รวมพลังต้าน Apple Watch

สัปดาห์นี้คือช่วงเวลาทองที่ถือว่าตลาดสมาร์ทวอตช์ หรือนาฬิกาอัจฉริยะมีความเคลื่อนไหวโดดเด่น แถมเป็นการเคลื่อนไหวที่แสดงว่าค่ายไอทีกำลังพยายามขวางไม่ให้เจ้าพ่ออย่าง แอปเปิล (Apple) มีอิทธิพลจนเกินไป เนื่องจากสถิติล่าสุดชี้ชัดถึงแนวโน้มเม็ดเงินที่กำลังไหลเข้าปากแอปเปิลต่อเนื่อง บนส่วนแบ่งการตลาดที่ขยายตัวขึ้นทุกที
 
ความเคลื่อนไหวนี้ ได้แก่ ซัมซุง (Samsung) ที่เปิดตัว 2 สมาร์ทวอตช์รุ่นใหม่บนจุดขายเรื่องแบตเตอรี่ใช้งานต่อเนื่องนานกว่าสินค้าของแอปเปิล และกูเกิล (Google) ที่ประกาศว่าสมาร์ทวอตช์ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์แวร์ (Android Wear) ทุกรุ่นในอนาคต จะสามารถทำงานกับไอโฟน (iPhone) ของแอปเปิลได้แล้ว
 
ทั้งหมดนี้ถือเป็นการเปิดตัวที่มีจุดหมายในทางเดียวกัน นั่นคือ การเพิ่มทางเลือกให้ชาวไอทีที่ต้องการติดตามข้อมูลข่าวสารบนข้อมือได้มีโอกาสตัดสินใจซื้อสมาร์ทวอตช์รุ่นอื่นที่ไม่ใช่ “แอปเปิล วอตช์ (Apple Watch)”
 
ความพยายามครั้งที่ 7 ของซัมซุง
 
1 ปีที่ผ่านมา ซัมซุงโยนสมาร์ทวอตช์ 6 รุ่นไปชิมลางตลาดตั้งแต่กันยายน 2013 แต่ทุกอย่างเงียบสงบ และไม่ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมในตลาดสมาร์ทวอตช์เลย
 
การสำรวจล่าสุดจากไอดีซี (IDC) พบว่า แอปเปิลคือผู้ผลิตอุปกรณ์ไอทีสวมใส่ได้ หรือ wearable device รายใหญ่อันดับ 2 ของโลกในช่วงไตรมาสเมษายน-มิถุนายนที่ผ่านมา ครองส่วนแบ่งมากกว่า 20% ตามหลังเจ้าตลาดอย่างฟิตบิต (Fitbit) ซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดอุปกรณ์ติดตามสถิติสุขภาพรวม 24% ขณะที่ซัมซุง ครองอันดับ 5 ด้วยสัดส่วนตลาด 3.3%
 
เรียกว่าแอปเปิลนั้นครองอันดับ 2 ของตลาดทั้งที่เพิ่งวางจำหน่ายแอปเปิล วอตช์ ได้ไม่นาน สิ่งที่ซัมซุงทำในความพยายามครั้งที่ 7 คือ การการันตีแบตเตอรี่ใช้งานต่อเนื่อง 3 วันของสมาร์ทวอตช์หน้าปัดกลมรุ่นใหม่ “เกียร์ เอสทู (Gear S2)” ซึ่งเหนือกว่าแอปเปิล วอตช์ ที่ใช้แบตเตอรี่ต่อเนื่องได้เพียง 18 ชั่วโมง
 
นาฬิกาอัจฉริยะรุ่นใหม่ในตระกูลเกียร์ของซัมซุงนั้นเคยถูกโชว์ตัวเรียกน้ำย่อยเมื่อช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ล่าสุด ซัมซุงแถลงข่าวเปิดตัวนาฬิกาสมาร์ทวอตช์รุ่นใหม่อย่างเป็นทางการใน ชื่อเกียร์ เอสทู และเกียร์ เอสทู คลาสสิก (Gear S2 Classic) ทั้ง 2 รุ่นใช้หน้าปัดวงกลมขนาด 1.2 นิ้ว หรือ 3 ซม.
 
