ถึงยุคดราม่าครองเมือง เปิดใจ “จ่าพิชิต ขจัดพาลชน” เจ้าของแฟนเพจ “ดราม่า แอดดิก” ที่มีสาวกติดตามนับ 4 แสนไลค์ กับกรณีดราม่าร้อนๆ ในโลกออนไลน์
ดราม่า แอดดิก (Drama Addict) เว็บไซต์และแฟนเพจที่รวบรวมเรื่องราวดราม่าที่มีเนื้อหาขัดแย้งกันทั้งในสังคมออนไลน์และออฟไลน์ ด้วยสำนวนที่ทะลึ่งปนหยาบคายนิดๆ แต่ทำให้คนอ่านเข้าใจง่าย
เว็บไซต์ดราม่าแห่งนี้ ก่อกำเนิดโดยหนุ่มวัย 30 ปี ผู้ที่ใช้ชื่อว่า “จ่าพิชิต ขจัดพาลชน” ขอสงวนชื่อและนามสกุลจริง บอกแต่เพียงว่ารับราชการอยู่ในโรงพยาบาลในต่างจังหวัด
จ่าพิชิตเล่าที่มาของการก่อตั้ง เว็บไซต์ Drama Addict มาจากการเล่นกระทู้ในพันทิป พบความน่าสนใจของ “นักสืบพันทิป” ที่เวลามีประเด็นอะไรก็เข้าไปค้นหาข้อมูลออกมาแฉเป็นเรื่องเป็นราว อ่านแล้วรู้สึกสนุก เหมือนอ่านนิยายเรื่องสั้น จึงคิดว่าน่าจะมีเว็บไซต์รวบรวมเนื้อหากระทู้เหล่านี้ เดิมทีต้องการทำเว็บที่แปะกระทู้เฉยๆ เนื้อหาจะเป็นทั้งแบบดราม่าและเป็นกระทู้น่าสนใจ พอหลังๆ เนื้อหาเริ่มซับซ้อนขึ้น เลยคิดว่าน่าจะมีการบรรยายเนื้อหาเพิ่มเติม เลยเริ่มเขียนบรรยายเนื้อหาแล้วเป็นแบบในปัจจุบัน
คอนเซ็ปต์หลักของเว็บไซต์ จ่าพิชิตได้กำหนดทิศทางว่าต้องเป็นเว็บที่นำเสนอเนื้อหาที่เป็นเรื่องของความขัดแย้ง แต่จะไม่ได้เข้าไปยุ่งโดยตรง อาจจะเอาข้อมูลของแต่ละฝ่ายมาว่ามีข้อมูลอะไรบ้าง แล้วให้คนอ่านพิจารณาเอาเอง
ส่วนชื่อของ “จ่าพิชิต ขจัดพาลชน” ที่หลายๆ คนเรียกสั้นๆ ว่า “จ่าดราม่า” เป็นนามปากกาที่จ่าใช้มาหลายปีแล้ว โดยมีที่มาที่ไปจากที่ชื่อนี้เคยเป็นชื่อล็อกอินในเว็บหลุดโลกที่ตอนนี้ไม่มีแล้ว โดยที่คนใช้ก่อนหน้านี้เขาเลิกใช้ เลยเอาแจกในเว็บไซต์ จ่าเลยใช้นามแฝงว่า “จ่าพิชิต” ตั้งแต่ตอนนั้นมา
ตอนนี้จ่าได้ทำเว็บไซต์ดราม่ามาได้ 4 ปีแล้ว โดยใช้เวลาว่างจากงานประจำมาทำเว็บไซต์ ส่วนมากจะอาศัยหาข้อมูลในการทำดราม่าในตอนเข้าเวร ซึ่งจะใช้เวลาในการทำดราม่าในแต่ละวัน วันละ 2-3 ชั่วโมง หลายคนอาจจะสงสัยว่าจ่าเอาเวลามาจากไหนในการทำดราม่า เพราะดูเนื้อหาของดราม่าแต่ละเรื่องก็มีความละเอียดอยู่ จ่าได้เปิดเผยข้อมูลถึงไทม์ไลน์ในการหาดราม่าในแต่ละวัน โดยที่จะหาข้อมูลช่วงพักกลางวัน และหลังเลิกงานช่วง 3-4 ทุ่ม
“จากวิชาชีพที่ทำอยู่ จริงๆ ก็ไม่ได้เชื่อมโยงอะไรกับการทำดราม่าเลย แต่วิชาชีพผมเน้นเรื่องการหาหลักฐาน เน้นข้อมูลและหลักฐานเชิงประจักษ์เป็นหลัก เลยเอาตรงนี้มาต่อยอด เวลาจะทำอะไรต้องเอาข้อมูลมากรองก่อนเขียน” จ่าพิชิตพูดเสริม
