แอปเปิล (Apple) เจ้าพ่อไอทีอเมริกันเปิดตัวอุปกรณ์เชื่อมต่อทีวี “แอปเปิลทีวี (Apple TV)” รุ่นใหม่ล่าสุด ที่มาพร้อมร้านจำหน่ายแอปพลิเคชัน และรีโมตคอนโทรล์ที่สามารถใช้เสียงควบคุมการทำงานได้ ด้านไอแพดรุ่นใหม่ถูกจัดเต็มหน้าจอยักษ์เพื่อตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มธุรกิจ ขณะที่ไอโฟนใหม่ “iPhone 6S” ถูกอัปเกรดคุณสมบัติในเครื่องให้ดีขึ้น ทั้งหมดนี้นักลงทุน “เฉยๆ” เพราะมูลค่าหุ้นแอปเปิลลดลงเล็กน้อยระหว่างงานแถลงข่าว แม้นักวิเคราะห์จะมั่นใจว่าสินค้าใหม่แอปเปิลอาจขายดีเหมือนเคย
ทิม คุก (Tim Cook) ซีอีโอแอปเปิลระบุบนเวทีว่า Apple TV รุ่นใหม่จะวางจำหน่ายในราคาเริ่มต้น 149 เหรียญสหรัฐ (ราว 4,800 บาท) ความพิเศษของ Apple TV รุ่นใหม่คือ การเป็นทีวีแห่งอนาคตที่จะสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้เฉพาะคนได้ ถือเป็นการต่อยอดสินค้ากลุ่มที่แอปเปิลเรียกว่าเป็น “งานอดิเรก” ครั้งล่าสุด
การเปิดตัว Apple TV เกิดขึ้นหลังจากซีอีโอแอปเปิลโชว์ตัว iPad รุ่นใหม่ที่มาพร้อมหน้าจอใหญ่สำหรับเอาใจกลุ่มองค์กรธุรกิจ ผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะซื้อพร้อมปากกาสไตล์ลัสที่แอปเปิลเรียกว่าดินสอ หรือ “เพนซิล (Pencil)” และคีย์บอร์ด โดยนอกจาก iPad ซีอีโอแอปเปิลยังประกาศเพิ่มความสามารถใน iPhone รุ่นใหม่ที่มีคุณสมบัติพิเศษอย่าง “ทรีดีทัช (3D touch)” และการอัปเกรดส่วนประกอบในเครื่องที่ดียิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม มูลค่าหุ้นแอปเปิลลดลง 1% ระหว่างการแถลงข่าว สะท้อนว่า นักลงทุนมองสินค้าใหม่ที่แอปเปิลเปิดตัวอย่างไม่หวือหวานัก โดยหุ้นแอปเปิลคงที่ที่ 111.18 เหรียญสหรัฐในช่วงเวลาหนึ่ง
ภาวะหุ้นของแอปเปิลที่ลดลงนั้นถูกวิเคราะห์ว่าเกิดจากความคาดหวังไว้สูงของทุกคน อย่างไรก็ตาม แอปเปิลได้รับกระแสบวกจากชาวออนไลน์ถึงการออกแบบให้ Apple TV มีรูปแบบการใช้งานที่ง่ายขึ้น เช่น ผู้ใช้สามารถเอ่ยปากเพื่อให้ระบบทดลองเล่นวิดีโอสั้น 15 วินาทีแบบทันใจ หรือการเปิดคำบรรยายใต้วิดีโอโดยไม่ต้องกดรีโมตให้ยุ่งยาก เพียงแค่เอ่ยถามว่า “What did she say”? เมื่อฟังคำพูดจากตัวละครในวิดีโอไม่ทัน
“Apple TV” รุ่นใหม่จัดเต็มแอป
ซีอีโอแอปเปิลแสดงความเชื่อมั่นบนเวทีว่า แอปพลิเคชันคืออนาคตของโทรทัศน์ ดังนั้น แอปเปิลจึงเปิดตัวอุปกรณ์เชื่อมต่อทีวีรุ่นใหม่พร้อมกับร้านจำหน่ายแอปพลิเคชัน ซึ่งจะเปิดทางให้ชาวดิจิตอลใช้งานแอปพลิเคชันบนทีวีได้ง่ายยิ่งขึ้น