เบื้องต้น ซัมซุงการันตีแบตเตอรี่ใช้งานต่อเนื่อง 2-3 วัน รองรับระบบชำระเงินผ่านชิปไร้สายระยะใกล้ NFC รวมถึงระบบติดตามเก็บสถิติสุขภาพส่วนตัว โดยเกียร์ เอสทู มีจุดเด่นเรื่องการมาพร้อมช่องเสียบซิมการ์ด คุณสมบัตินี้ทำให้เกียร์ เอสทู รองรับการเชื่อมต่อ 3G สามารถรับและส่งข้อความด้วยตัวเอง รวมถึงการต่อสายโทรศัพท์โดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องพกพาสมาร์ทโฟนไว้ตลอดเวลา
 
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีข้อมูลว่าแอปพลิเคชันที่พร้อมใช้งานบนนาฬิกาของซัมซุงนั้นจะมีจำนวน มากน้อยเท่าใด โดยข้อมูลจำนวนแอปพลิเคชันที่รองรับนี้ถือเป็นเรื่องท้าทายที่ซัมซุงต้องเผชิญ เนื่องจากคู่แข่งอย่างแอปเปิลนั้นมีจุดขายที่เหนือกว่าซัมซุงเพราะข้อมูลนี้
 
ในช่วงที่แอปเปิล วอตช์ ถูกเปิดตัวเมื่อเมษายนที่ผ่านมา แอปพลิเคชันที่รองรับสมาร์ทวอตช์ของซัมซุงนั้นมีจำนวนเพียง 3,000 แอปพลิเคชัน แต่แอปเปิล การันตีจำนวนแอปพลิเคชันช่วงเปิดตัวไว้ที่ 3,500 แอป ตัวเลขนี้พุ่งเป็น 8,500 แอปในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา แซงหน้าแอนดรอยด์แวร์ที่มีจำนวนแอปพลิเคชันที่รองรับเพียง 4,000 แอป
 
นอกจากนี้ ซัมซุงยังตัดสินใจใช้ระบบปฏิบัติการของตัวเองอย่างทิเซน (Tizen) ในเกียร์ เอสทู ซึ่งแปลว่า นักพัฒนาจะต้องลงมือปรับแต่งแอปพลิเคชันเป็นพิเศษให้สามารถทำงานบนสมาร์ทโฟนของซัมซุงได้ ถือเป็นอีกงานที่เพิ่มขึ้นซึ่งทำให้นักพัฒนาต้องตัดสินใจว่าจะคุ้มค่าต่อการลงแรงหรือไม่
 

 
กูเกิลชวนชาวไอโฟนใช้ Android Wear
 
ในขณะที่โลกกำลังสนใจกับสมาร์ทวอตช์รุ่นใหม่ของซัมซุง กูเกิลก็เรียกเสียงฮือฮาจากชาวโลกด้วยการประกาศผ่านโซเชียลมีเดียว่า สมาร์ทวอตช์ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์แวร์ทุกรุ่นในอนาคตจะสามารถทำงานกับไอโฟนของแอปเปิลได้แล้ว โดยสมาร์ทวอตช์ของแอลจีคือรุ่นแรกที่สามารถทำงานข้ามค่ายได้
 
ขณะนี้การรองรับระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS) ของแอนดรอยด์แวร์จะยังจำกัดเฉพาะสมาร์ทวอตช์แอลจีรุ่น “แอลจี วอตช์ เออร์บาร์น (LG Watch Urbane)” เท่านั้น โดยจะสามารถเชื่อมต่อหรือ pair อุปกรณ์เข้ากับไอโฟน 5 ขึ้นไป (iPhone 5, 5c, 5s, 6 หรือ 6 Plus) ที่ใช้ระบบปฏิบัติการไอโอเอสเวอร์ชัน 8.2 ขึ้นไป ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้สมาร์ทวอตช์แอนดรอยด์แวร์ของแอลจีสามารถโทร.ออก หรือรับสาย รวมถึงการรับส่งข้อความ และการรับแจ้งเตือนอื่นๆ จากแอปพลิเคชันในไอโฟนได้
 
ไม่เพียงสมาร์ทวอตช์ของแอลจี กูเกิลใช้คำว่านาฬิกาแอนดรอยด์แวร์ทุกรุ่นในอนาคตจะสามารถทำงานกับไอโอเอส ได้ เท่ากับสมาร์ทวอตช์จากค่ายหัวเว่ย (Huawei), อัสซุส (Asus) และโมโตโรลา (Motorola) ก็จะล้วนรองรับไอโอเอสได้เช่นกัน
 
