หากเอ่ยชื่อพาหนะสองล้อที่มาพร้อมระบบการขับเคลื่อนอันเป็นเอกลักษณ์คงไม่มีใครไม่นึกถึง “Segway” ได้ แต่ล่าสุด บริษัทสัญชาตมะกันรายนี้ได้ถูกบริษัทคู่แข่งจากจีนอย่าง Ninebot ซื้อกิจการไปเรียบร้อยแล้ว โดยทาง Ninebot ไม่ได้เปิดเผยถึงมูลค่าของดีล บอกแต่เพียงว่า มีบริษัทยักษ์ใหญ่ในจีนอีกอย่างน้อยสองรายให้เงินสนับสนุนการซื้อกิจการครั้งนี้เป็นเงิน 80 ล้านเหรียญสหรัฐ
โดยเม็ดเงินก้อนใหญ่ดังกล่าวมาจากผู้ผลิตสมาร์ทโฟนชื่อดัง “เสี่ยวหมี่” (Xiaomi) และ Sequaia Capital บริษัทด้านการลงทุนนั่นเอง ซึ่งการสนับสนุนของเสี่ยวหมี่นั้นเป็นที่น่าจับตามองไม่แพ้กัน เพราะมีการคาดการณ์ว่า การร่วมลงทุนของเสี่ยวหมี่ที่เน้นการให้ทุนบริษัทอย่าง Misfit, Pebbles Interfaces และ iHealth Labs นั้นจะช่วยสร้างโอกาสให้ส่วนธุรกิจอีคอมเมิร์ซของเสี่ยวหมี่ได้ในอนาคตนั่นเอง
สำหรับค่าย Ninebot เองนั้นก็ผลิตยานพาหนะสองล้อเช่นกัน และทั้งสองค่ายต่างก็มีคดีความกันมาก่อนโดยทาง Segway ได้เคยอ้างว่า Ninebot ละเมิดสิทธิบัตรของบริษัท และเรียกร้องให้มีการห้ามการนำเข้าอุปกรณ์ของ Ninebot มาจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา
ไม่เพียงแต่ Ninebot ที่ Segway อ้างว่าละเมิดลิขสิทธิ์ของบริษัท แต่ยังมีบริษัทสัญชาติจีน เช่น WindRunner, FreeGo และ Robstep ที่ตกเป็นผู้ต้องหาด้วยเช่นกัน และทาง Ninebot ถึงกับเคยระบุไว้ใน FAQ ขององค์กรถึงความแตกต่างระหว่าง Ninebot กับ Segway ว่า ความแตกต่างของ Ninebot คือการผลิตในจีน ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับแบรนด์ที่นำเข้ามาแล้ว บริษัทสามารถนำเสนออุปกรณ์ที่มีคุณภาพเทียบเท่ากันแต่ราคาถูกกว่าได้ รวมถึงบริษัทก็มีการวิจัยและพัฒนา รวมถึงมีการจดสิทธิบัตรของตนเองด้วยเช่นกัน
สำหรับดีลครั้งนี้ หลังจากถูกควบกิจการไปแล้ว ทั้งสองแบรนด์จะยังคงดำเนินการภายใต้ชื่อของตนเองคือยังมีทั้ง Segway และ Ninebot ซึ่งผู้บริหารของ Ninebot อย่าง Lufeng Gao เผยว่า การควบกิจการจะช่วยสร้างโอกาสในการพัฒนาให้กับอุตสาหกรรมกลุ่มยานพาหนะเพื่อการเคลื่อนที่ในระยะสั้น หรือ Short-distance Transportation อย่างมาก โดยการควบกิจการจะทำให้เกิดการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีได้อีกหลากหลาย เช่น การใช้งานโมบายล์อินเทอร์เน็ต การขับเคลื่อนโดยพลังงานไฟฟ้า หรือแม้แต่ระบบโต้ตอบระหว่างคนกับยานยนต์
สำหรับ Segway นั้น ก่อตั้งโดย Dean Kamen ในปี ค.ศ. 2001 ซึ่งในยุคนั้นมันกลายเป็นพาหนะที่ได้รับการพูดถึงอย่างมาก อย่างไรก็ดี Segway กลับไม่ประสบความสำเร็จในด้านรายได้ และเคยถูกซื้อกิจการมาแล้วในปี ค.ศ. 2010 ก่อนจะถูกขายให้กับ Summit Strategic Investments ในปี ค.ศ. 2013 แต่ไม่มีการเปิดเผยตัวเลขของดีลในแต่ละครั้งแต่อย่างใด
ที่มา : http://manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9580000043644