Apple TV จะใช้ระบบปฏิบัติการใหม่ที่แอปเปิลเรียกว่า “ทีวีโอเอส (tv OS)” ผู้ใช้สามารถเล่นเกมหรือใช้งานแอปพลิเคชันใดๆ ได้สะดวกเหมือนการใช้งานบนไอโฟน โดยจะรองรับบริการเพลงอย่าง “แอปเปิล มิวสิก (Apple Music)” ด้วย
นักวิเคราะห์มองว่า Apple TV รุ่นใหม่จะทำให้วงการพัฒนาแอปพลิเคชันคึกคักอีกครั้ง เนื่องจากการรองรับร้านแอปสโตร์จะทำให้นักพัฒนาพร้อมใจสร้างซอฟต์แวร์แอปพลิเคชันสำหรับใช้งานบนทีวี รวมถึงวิดีโอเกม
ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์ยังเชื่อว่า Apple TV มีตลาดรออยู่แล้ว เนื่องจากปัจจุบันผู้ใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงมากกว่า 20% ในสหรัฐฯ ล้วนเป็นเจ้าของเครื่องเล่นวิดีโอออนไลน์ ดังนั้น แอปเปิลจึงยังมีตลาดเหลืออีกมาก และมีโอกาสไล่ตามเจ้าตลาดในสหรัฐฯ อย่าง “Roku” ที่ครองส่วนแบ่งอันดับ 1 ในตลาดด้วยส่วนแบ่ง 34% (ข้อมูลปี 2014) ขณะที่กูเกิลโครมคาสต์ (Google Chromecast) ครองอันดับ 2 และอเมซอนไฟร์ทีวี (Amazon Fire TV) นั่งอันดับ 3 นำหน้า Apple TV ที่รั้งตำแหน่งอันดับ 4 ในตลาด
สำหรับ Apple TV รุ่นใหม่มาพร้อมหน่วยประมวลผล 64 บิตอย่างชิป A8 ตัวเครื่องมาพร้อมกับรีโมตคอนโทรลที่รองรับระบบสิริ (Siri) ทำให้ผู้ใช้สามารถเอ่ยปากสั่งการอุปกรณ์ด้วยเสียงได้ จุดนี้แอปเปิลเปิดเผยว่ารีโมตจะเชื่อมต่อกับ Apple TV ผ่านระบบบลูทูธ (Bluetooth)
การสั่ง Apple TV ด้วย Siri จะทำให้ผู้ใช้สามารถค้นหาวิดีโอ แอปพลิเคชัน เกม และเพลงบนบริการอย่างไอจูนส์ (iTunes) รวมถึงบริการวิดีโอออนไลน์ของสหรัฐฯ อย่างเน็ตฟลิกซ์ (Netflix), สถานีโทรทัศน์เอชบีโอ (HBO) และโชว์ไทม์ (Showtime) ได้ง่าย จุดนี้ผู้บริหารแอปเปิลระบุว่า จะเพิ่มจำนวนพันธมิตรเพื่อรองรับการทำงานของ Apple TV ยิ่งขึ้นในอนาคต
Apple TV มีกำหนดการพร้อมวางจำหน่ายเดือนตุลาคมนี้ สนนราคา 149 เหรียญนั้นสำหรับรุ่นความจุภายใน 32GB โดยรุ่นความจุ 64GB ราคา 199 เหรียญหรือประมาณ 6,400 บาท
นอกจาก Apple TV สมาร์ทโฟนฮิตกลุ่ม iPhone ก็ถูกเปิดตัวน้องใหม่เพื่อทำตลาดในปีนี้เช่นกัน โดย iPhone 6s และ iPhone 6s Plus ถูกนำมาแต่งตัวให้มีกล้องละเอียดยิ่งขึ้น 12 ล้านพิกเซล จากเดิมที่มี 8 ล้านพิกเซลใน iPhone 6 และ iPhone 6 Plus รุ่นปัจจุบัน
ไม่เพียงกล้องหลัง กล้องหน้าของ iPhone 6s และ iPhone 6s Plus ก็ถูกปรับเพิ่มจาก 1.2 ล้านพิกเซล มาเป็น 5 ล้านพิกเซล เพื่อเอาใจผู้รักการถ่ายภาพตัวเอง
