บทความโดย ดร. ธเนศ ศิริกิจ
หากจะมองแนวโน้มเทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภคปี 2014 ที่กำลังจะเปลี่ยนในอนาคต จะเปลี่ยนอย่างไรและจะก้าวไปสู่โลกยุคไหนก็ตาม จะเห็นได้ว่านักวิเคราะห์หลายๆ ท่านคงจะมีการวิเคราะห์แนวโน้มมากมาย แต่ในทางเป็นจริงแล้วคงสรุปแนวโน้มต่างๆ ก็คงไม่พ้น 3 ประเด็นหลักๆ ที่ต้องมอง – การแข่งขันเพื่อชิงความเหนือกว่าในธุรกิจหรือการแข่งขันที่สูงขึ้นทุกปี – การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ต้องแข่งกับการเปลี่ยนแปลงของ External Factors และ Internal Factors ให้ได้ – การสร้างและการรักษาลูกค้าเป็นสิ่งที่ธุรกิจต้องทำ
ลองมาดูแนวโน้มพฤติกรรมผู้บริโภคและเทรนด์ปี 2014 ที่คงจะมีการเปลี่ยนแปลงและน่าจับตามองในมุมของอาจารย์ คงจะมองได้ 5 เรื่องที่เป็นเทรนด์การตลาดปี 2014
1. การตลาดจะเข้าสู่ยุค Digital เต็มตัว ซึ่งที่ผ่านมาอาจมีการใช้เครื่องมือการตลาดในลักษณะการขายโดย Personal Selling หรือการขายโดยพนักงาน แต่แนวโน้มปี 2014 คงจะใช้สื่อOnline ในสัดส่วนที่สูงขึ้น เพราะมีข้อสังเกตว่า “อายุเฉลี่ยคนใช้เฟซบุ๊กสูงขึ้นกว่าเดิม” แสดงว่า “Lifestyle” เปลี่ยน เฉลี่ยคนใช้เฟซบุ๊กมีอายุสูงขึ้น ไม่เพียงแต่วัยรุ่นเท่านั้น วิถีชีวิตปัจจุบันจะขาดหรือพลาดข่าวสารไม่ได้ หรือที่เรียกว่า FOMO (Fear of Missing Out) ซึ่งเป็นชื่ออาการที่คนรุ่นใหม่มักจะเป็น คือ กลัวตกเทรนด์ กลัวเชย และกลัวจะไม่เข้ากับเพื่อนๆ หรือสังคมรอบข้าง รวมทั้งศึกษาเรื่อง การทำตลาดบนโทรศัพท์มือถือ ก็เป็นอีกช่องทางที่สามารถค้นหาสินค้าหรือแบรนด์ที่ชอบได้ง่าย เพราะแน่นอนผู้ที่ใช้ Social Network เมื่ออยากทราบสินค้าใดก็ตามจะคลิกหาชื่อแบรนด์หรือประเภทสินค้าที่ต้องการได้ง่าย ดังนั้นการทำแฟนเพจก็ยังเป็นสิ่งที่น่าสนใจ เนื่องจากการรับรู้ของลูกค้าและตอบโจทย์ลูกค้าคือ “ Comment” และความคิดเห็นต่อแบรนด์หรือตราสินค้า ความคิดเห็นต่อผู้ใช้งานของสินค้านั้นๆ ดังนั้นการทำสื่อที่เป็นลักษณะสื่อประเภท Outdoor นั้นก็จะลดเปอร์เซ็นต์ลง Agency ต่างๆ ที่ทำสื่อโฆษณาก็จะต้องปรับตัวทางการจัดทำเครื่องมือทางการตลาดให้ดี หรือPromotion Mix ให้เก่ง ในเรื่องนี้คงไม่อธิบายมาก แต่การทำการตลาดโดยใช้เครื่องมือ Promotion Mix นั้น ให้มอง AD และ 3P ให้ดีว่าเราจะมุ่งเน้นที่ไหน คงตอบไม่ได้ว่าท่านจะใช้ส่วนผสมใดมากกว่ากัน คงขึ้นอยู่กับ Business ของท่านครับ อย่าลืมมอง AD+3P A= Advertising, D= Directing, P=Personal Selling, P= Promotion, P=Public Relation
