อย่างไรก็ตาม คงต้องติดตามในช่วง 5 ปีข้างหน้า หากมีรถยนต์ในโครงการรถยนต์คันแรกที่สถาบันการเงินยึดไป ซึ่งรถยนต์มือสองสภาพดีออกมาสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก ก็น่าจะเพิ่มความคึกคักให้แก่ตลาดรถยนต์มือสองได้มากพอสมควร
กล่าวโดยสรุปแล้ว ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ยอดขายรถยนต์ใหม่และรถยนต์มือสองของไทยในปี 2556 นี้ แม้ว่าจะมีโอกาสหดตัวลงจากปีก่อนค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม ทิศทางการหดตัวดังกล่าวคาดว่าจะเกิดขึ้นเพียงระยะสั้น โดยเป็นผลมาจากนโยบายการคืนภาษีรถยนต์คันแรกที่ดึงอุปสงค์ในอนาคตมาใช้เป็นสำคัญ ซึ่งตลาดรถยนต์ช่วงหลังจากนี้ไปแม้จะยังคงหดตัวต่อไปจนถึงอย่างน้อยช่วงต้นปี 2557 แต่ก็จะเป็นช่วงของการปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติ โดยในระยะปานกลาง การเติบโตของรายได้ประชากร โดยเฉพาะในท้องที่ต่างจังหวัด รวมถึงการขยายตัวของธุรกิจโลจิสติกส์ที่จะเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน และการนำเสนอรถยนต์ขนาดเล็กรุ่นใหม่ๆที่จะทยอยออกมาสู่ตลาดเพิ่มขึ้นในอนาคตสอดรับกับทิศทางพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป น่าจะยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนตลาดรถยนต์ในประเทศให้ขยายตัวได้ต่อไปในอนาคต
โดยในภาวะที่ตลาดยังอยู่ในช่วงปรับตัวสู่ภาวะปกตินี่เอง ธุรกิจที่เกี่ยวข้องซึ่งอาจได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะธุรกิจดีลเลอร์รถยนต์ ธุรกิจขายรถยนต์มือสอง และธุรกิจลีสซิ่ง เป็นต้น อาจจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับการหดตัวดังกล่าวไปอีกระยะหนึ่ง โดยเฉพาะการบริหารสต็อกรถยนต์ การปรับลดต้นทุน และการบริหารความเสี่ยงต่างๆ