กสิกรไทยย้ำภาคธุรกิจขนาดใหญ่ไทยยังคงมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง พร้อมรับมือกับสถานการณ์ความผันผวนทางเศรษฐกิจของโลก และความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศได้ ทั้งนี้จากการวิจัยของธนาคารกสิกรไทยพบว่าทิศทางความต้องการทุนยังคงสามารถรักษามูลค่าในระดับ 1.3–1.5 ล้านล้านบาท จากปี 2556 มาถึงปี 2557แต่ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงของการชะลอการตัดสินใจออกไป ในขณะที่แนวโน้มความต้องการทุนเพื่อการดำเนินธุรกิจตลาดต่างประเทศมีมากขึ้น สนองรับกับแนวโน้มการฟื้นตัวของตลาดโลก
นายวศิน วณิชย์วรนันต์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า แม้ดัชนีการบริโภคภายในประเทศยังชะลอตัวต่อเนื่องจากสถานการณ์ทางการเมือง และคาดการณ์จีดีพีปีนี้ของศูนย์วิจัยกสิกรไทยจะลดลงมาอยู่ที่ 1.8% จาก 2.9% ในปี 2556 อย่างไรก็ตามหากมองตลาดต่างประเทศจะพบว่า มีแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกาที่ธนาคารกลางตัดสินใจลดคิวอี (QE) ลงเหลือ 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากดัชนีทางเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจยุโรปถูกประเมินว่ามีแนวโน้มการเติบโตจาก 1.2% ในปี 2556 เป็น 1.5% ในปี 2557 เนื่องจากความต้องการภายในภูมิภาคที่ฟื้นตัวขึ้น นอกจากนี้เศรษฐกิจของประเทศจีนก็ส่อแนวโน้มฟื้นตัวในไตรมาสที่ 2 ของปี เป็นต้นไปจากการออกมาตรการทางเศรษฐกิจและกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐ
นายวศินกล่าวเสริมถึงแนวโน้มทิศทางความต้องการทุน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักของการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ ผู้ประกอบการยังแสดงความต้องการทุนโดยรวมทรงตัวอยู่ที่ 1.3–1.5 ล้านล้านบาท โดยในปีนี้สัดส่วนของมูลค่าโครงการที่อยู่ในขั้นตอนของการศึกษาความเป็นไปได้และรอตัดสินใจเพิ่มขึ้นเป็น 59% ของมูลค่าความต้องการทุนโดยรวม อันจะสะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการยังมองเห็นโอกาสในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงรอจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการเดินหน้าโครงการจริงต่อไป
นอกจากนี้ ในส่วนของความสนใจของผู้ประกอบการ พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมที่มองตลาดในประเทศเป็นหลัก เปลี่ยนเป็นมองตลาดต่างประเทศในสัดส่วนที่มากขึ้น คิดเป็นประมาณ 60% ของความต้องการทุนโดยรวม โดยที่กว่า 90% ของการลงทุนในต่างประเทศยังคงเป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่มีขนาดมูลค่าโครงการโดยเฉลี่ยต่อโครงการประมาณ 50,000 ล้านบาทขึ้นไป โดยมีความสนใจในประเทศพม่ามากขึ้น ซึ่งมีจำนวนโครงการลงทุนไปพม่าเพิ่มขึ้นกว่า 5 เท่า ทั้งนี้ อุตสาหกรรมหลักของการลงทุนในต่างประเทศเป็นไปเพื่อการพัฒนาโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานและการส่งเสริมสินค้าและบริการเพื่อการอุปโภคพื้นฐานในตลาดอาเซียน
นายวศินกล่าวว่า จากการที่ธนาคารผลักดันกลยุทธ์ด้าน Transaction Banking ตลอดมา ทำให้ธนาคารสามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงสัดส่วนทางการตลาดของปริมาณธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศที่เติบโตจาก 16% เป็น 17% ในไตรมาสที่ 1ของปี 2557 ซึ่งส่งผลให้สายงานธุรกิจลูกค้าบรรษัท สามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตของธุรกิจในไตรมาสแรกได้อย่างดี และมั่นใจว่าจะสามารถเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียมได้ตามเป้าหมายสิ้นปี โดยตั้งเป้าสัดส่วนค่าธรรมเนียมต่อรายได้รวม (Fee to Total Income) เพิ่มขึ้นจาก44.9% ในปี 2556 เป็น 47% ในปี 2557 โดยคาดว่าอัตราการเติบโตของยอดสินเชื่อคงค้างในปี 2557 จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 5-7%