แอลจีเผยผลประกอบการปี 2556 พร้อมผลประกอบการไตรมาสสุดท้ายที่ดีขึ้น รายได้ของทุกกลุ่มธุรกิจเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบปีต่อปี

แอลจี อีเลคทรอนิคส์ เผยผลประกอบการประจำปี 2556 รวมกว่า 53.10 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1.736 ล้านล้านบาท) โดยมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 203.65 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 6.65 พันล้านบาท)  ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2555 พร้อมผลกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเป็น 1.17 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 38.259 หมื่นล้านบาท) เพิ่มจากปี 2555 ที่เคยทำไว้ที่ 1.08 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 35.316 หมื่นล้านบาท)

สำหรับไตรมาสที่สี่ ประจำปี 2556 แอลจีมีผลประกอบการที่ 14.03 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 45.878 หมื่นล้านบาท) โดยเป็นกำไรสุทธิจากการดำเนินธุรกิจจำนวน 223.89 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 7.321 พันล้านบาท) ผลประกอบการทางการเงินที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบของไตรมาสที่สี่ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2556 แสดงถึงผลขาดทุนสุทธิ 60.21 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1.968 พันล้านบาท) เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่การดำเนินธุรกิจเพิ่มขึ้น อันเป็นผลจากการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยน

กลุ่มผลิตภัณฑ์โฮมเอ็นเตอร์เทนเมนต์มีรายได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกไตรมาสที่ร้อยละ 18 หรือ 5.58 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 182.466 แสนล้านบาท)  และมีกำไรจากผลการดำเนินงานทั้งปีอยู่ที่ 369.86 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 12.094 หมื่นล้านบาท) ถึงแม้ความต้องการ แอลซีดีทีวีในอเมริกาเหนือ เอเชีย และประเทศในเครือรัฐเอกราชรัสเซียจะเพิ่มสูงขึ้น แต่ยอดขายรวมทั้งปีกลับลดลงร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ในขณะที่กำไรจากการดำเนินการทางธุรกิจเพิ่มขึ้นทุกไตรมาสในปี 2556 เนื่องจากความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ที่มีมากขึ้น รวมถึงสินค้าพรีเมี่ยม เช่น OLED ทีวี และ ULTRA HD ทีวี ซึ่งคาดการณ์ว่าความต้องการสินค้าดังกล่าวจะเพิ่มสูงขึ้นในปี 2557

กลุ่มผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือมีรายได้ทั้งปีเพิ่มขึ้นร้อยละ 29 เมื่อเทียบปีต่อปี หรือ 11.85 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 387.495 แสนล้านบาท)  และในไตรมาสที่สี่ มีรายได้สูงขึ้นร้อยละ 18 เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส  หรือ 3.38 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1.1ล้านล้านบาท)  ซึ่งเป็นผลจากยอดขายที่แข็งแกร่งของสมาร์ทโฟนกลุ่ม LTE เช่น G2 และ Nexus 5 ทั้งนี้ จำนวนผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ที่ส่งออกมี 13.2 ล้านเครื่อง ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึงร้อยละ 54 โดยเป็นผลจากความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้น การลงทุนด้านการตลาดที่เพิ่มขึ้น เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของแบรนด์แอลจีและการแข่งขันสูงด้านราคา

สำหรับยอดขายในไตรมาสที่สี่ของกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านอยู่ที่ 2.67 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 87.309 หมื่นล้านบาท) ลดลงร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการรวมทั้งปีเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 5 เทียบกับปี 2555 โดยมียอดขายที่โดดเด่นในตลาดอเมริกาเหนือและจีน ในขณะที่ตลาดกำลังพัฒนา เช่น อินเดีย อเมริกากลาง และอเมริกาใต้กลับเติบโตไม่มากนัก อย่างไรก็ตาม กำไรในไตรมาสที่สี่ของปี 2556 เพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส โดยมีกำไร 78.08 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 2.553 พันล้านบาท) จากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างราคาและยอดขายที่เพิ่มขึ้นของสินค้าที่ให้ผลกำไรสูง ทั้งนี้ คาดว่าในปี 2557 ความต้องการผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านของแอลจีจะเพิ่มสูงขึ้นในตลาดที่พัฒนาแล้ว เช่น อเมริกาเหนือและยุโรป จากการปรับตัวของสภาพเศรษฐกิจที่ดีขึ้น

สำหรับกลุ่มเครื่องปรับอากาศและโซลูชั่นส์ด้านพลังงาน มีรายได้ 677.33 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 22.148 หมื่นล้านบาท) ในไตรมาสที่สี่ของปี 2556 เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2555 เป็นผลจากยอดขายของกลุ่มเครื่องปรับอากาศพาณิชย์ในตลาดต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น โดยมีผลประกอบการรวมปี 2556 อยู่ที่ 4.24 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 138.648 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 เมื่อเทียบปีต่อปี โดยมีกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 255.71 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 8.361 พันล้านบาท) แอลจีคาดว่าความต้องการเครื่องปรับอากาศภายในบ้านระบบอินเวอร์เตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงในการประหยัดพลังงานจะช่วยให้ผลกำไรของแอลจีเพิ่มขึ้นในปี 2557 ได้

ทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2557

แอลจี อีเลคทรอนิคส์ ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 62.30 แสนล้านวอน พร้อมแผนด้านงบประมาณเพื่อการลงทุนที่ 3 แสนล้านวอน

ข้อมูลเกี่ยวกับอัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศในช่วงไตรมาสที่สี่ ประจำปี 2556

ข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวกับผลประกอบการด้านการบริหารจัดการและการเงินของแอลจี อีเลคทรอนิคส์ ในช่วงไตรมาสที่สี่ของปี 2556 เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ International Financial Reporting Standards (IFRS) โดยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2556  แอลจี อินโนเทค (LG Innotek) ได้เข้าร่วมเป็นบริษัทย่อยในแอลจี อีเลคทรอนิคส์ ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติใหม่ของ Korea-International Financial Reporting Standards (K-IFRS) 1001 เกี่ยวกับการเปิดเผยรายงานด้านการเงิน ซึ่งบริษัทได้ปรับเปลี่ยนการเปรียบเทียบข้อมูลด้านการเงินให้สอดคล้องกับข้อบังคับใหม่ ทั้งนี้ อัตราแลกเปลี่ยนของเงินวอนต่อดอลลาร์สหรัฐจะเท่ากับอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยของสามเดือนในไตรมาสเดียวกัน (ของปีที่ประกาศผลประกอบการและปีก่อนหน้า) โดยไตรมาสที่สี่ ประจำปี 2556 ใช้อัตราแลกเปลี่ยน 1,063 วอน ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ และไตรมาสที่สี่ ประจำปี 2555 ใช้อัตราแลกเปลี่ยน 1,091 วอน ต่อ 1 ดอลลาร์ สหรัฐ ดังนั้น อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ย 12 เดือนของปี 2556 จึงเท่ากับ 1,095 วอน ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