BMW 7 Series : ใหม่ทั้งคัน ไฮเทคขึ้นเยอะ

BMW เผยโฉมยอดความหรูรุ่นใหม่ออกมาแล้ว และซีรีส์ 7 ใหม่ที่เตรียมวางขายในปลายปีนี้ จะยังเป็นจุดเริ่มต้นของอะไรใหม่ๆ ของเทคโนโลยียานยนต์ เช่นเดียวกับรหัสตัวถังที่มีการเปลี่ยนมาใช้ตัวอักษร G นำหน้า แทนที่ F ซึ่งเป็นตัวอักษรหลักที่ใช้อย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2008
 

 
ซีรีส์ 7 ใหม่จะเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 6 ของรถยนต์หรูรุ่นนี้นับตั้งแต่ปี 1977 ที่ BMW เผยโฉมรุ่นแรกในรหัส E23 โดยจะเข้ามาทำตลาดแทนที่รุ่นที่ 5 หรือ F01/F02 ซึ่งเปิดตัวเมื่อ 7 ปีที่แล้ว สำหรับรุ่นใหม่จะมากับรหัส G11 ในรุ่นฐานล้อปกติ โดยมีความยาว 3,070 มิลลิเมตร และรหัส G12 สำหรับรุ่นฐานล้อยาว หรือ LWB ที่มีความยาว 3,210 มิลลิเมตร
 
จุดเด่นของซีรีส์ 7 ใหม่คือ การลดน้ำหนักในส่วนของตัวรถลงด้วยการผสมผสานวัสดุที่มีน้ำหนักเบาเข้าด้วยกัน โดยมีการใช้ทั้งเหล็ก อะลูมิเนียม แม็กนีเซียม พลาสติก และคาร์บอนไฟเบอร์ ทำให้ตัวรถลดลงจากเดิมประมาณ 200 กิโลกรัม จนกระทั่ง Klaus Frohlichผู้บริหารระดับสูงของ BMW บอกว่าเป็นรถยนต์ระดับหรูใน Segment นี้ที่มีน้ำหนักเบาที่สุด
 

 
ในแง่ของมิติตัวถัง ตัวรถมากับความยาว 5,098 มิลลิเมตรในรุ่นฐานล้อปกติ กว้าง 1,902 มิลลิเมตร และสูง 1,467 มิลลิเมตร ส่วนรุ่น LWB หรือฐานล้อยาวมากับความยาว 5,238 มิลลิเมตร กว้างเท่ากัน และสูง 1,479 มิลลิเมตร ส่วนงานออกแบบมาพร้อมกับความหรูหรา และความสปอร์ตที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว และสัมผัสกันมาแล้วกับรถยนต์รุ่นเล็กอย่างซีรีส์ 3 และ 4 รวมถึงรถสปอร์ต i8 โดยเฉพาะกระจังหน้าทรงไตคู่ พร้อมไฟหน้าทรงเหลี่ยมยาวที่เรียกว่า Laserlight
 
ในส่วนห้องโดยสารเน้นความเรียบง่ายและคงเอกลักษณ์ตามแบบฉบับของ BMW พร้อมกับเสริมความล้ำสมัยเข้าไป โดยเฉพาะหน้าจอแสดงผลต่างๆ ซึ่งจะทำงานร่วมกับระบบ Infotainment อย่าง iDrive ที่พัฒนามาเป็นเวอร์ชัน 5.0 มีระบบชาร์จแบบไร้สายสำหรัลโทรศัพท์มือถือ และ Ambient Air package เป็นออพชั่นที่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม 
 

 

 

 
นอกจากนั้นยังถือเป็นครั้งแรกของโลกที่มีการเปิดตัว Remote Control Parking ซึ่งสามารถสั่งการให้รถเดินหน้าหรือถอยหลังออกจากที่จอดรถ หรือโรงรถเป็นระยะทางสั้นๆ โดยที่ตัวเองไม่ต้องอยู่ในรถ เพียงแต่ใช้รีโมทคอนโทรลควบคุมรถให้เดินหน้าหรือถอยหลังมาหายังจุดที่ยืนอยู่ได้
 
ทางเลือกของขุมพลังในการขับเคลื่อนมีการแบ่งออกเป็น 2 โซนในตอนนี้ สำหรับตลาดอเมริกาเหนือ จะมากับรุ่น 750i xDrive ใช้ขุมพลังวี8 4,400 ซีซี เทอร์โบคู่ 445 แรงม้าเป็นขุมพลัง และรุ่น 740i ที่ใช้เครื่องยนต์ 6 สูบเรียงเบนซิน 3,000 ซีซี เทอร์โบคู่ 320 แรงม้า ทั้ง 2 รุ่นส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ
 

 
สำหรับตลาดยุโรปจะมากับรุ่น 740i และ 740iL ที่ใช้เครื่องยนต์แบบเดียวกัน แต่กำลังขยับขึ้นมาเป็น 326 แรงม้า เช่นเดียวกับรุ่น 750i ที่ใช้ขุมพลังวี8 เทอร์โบ แต่กำลังขยับขึ้นมาเป็น 450 แรงม้า และเสริมด้วยรุ่น 730d และ 730dL เครื่องยนต์เทอร์โบดีเซล 6 สูบ 3,000 ซีซี 265 แรงม้า
 
นอกจากนั้นยังมีอีกทางเลือกของการขับเคลื่อนในแบบ Plug-in Hybrid ในรุ่น 740e xDrive ใช้เครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบ 2,000 ซีซี เทอร์โบเป็นขุมพลังหลัก พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ โดยตัวมอเตอร์ไฟฟ้าสามารถแล่นใน EV Mode เมื่อกระแสไฟฟ้าเต็มแบตเตอรี่ รวมระยะทาง 23 ไมล์ หรือ 37 กิโลเมตร ที่ความเร็วสูงสุดถึง 121 กิโลเมตร/ชั่วโมง
 

 
ส่วนช่วงล่างจะมากับระบบ Air Suspension พร้อมโหมด Dynamic Damper Control ที่สามารถปรับ ทั้งความหนืดเพื่อความนุ่มนวล และความกระด้างได้ โดยจะมีระบบเลี้ยว 4 ล้อ หรือ Integral Active Steering หรือ X Steer ติดตั้งมาให้ด้วย
 
ซีรีส์ 7 ใหม่จะขายในยุโรปช่วงเดือนตุลาคมนี้ กับราคาเริ่มต้นประมาณ 81,300 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 2.68 ล้านบาท โดยในช่วงแรกจะมีขายเฉพาะเครื่องยนต์เบนซิน และเทอร์โบดีเซล ส่วนรุ่น Plug-in Hybrid จะมาในช่วงต้นปี 2016