กล้องใน iPhone 6s และ iPhone 6s Plus ยังถูกวางจุดขายไว้คู่กับหน้าจอใหม่ โดยผู้บริหารแอปเปิลระบุว่า หน้าจอเทคโนโลยีเรตินาจะสามารถทำหน้าที่เป็นแฟลชในตัวโดยไม่ทำให้ภาพเซลฟี่มีแสงมากเกินไป โดยหน้าจอเรตินาจะช่วยให้บริเวณนั้นมีความสว่างมากขึ้นประมาณ 3 เท่า
นอกจากนี้ กล้องใน iPhone 6s และ iPhone 6s Plus ยังรองรับการถ่ายภาพวิดีโอความละเอียดสูง 4K ซึ่งเป้นคุณสมบัติที่มีอยู่ในสมาร์ทโฟนของคู่แข่งอย่างซัมซุง (Samsung) จุดนี้ผู้บริหารแอปเปิลระบุว่า ผู้ใช้จะได้รับภาพวิดีโอที่มีรายละเอียดในภาพมากขึ้น ความละเอียดภาพวิดีโอที่ได้จะอยู่ที่ 8 ล้านพิกเซลต่อเฟรม
iPhone 6s และ iPhone 6s Plus ยังรองรับคุณสมบัติใหม่ที่เรียกว่า “ทรีดี ทัช (3D Touch)” ซึ่งทำให้ไอโฟนสามารถแสดงผลที่ต่างไปตามแรงกดของนิ้วผู้ใช้ที่สัมผัสหน้าจอ
3D Touch เป็นเทคโนโลยีที่ต่อยอดจากเทคโนโลยี “ฟอร์ซ ทัช (Force Touch)” ที่ถูกประเดิมในนาฬิกา “แอปเปิล วอตช์ (Apple Watch)” ด้วย 3D Touch ผู้ใช้จะสามารถใช้งานฟีเจอร์ใหม่ของ iPhone อย่าง “ไลฟ์ โฟโตส์ (Live Photos)” ซึ่งมีลูกเล่นที่การเก็บภาพบรรยากาศก่อนและหลังการกดถ่ายภาพ 1.5 วินาที ทำให้ได้ชุดภาพที่มีสีสันอินเทอร์แอ็กติงอย่างน่าสนใจ
เบื้องต้น นักวิเคราะห์มองว่าเทคโนโลยี 3D Touch ใน iPhone ใหม่นั้นมีพลังพอที่จะทำให้ผู้ใช้ลุกขึ้นมาเปลี่ยนสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ 3D Touch ช่วยให้การใช้งานสมาร์ทโฟนทำได้ง่าย และสะดวกขึ้น จุดนี้เชื่อว่าผู้ใช้จะได้รับประโยชน์จาก 3D Touch บนไอโฟนมากกว่าการใช้งานบน Apple Watch
iPhone 6s และ iPhone 6s Plus จะมาพร้อระบบปฏิบัติการ iOS 9 เวอร์ชันล่าสุด สนนราคาแบบผูกสัญญา 2 ปีคือ 199 และ 299 เหรียญสหรัฐตามลำดับ พร้อมวางจำหน่ายจริง 25 กันยายนนี้ กำหนดการสั่งจองหรือ pre-order เริ่มที่ 12 กันยายน
สำหรับ iOS 9 จะพร้อมเปิดให้ผู้ใช้ไอโฟนรุ่นปัจจุบันดาวน์โหลดได้ฟรีวันที่ 16 กันยายนนี้
“iPad Pro” หน้าจอใหญ่เพื่อมืออาชีพ
บนเวทีนี้ แอปเปิลเปิดตัว “ไอแพด โปร (iPad Pro)” แท็บเล็ตตัวล่าสุดที่มาพร้อมหน้าจอกว้าง 12.9 นิ้ว แถมด้วยเพื่อนคู่ใจอย่างคีย์บอร์ด และปากกาสไตลัส “Apple Pencil” ที่ว่ากันว่าเป็นอาวุธลับของแอปเปิลในนาทีนี้เลยทีเดียว
iPad Pro ถูกการันตีว่าจะเป็นอุปกรณ์ในฝันสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการทำงานบนแท็บเล็ต หรือผู้ที่ต้องการใช้งานแท็บเล็ตทุกวัน ฟีเจอร์ที่น่าสนใจของ iPad Pro คือ การทำงานแบบมัลติทาสก์กิ้งที่รองรับการแบ่งหน้าจอ ทำให้ผู้ใช้สามารถรัน 2 แอปได้ในเวลาเดียวกัน