ข้อมูลส่วนใหญ่จะมีคนแจ้งเบาะแสเข้ามา ติดต่อมาทางหลังไมค์เฟซบุ๊ก ซึ่งจ่าจะมีประโยคเด็ดที่จะทิ้งระเบิดไปในเฟซบุ๊กก่อนว่า “ไม่มีดราม่ามันส์ๆ เบย” โดยจะโพสต์ตอนหนึ่งทุ่มทุกๆ วัน เพื่อให้คนแจ้งเบาะแสดราม่ามา จากนั้นจะตามเรื่องอีกที โดยปกติแล้วใช้เวลาเขียนประมาณ 2-3 ชั่วโมง บางทีก็เขียนเสร็จตีสอง-ตีสาม แต่ถ้าวันไหนมีเรื่องดราม่าเยอะมาก ก็เก็บไว้แล้วไล่เขียนเรื่องที่สนใจทีละลำดับ
แหล่งข้อมูลดราม่าจะดูจากคอมมูนิตี้หลักๆ ที่มีคนเยอะ เช่น พันทิป เฟซบุ๊ก จะเป็นแหล่งที่มีดราม่าเกิดขึ้นบ่อย จ่าบอกว่าสมัยก่อนข้อมูลจากเฟซบุ๊กจะน้อยกว่า แต่สมัยนี้คนใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กเพิ่มขึ้น คนใช้เว็บบอร์ดน้อยลง เลยอิงจากโซเชียลเน็ตเวิร์กเป็นหลัก ตอนนี้เป็นสัดส่วน 50 : 50 เลยก็ได้ แต่เว็บไซต์ยูทิวบ์ก็มีโผล่มาบ้างบางดราม่า
ถ้าถามว่าจะมีวิธีดูอย่างไรว่าเคสไหนเริ่มมีแววดราม่า จ่าบอกว่าจะเห็น “ตรรกะวิบัติ” มากเป็นพิเศษ ถ้าอ่านแล้วเห็นว่ามันวิบัติมากๆ ก็เริ่มเห็นแววดราม่าแล้ว
“สังคมไทยมีดราม่าให้เขียนเกือบทุกวัน บางเรื่องมันก็สนุก บางเรื่องก็ซ้ำซากไม่อยากตาม เขียนเฉพาะเรื่องที่น่าสนใจ ไม่น่าสนใจก็ข้ามไป วิธีเลือกก็มีแค่ว่าสนใจกับไม่สนใจแค่นั้นเอง ดูเรื่องแปลกๆ เรื่องตรรกะด้วย ยิ่งวิบัติมาก ยิ่งแปลก”
ส่วนเรื่องที่เป็นประเด็นร้อนฉ่าบนโลกออนไลน์ อย่างกรณี “วงโยฯ โรงเรียนสตรีวิทยา 2” จะเห็นว่าจ่าพิชิตจัดเต็มกับดราม่าเรื่องนี้มาก ได้เขียนดราม่าถึง 3 ตอน พร้อมทั้งขุดหลักฐานทุกอย่างมาประจานชนิดที่ว่าเอาให้แก้ตัวไม่ได้ ส่วนหนึ่งก็เกิดจากเหตุผลส่วนตัวด้วยที่ทางวงโยฯ เคยขอความช่วยเหลือให้จ่าช่วยประชาสัมพันธ์ในแฟนเพจ แต่แล้วก็มีข่าวว่าไปขอเงิน “ตัน ภาสกรนที” ทำให้จ่าเห็นว่าการทำแบบนี้ไม่ถูกต้อง
จ่าได้ให้ความเห็นว่า “ผมว่ามันอุบาทว์ครับ… เด็กสมัยนี้หัดคอรัปชั่นกันแล้ว ถ้าปล่อยไว้อนาคตนี่ยุ่งยากแน่ อีกอย่างพวกนี้เป็นเด็ก แล้วปล่อยให้เด็กคิดว่าการคอรัปชั่น การทำผิดแบบนี้เป็นเรื่องถูกต้อง อนาคตของบ้านเมืองเราจะมีปัญหามากกว่าปัจจุบัน สมัยนี้ผู้ใหญ่ก็เฮงซวยพออยู่แล้ว เราต้องฝากอนาคตไว้กับเด็กรุ่นนี้ แล้วถ้าเด็กรุ่นนี้ไม่มีอนาคต ผมว่าต้องทำอะไรสักอย่างตั้งแต่ตอนนี้”
ดราม่าเรื่องนี้จ่าก็ได้ยกให้เป็นเรื่องที่ดราม่าที่สุดตั้งแต่เคยเขียนมา จ่าบอกว่า “เป็นอะไรที่วิปริตตั้งแต่นักเรียน ครู ผู้ปกครอง แล้วมันมีข้อมูลอะไรๆ ออกมาอยู่เรื่อยๆ เรื่องวงโยฯ เป็นอะไรที่มันส์มาก”