2. สร้างตราสินค้าให้เกิดขึ้นในใจ (Top of Mind Brand) สร้างชื่อเสียงใน Brand มากกว่า “ชื่อเสีย” โดยการโฆษณาขายสินค้านั้นจะควบคู่ไปกับการสร้างความเข้มแข็งใน Brand เพราะการทำการตลาดนั้น หาก Brand ไม่เข้มแข็งพอ ทำยังไงก็ไม่เกิด Campaign จะประสบความสำเร็จได้ต้องเป็น Brand ในใจหรือ Top of Mind Brand
3. การควบรวมธุรกิจหรือควบรวม Brand ปี 2014 คงจะเห็นการซื้อกิจการ การควบรวมองค์กร การซื้อ Brand อย่างมาก เนื่องจากการซื้อ Brand หรือ Take Over ในธุรกิจหรือควบรวม จะเป็นการต่อยอดได้ง่าย เพราะไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ แต่การควบรวมธุรกิจหรือการซื้อ Brand จะเป็นธุรกิจที่ต้องมีสายป่าน หรือเป็น Reader ในธุรกิจพอสมควร
4. สินค้าแนวโน้มปี 2014 จะเป็นลักษณะ Emotional Selling Proposition นอกจากขายสินค้าหรือสร้างความแตกต่างแล้ว หรือที่เราเคยคุ้นเคย คือ USP (Unique Selling Proposition) หรือสร้างความแตกต่างทางกายภาพที่ชัดเจน คงไม่พอ ต้องเกิดคำว่า Emotional ด้วย คือนอกจากผู้บริโภคจะซื้อด้วยเหตุผลแล้วต้องซื้อเพราะหลงใหล (Passion) และซื้อด้วยการสนอง Want ของตนเอง สนองความอยาก ดังนั้นสินค้าหรือ Product แบบเดิมๆ ถ้าหาจุดที่ทำได้ทั้ง USP (Unique Selling Proposition) และ Emotional Selling Proposition แล้วจะทำให้ผู้บริโภคเกิดความหลงใหลในBrand ได้ ดังตัวอย่าง Coke หรือกระแสสะสมแสตมป์ของ7-11
5. เข้าสู่ยุคจาก CSR เป็น C-HR-R โดยแนวการทำธุรกิจ นอกจากเป็นองค์กรเพื่อสังคมแล้ว(Corporate Social Response) ต้องมี Network แนวโน้มการทำงานร่วมกับองค์กรภายนอกให้มากขึ้น เพื่อรับรู้ข้อมูล เพื่อนำมากำหนดกลยุทธ์ และธุรกิจจะเริ่มสร้าง Network หรือเครือข่ายทางธุรกิจให้มากขึ้น และกระตุ้นให้ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียในองค์กร และผู้เกี่ยวข้อง (Stakeholder) ให้เกิดการตระหนัก รับรู้สังคมมากขึ้น สร้างสังคมการรับรู้ (Society) มากขึ้น จนเกิด Corporate Human Resource Responsibility (CHRR) ดังนั้นในปี 2014 นั้น เครื่องมือหรือกลยุทธ์คงจะเป็นแบบเดิมๆ ไม่ได้แล้ว Tool หรือเครื่องมือ 4P’S/7P’S/8P’S คงไม่พอในปี 2014 เพราะต้องถึงเวลาที่ผู้บริโภคต้องรู้จักอีก3P’S คือ – Present (นำเสนอสินค้าให้เห็นชัดโดยอาจเป็นผู้บริหารเองก็ได้) – Proposition มองกลุ่มเป้าหมายได้ถูกต้อง – Planet มองสิ่งแวดล้อมที่ตกกระทบด้วย
**********ขอสงวนสิทธิ์ ในการคัดลอก****************