การเปิดเสรีนี้คาดว่าจะทำให้ตลาดสมาร์ทวอตช์คึกคักสุดขีด เนื่องจากที่ผ่านมา การติดตามข้อมูลสถิติสุขภาพ หรือการแจ้งเตือนกำหนดการตารางงานนัดหมายที่ถูกบันทึกในไอโฟน จะสามารถทำได้จากสมาร์ทวอตช์ของแอปเปิลเท่านั้น นี่จึงถือเป็นครั้งแรกที่อุปกรณ์สวมใส่ได้ค่ายแอนดรอยด์จะสามารถทำงานข้ามแพลตฟอร์มได้อย่างจริงจัง
 
การส่งสัญญาณนี้ถือเป็นการเพิ่มทางเลือกให้ผู้ใช้ไอโฟนทั่วโลกสามารถติดตามข้อมูลบนข้อมือได้ โดยไม่ต้องยึดติดกับอุปกรณ์ของแอปเปิล ขณะที่ตลาดของแอนดรอยด์แวร์ก็จะกว้างขึ้นด้วย เพราะที่ผ่านมา อุปกรณ์แอนดรอยด์แวร์สามารถทำงานกับอุปกรณ์แอนดรอยด์เท่านั้น
 
ใครดีใครได้
 
ไม่เพียงซัมซุง และกูเกิล แต่ผู้ผลิตมากมายต่างกำลังลงแรงเพื่อต้านอิทธิพลของแอปเปิลในตลาดนาฬิกาอัจฉริยะอย่างจริงจัง โดยการสำรวจล่าสุดจากบริษัทวิจัยไอดีซี (International Data Corporation) ตอกย้ำว่า แอปเปิลกำลังสยายปีกคลุมตลาดสินค้าไอทีสวมใส่ได้อย่างชัดเจน
 
แม้แอปเปิลจะยังไม่เปิดเผยตัวเลขยอดขายสมาร์ทวอตช์ของตัวเองในขณะนี้ แต่ไอดีซีประเมินว่า แอปเปิลจัดส่งแอปเปิล วอตช์ ไปแล้วมากกว่า 3.6 ล้านเรือน ทำให้แอปเปิลกลายเป็นผู้ผลิตอันดับ 2 ในตลาดรองจากฟิตบิต ซึ่งจัดส่งสินค้าราว 4.4 ล้านชิ้นในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้
 
จำนวนยอดขายสินค้ากลุ่มอุปกรณ์ไอทีสวมใส่ได้ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2015 คือ 18.1 ล้านชิ้น คิดเป็นสัดส่วนเพิ่มขึ้น 223% เมื่อเทียบกับ 5.6 ล้านชิ้นในไตรมาสเดียวกันของปี 2014 ที่ผ่านมา จุดนี้ผู้บริหารของไอดีซีอธิบายว่า การเติบโตก้าวกระโดดเช่นนี้เป็นผลจากการก้าวเข้าสู่ตลาดของแอปเปิลอย่างไม่ต้องสงสัย
 
ตัวเลขยอดจำหน่ายสมาร์ทวอตช์ของแอปเปิลยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่โลกกำลังนับถอยหลังสู่การเปิดตัวสินค้าใหม่ของแอปเปิล ในวันที่ 9 กันยายนนี้ ซึ่งนักวิเคราะห์เชื่อว่า จะเป็นสินค้าที่ส่งให้ระบบผู้ช่วยส่วนตัวดิจิตอล อย่าง “สิริ (Siri)” สามารถทำงานได้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
 
ความเชื่อของนักวิเคราะห์เรื่องการลับคมให้บริการสิรินั้นเกิดขึ้นเพราะในบัตรเชิญสื่อมวลชนเข้าร่วมงานเปิดตัววันที่ 9 ของแอปเปิลนั้นมีข้อความ “Hey Siri, give us a hint.” อยู่ใต้สัญลักษณ์แอปเปิลด้วย ทั้งหมดนี้สะท้อนความมั่นใจของแอปเปิลว่า บริการอย่างสิรินี้เองที่จะทำให้สินค้าของแอปเปิลมีพลังดึงดูดผู้ใช้ยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา
 
เบื้องต้น ไอดีซีประเมินว่าสินค้ากลุ่ม smart-devices sector หรือสินค้าใดๆ ที่มีคำว่าอัจฉริยะตามหลังนั้นจะมียอดขายมากกว่า 89 ล้านชิ้นในอีก 4 ปีข้างหน้า (2019) จากปีนี้ที่คาดว่าจะมีสถิติราว 33 ล้านชิ้น แซงหน้าสินค้ากลุ่มที่สามารถสวมใส่ได้ หรือ basic wearable ที่คาดว่าจะมียอดขาย 66 ล้านชิ้นในปี 2019 จาก 39 ล้านชิ้นในปีนี้