เรื่อง ดร.ธเนศ ศิริกิจ
เมื่อถึงยุคที่ธุรกิจต้องมีการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยภายในประเทศ (Internal Factors) หรือ ภายนอกประเทศ (External Factors)
“สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจคือ ทั้งปัจจัยภายในและภายนอกหลายธุรกิจ มองปัจจัยภายนอกที่กระทบอย่างเดียว แต่ไม่มองปัจจัยภายในก็จะทำให้องค์กรขับเคลื่อนไปยากพอสมควร”
เมื่อองค์กรมองแต่ปัจจัยภายนอก (External Factors) อย่างเดียว มองและคาดการณ์ปัจจัยต่างๆที่เกิดขึ้นเช่น การเมือง สังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อมโลกอย่างเดียว แต่สิ่งที่พลาดคือ ปัจจัยภายใน Internal Factors ไม่ใช่ เพียงแค่ปัจจัยภายในอย่างเดียว แต่คือคนภายในองค์กร ซึ่งเรียกว่า “Internal Customer” คือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในองค์กร ซึ่งเป็นจุดที่หลายธุรกิจมักจะมองข้ามไป มุ่งเน้นแต่กำไรจากธุรกิจ แต่ลืมมองไปว่ากำไรที่ได้มานั้น ส่วนหนึ่งคือการบริหารจัดการคน หรือคนภายในองค์กร( Internal Customer) หลายครั้งที่อาจารย์ได้ไปบรรยายให้กับบริษัทต่างชาติ เขาชื่นชมเมืองไทยว่า “มีฝีมือนะ แต่ขาดการบริหารจัดการที่ดี หรือบริหารงานกับบริหารคนยังไม่เก่ง”
ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าเมื่อเปิดเสรีทางการค้าหรือ ASEAN Community อย่างสมบูรณ์แล้ว องค์กรต่างๆคงต้องปรับกลยุทธ์ ซึ่งอาจารย์มองว่า “แนวโน้มปี 2015 ในการบริหารงาน” ขอย้ำการบริหารงานครับที่จะเกิดขึ้น ขอสรุปให้เป็นแนวทาง ให้เป็นความรู้นะครับ
1.การรวมธุรกิจ (Integration) ในปีหน้าธุรกิจต่างๆจะหันมาดำเนินธุรกิจที่ไม่ทำคนเดียวหรือบริหารงานเอง แต่จะเป็นการรวมธุรกิจ หรือเรียกว่ามีพันธมิตรธุรกิจมากขึ้น (Alliance) มากขึ้น อาจจะมองการแข่งขันมาเป็นหาคู่ค้ามากกว่า โดยเป็นการจับมือพันธมิตร หรืออาจเป็นลักษณะร่วมกิจการ (Joint Venture) กับผู้จัดจำหน่ายสินค้าหรือบริการ ดังนั้นจะเห็นธุรกิจบางธุรกิจที่ติดกิจกรรมทางธุรกิจบางอย่างให้ผู้อื่นทำแทน เพื่อลดการเสียเวลาในการบริหารจัดการ
ซึ่งต่อไปในปีหน้าจะเห็นการแข่งขันแบบ Backward Integration คือการรวมกับผู้หาปัจจัยการผลิตหรือต้นน้ำของวัตถุดิบโดยตรง เพื่อสร้างconnection กับผู้ส่งวัตถุดิบหรือ Forward Integration โดยผ่านตัวแทนจำหน่าย มากขึ้น
2.การกระจายธุรกิจ (Diversification) โดยหันมามองธุรกิจที่ใกล้เคียงกับธุรกิจของตนที่มีแนวทางซึ่งเราคงได้ยินคำว่า Take Over แต่การ Take Over จะต้องเป็นการเข้าไปซื้อกิจการที่ตนมีธุรกิจใกล้เคียงและมีประสบการณ์เดิม บางทีก็เรียกว่า “Relate Diversification” หรือยังเกาะกลุ่มธุรกิจเดิมอยู่ เป็นการขยายธุรกิจไปสู่ผลิตภัณฑ์อื่น แต่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเดิม บางส่วนคือให้เกิดการประหยัดจากกำลังการผลิตหรือ Economy of Sale
อีกส่วนคือ “Un-Relate Diversification” เป็นการหนีจากธุรกิจเดิมไปเลย โดยไม่ยึดติดธุรกิจเดิม อาจเป็นเพราะธุรกิจเดิมไม่ประสบความสำเร็จหรือตลาดธุรกิจเดิมไม่มีแนวโน้มที่ดี
จะเห็นได้ว่าในปี 2015 ลักษณะธุรกิจจะเกิดทั้งการรวมกิจการ (Integration) และกระจายธุรกิจ (Diversification) มากกว่าเดิม เพราะในธุรกิจในอนาคตพฤติกรรมผู้บริโภคนั้นจะคาดเดายากมาก ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสี่ยงในธุรกิจ ธุรกิจใดที่คาดเดาพฤติกรรมผู้บริโภคหรือ Consumer Behavior ลำบาก อาจต้องหาแนวร่วมธุรกิจมากขึ้น ซึ่งคำว่า Network นั้นสำคัญ และ connection ทางธุรกิจจึงสำคัญยิ่ง
จึงอาจมองได้ว่าในปี 2015 จะเป็นปีแห่งการควบรวม (Take Over) หรือหาพันธมิตร (Alliance) ทางธุรกิจมากขึ้นแน่นอน
ดร.ธเนศ ศิริกิจ : ผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาการวางแผนกลยุทธ์การตลาด /อาจารย์ ในระดับปริญญาโท หลายสถาบัน, นักวิชาการ และวิทยากรทั้งภาครัฐและเอกชน
Email : s_thaneth @yahoo.com