ส่วนเรื่องที่ประทับใจที่สุดจะเป็นเรื่อง “ฉันรักธรรมศาสตร์เพราะธรรมศาสตร์สอนให้ฉันลักประชาชน!!” เป็นประเด็นตอนน้ำท่วมปี 54 ที่มีปัญหาเรื่องขโมยของที่ศูนย์รังสิต “เป็นประเด็นที่เขียนแล้วรู้สึกดีมาก ที่ได้เอาเรื่องแบบนี้มาประจาน ประเด็นนี้จะคล้ายๆ กับวงโยฯ นะ เป็นเครื่องของเด็กนักเรียน ที่กระทบทั้งเด็ก ครู สถาบันเลย เนื้อหาหลักๆ ก็คือการคอรัปชั่น การทำผิดแล้วไม่ยอมรับว่าทำผิด เรื่องแบบนี้จ่าจะกัดไม่ปล่อย” จ่าให้เหตุผล
ดราม่ากับโฆษณาไทย
ทุกวันนี้ ดราม่า ยังกลายเป็นส่วนหนึ่งของวงการโฆษณาไทย เมื่อทำโฆษณามาแล้วต้องให้เกิดการแชร์ ยิ่งเป็นไวรัลก็ยิ่งดี
อย่างกรณีล่าสุด ที่กลายเป็นการวิพากษ์วิจารณ์กันเยอะพอสมควรในโลกออนไลน์ คือโฆษณาไทยประกันชีวิต ที่ไม่ว่าจะออกโฆษณาตัวไหนก็สามารถเรียกเรตติ้ง และกระตุกต่อมน้ำตาคนดูไปได้ แต่ในโฆษณาชุดนี้กลับได้ทิ้งคำถามให้กับสังคมหลายประเด็นทั้งเรื่องขอทาน การให้อาหารสุนัขจรจัด ซึ่งทางไทยประกันชีวิตต้องการสื่อสารถึงการทำความดี เพียงแต่ภาพยนตร์โฆษณาที่สื่อสารออกมา มันค่อนข้างจะขัดกับความเป็นจริงในสังคม
“ผมว่าเป็นโฆษณาที่บ้องตื้นไปหน่อยนะ แบบทำอะไรไม่ค่อยคิด คนที่รู้เรื่องขอทานเด็ก หรือคนที่เกี่ยวข้องกับมูลนิธิกระจกเงาก็รณรงค์เรื่องนี้กันมานานมาก มันทำให้การค้ามนุษย์ยิ่งลุกลามบานปลายมากยิ่งขึ้น แต่โฆษณาชุดนี้สร้างขึ้นว่าการให้เงินขอทานเป็นอะไรที่ดีเลิศประเสริฐศรี ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เพ้อเจ้อ โลกสวยเกินความเป็นจริง ง่ายๆ เลย คือเขาต้องการให้คนดูโฆษณาแล้วเกิดกระแสมากที่สุด ส่วนกระทบสังคมยังไงเขาไม่ค่อยสนหรอก”
โฆษณาไวรัลได้ แต่อย่าหลอกคนดู
“ไวรัลโฆษณามีสองแบบนะ ด้านบวกกับด้านลบ ด้านลบคือทำเนื้อหาเสียๆ หายๆ อย่างปล่อยคลิปที่ว่าเด็กทะเลาะกันในห้องเรียนแล้วอาจารย์ปาโทรศัพท์ลงพื้น หรือเป็นโฆษณาที่คนโวยวายแล้วมาเฉลยว่าเป็นขนมช็อกโกแลตแก้หิว พวกนี้พอทำออกมาเสร็จแล้วคนจะด่า เพราะหลอกคนดู แต่ที่เลวร้ายหน่อยที่เป็นคนพิการกับสาวประเภทสอง ที่ขูดรถบนที่จอดรถเพราะโมโหหิว สักพักโฆษณานี้ก็เงียบหายไป โดยที่ไม่มีการเฉลยว่าเป็นโฆษณาไวรัล แต่คนแสดงในคลิปโดนด่าเละเทะ ผมว่าเป็นโฆษณาที่ไม่มีความรับผิดชอบต่อสังคมเลย”
จ่าพิชิตได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับการทำไวรัลโฆษณาว่า “ทำเนื้อหาดีๆ คนก็สนใจแล้ว ไม่จำเป็นต้องสร้างกระแสอะไรให้คนด่า การทำด้านลบให้คนสนใจผมว่าเป็นการฆ่าตัวตาย นอกจากจะเป็นผลลบต่อตัวโปรดักต์เองแล้ว และก็เป็นผลลบต่อตัวเอเจนซี่เองด้วย แข่งการทำเนื้อหาให้ดีจะดีกว่า”
ดราม่าที่เกิดสะท้อนอะไรในสังคมไทย?