ชัดเจนว่าแอปเปิลวางจุดยืนของ iPad Pro เอาไว้สำหรับการทำงานระดับมืออาชีพ หรืองานที่เหมาะต่อองค์กรระดับเอนเตอร์ไพรส์ เนื่องจากบนเวทีมีการสาธิตการใช้งานไมโครซอฟท์ออฟฟิศ หรือ Adobe Photoshop FX ไม่ใช่การใช้งานในชีวิตประจำวันแบบที่เคยใช้ในการนำเสนอ iPad รุ่นก่อนๆ แต่อย่างใด จุดนี้สะท้อนว่า iPad Pro อาจกลายเป็นคู่แข่งตัวฉกาจของ Surface 3 และแท็บเล็ตจากค่ายไมโครซอฟท์ เนื่องจากมีคุณสมบัติใกล้เคียงกันในหลายด้าน
iPad Pro ทำงานบนระบบปฏิบัติการ iOS มาพร้อมกล้องหน้าและกล้องหลัง ลำโพง 4 ตัว (ที่ด้านหัว และด้านท้ายของตัวเครื่อง) ความละเอียดหน้าจอ 2,732 x 2,048 พิกเซล ภายในใช้ชิป 64 บิต A9X เมมโมรี 2 GB แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนาน 10 ชั่วโมง ตัวเครื่องหนา 6.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 1.57 ปอนด์
iPad Pro ยังสามารถทำงานร่วมกับ Apple Pencil ปากกาสไตลัสทรงดินสอที่ถูกออกแบบให้รองรับแรงสัมผัสที่หลากหลาย จนสามารถแสดงผลการเขียนได้เหมือนกับดินสอ Pencil สามารถชาร์จได้โดยตรงผ่าน iPad Pro
การวางจำหน่าย iPad Pro จะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยรุ่น 32GB ราคาจะอยู่ที่ 799 เหรียญสหรัฐ รุ่น 64 GB อยู่ที่ 949 เหรียญสหรัฐ และ 128 GB อยู่ที่ 1,079 เหรียญสหรัฐ ส่วนคีย์บอร์ดนั้นราคาขายอยู่ที่ 169 เหรียญสหรัฐ ปากกาสไตลัส ราคา 99 เหรียญสหรัฐ
ไม่โดนแต่ขายดี?
ไม่ว่ากระแสวิจารณ์สินค้าใหม่ของแอปเปิลจะเป็นอย่างไร แต่นักวิเคราะห์ฟันธงแล้วว่า สินค้าของแอปเปิลจะได้รับการตอบรับอย่างดีจากตลาด โดยการสำรวจล่าสุดจากสำนักวิจัยไอดีซี (IDC) พบว่า ยอดจำหน่าย iPhone ปีนี้จะเติบโตมากกว่า 16% ขณะที่คู่แข่งอย่างสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์นั้นอาจมีอัตราเติบโตเพียง 10% เท่านั้น
สำหรับสินค้าใหม่อย่างกลุ่มนาฬิกานั้นยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลยอดจำหน่ายที่แน่ชัด โดยซีอีโอแอปเปิลระบุบนเวทีเพียงว่า Apple Watch เป็นสินค้าที่ได้รับคะแนนความพึงพอใจจากลูกค้ามากกว่า 97% จุดนี้ทำให้บริษัทเชื่อมั่นใน Apple Watch ว่าจะสามารถเป็นสินค้าที่แพร่หลายในวงกว้างไม่แพ้กัน โดยเฉพาะล่าสุดที่แอปเปิลร่วมมือกับแบรนด์หรูเมืองน้ำหอม “แอร์แมส (Hermes)” พัฒนาอุปกรณ์เสริมอย่างสายคาดนาฬิกาหนังแท้ ขณะที่แอปพลิเคชันฮิตอย่างเฟซบุ๊กแมสเสนเจอร์ (Facebook Messenger) ก็กำลังเตรียมพร้อมให้บริการบนนาฬิกาเช่นกัน
ที่มา: http://manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9580000102901