จะเห็นว่ายิ่งโซเชียลมีเดียเข้าถึงคนมากเท่าไหร่ การแสดงความคิดเห็นของคนก็ค่อนข้างจะไม่มีขีดจำกัด
“คนไทยชอบดราม่ากันมาก การเกิดดราม่าได้มันคือการถกเถียงกันโดยที่ไม่สนใจตรรกะ ไปหาข้อมูลอะไรมาก็แล้วแต่เพื่อให้ตัวเองชนะ แต่ในขณะที่การอภิปรายมันคือการเอาข้อมูลมาถกเถียงกัน ทำให้เกิดปัญญา ไม่มีดราม่าเกิดขึ้น ถ้าเข้าสู้ดราม่าได้แสดงว่าคนไทยยังไม่เข้าสู่วัฒนธรรมการโต้แย้งอย่างมีศิลปะ การถกเถียงคือการโต้แย้งให้เกิดปัญญา การดราม่าคือการโต้แย้งไม่เกิดปัญญา
ในเมืองนอกก็มีดราม่า แต่ละชาติก็มีประเด็นที่เถียงต่างกันไป เขามีเรื่องสีผิวที่เถียงกันเป็นเรื่องเป็นราวไป ด้วยความที่มีโซเชียลเน็ตเวิร์กกว้างขวาง คนก็นิยมแสดงความโง่ออกมาได้ง่ายมากขึ้น
สำนักข่าวออนไลน์ ก้าวต่อไปของดราม่าแอดดิก
เว็บไซต์ดราม่า แอดดิกมีทีมงาน 2 คน คือตัวจ่าพิชิตกับหัวหน้ายาม ที่จะเห็นคอยโพสต์เนื้อหาบนเฟซบุ๊ก ซึ่งหัวหน้ายามจะเป็นมือขวาของจ่า ดูแลเรื่องงานเอกสาร งานกราฟิก ดูแลเว็บทั่วไป
ส่วนรายได้ในเว็บไซต์จะได้จากโฆษณา ซึ่งจ่าเปิดเผยว่า “ได้ค่าโฆษณาไม่เยอะ รายได้ที่ได้มาก็เอาไปจ่ายค่าเซิร์ฟเวอร์ และค่าจ้างของหัวหน้ายาม ตรงนี้ทำเป็นงานอดิเรกมากกว่า ไม่คิดหารายได้จริงจังอะไร และก็ไม่รับโปรโมตสินค้าด้วย ใครติดต่อให้โปรโมตสินค้า ก็จะแบนเกือบหมด เพราะมันทำให้คนอ่านเสียอรรถรส อ่านกระทู้ อ่านคอมเมนต์สนุกๆ อยู่มาเจอโฆษณาขายครีมซอมบี้มันก็ไม่สนุกแล้ว ผมจะแบนให้หมดเลย น่ารำคาญ”
ตอนนี้ดราม่า แอดดิกมีครบทุกแพลตฟอร์มแล้ว ทั้งเว็บไซต์ เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ แอปพลิเคชั่น โดยที่จะมีหนังสือพ็อกเกตบุ๊ก รวบรวมดราม่าแล้วแยกหมวดหมู่ไว้ เล่มแรกรวบรวมเกี่ยวกับตรรกะวิบัติ เล่มต่อไปจะเป็นดราม่าเรื่องเครื่องสำอางและยาผิดกฎหมาย จะวางขายที่ร้านหนังสือทั่วไปช่วงสิ้นเดือน
อนาคตของเว็บไซต์ดราม่า แอดดิกนั้น จ่าได้วางแผนให้เป็นสำนักข่าวออนไลน์ย่อมๆ รวมถึงมีแผนที่จะรับทีมงานเพิ่มด้วย เพียงแต่ตอนนี้ยังคงเป็นแผนการอยู่ มีรูปแบบ และคอนเซ็ปต์เรียบร้อยหมดแล้ว ติดที่ว่าจ่าไม่มีเวลามากนัก เพราะติดที่งานประจำที่โรงพยาบาล
“ตอนนี้สนุกกับการทำดราม่าเป็นบางครั้ง บางทีมันเหนื่อยกับการหาข้อมูล พิมพ์วันละสองสามชั่วโมง ทำงานประจำก็เหนื่อย ทำดราม่าก็เหนื่อย เหมือนต้องทำกับความคาดหวังของคนอ่าน มีคนตามอ่าน เลยเขียนไปเรื่อยๆ” จ่าพูดปิดท้าย