ห่างหายไปจากการทำตลาดเครื่องดื่มไม่อัดลมนานพอสมควรสำหรับ “โคคา โคลา” แต่ในปีนี้ที่คู่แข่งจากค่าย “ไทยดริ้งค์” ในเครือไทยเบเวอเรจ ได้ชิงออกแบรนด์ใหม่ “100 พลัส” ไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ที่วางโพซิชั่นเป็นน้ำอัดลมผสมเกลือแร่ มาพร้อมกับพรีเซ็นเตอร์ตัวท็อปของวงการเพลงอย่างตูน บอดี้สแลม และอื่นๆ งานนี้โค้กจึงต้องแอคทีฟมากขึ้นบ้างแล้ว
จึงได้จังหวะที่โค้กปั้นแบรนด์ “อควาเรียส (Aquarius)” สู้ศึกในตลาดบ้าง เป็นการวางเซ็กเมนต์ใหม่ “เครื่องดื่มเติมความสดชื่น (Enhanced Hydration)” มีส่วนผสมของน้ำเกลือแร่ และน้ำผลไม้ โดยได้ทำการปรับสูตรให้เข้ากับเมืองไทยด้วยการเพิ่ม “น้ำมะพร้าว” เข้าไป เพราะตอนนี้กำลังเป็นที่นิยม และน้ำมะพร้าวมีเกลือแร่ธรรมชาติค่อนข้างสูง
อควาเรียสเป็น 1 ในอีก 500 แบรนด์ลูกภายใต้อณาจักรของโคคา โคลา มีจุดเริ่มต้นในปี 1983 ที่ประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันมีจำหน่ายมากกว่า 26 ประเทศทั่วโลก เช่น สเปน, ญี่ปุ่น, อาร์เจนตินา, จีน, อินโดนีเซีย และเกาหลี เป็นต้น
โดยในการทำตลาดในไทยภายใต้งบลงทุน 300 ล้านบาท โค้กพยายามฉีกตลาด หรือไม่ทำการสื่อสารว่าเป็นเครื่องดื่มเกลือแร่โดยตรง เพราะต้องการฉีกจากคู่แข่ง และต้องการให้ผู้บริโภครู้สึกว่าสามารถดื่มได้ตลอดทั้งวัน จากปกติที่เครื่องดื่มเกลือแร่จะดื่มได้เฉพาะตอนเล่นกีฬา หรือทำกิจกรรมเสียเหงื่อเท่านั้น
การสื่อสารที่ว่าเป็นเครื่องดื่มเติมความสดชื่น เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์แอคทีฟ ผู้บริโภคจึงสามารถดื่มได้ทั้งวัน ทั้งตอนทำงาน เดินทาง เล่นกีฬา หรือช้อปปิ้ง อยู่ตรงกลางระหว่าง “น้ำดื่ม” และ “สปอร์ตดริ้งค์” หรือเครื่องดื่มเกลือแร่ ให้ความสดชื่น หรือมีรสชาติมากกว่าน้ำดื่มธรรมดา แต่มีเกลือแร่เบาๆ กว่าเครื่องดื่มเกลือแร่
แอนโตนิโอ เดล โรซาริโอ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “เรามองเห็นโอกาสการเติบโตของตลาดใหม่นี้ในประเทศไทย ซึ่งเป็นช่องว่างระหว่างน้ำเปล่ากับสปอร์ต ดริ้งค์ เพราะสภาพอากาศร้อนอบอ้าวของประเทศไทยที่มีเกือบตลอดทั้งปี ประกอบกับผู้คนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตนอกบ้าน ทำกิจกรรมเร่งรีบและแอคทีฟตลอด จึงสื่อสารว่าอควาเรียสสามารถดื่มได้ทุกโอกาสต่างจากสปอร์ตดริ้งค์ที่มีข้อจำกัดในการดื่ม”
มีวางจำหน่ายใน 2 ราคาด้วยกัน คือ ขวด PET ราคา 13 บาท จำหน่ายตามร้านโชห่วย และขวด PET ราคา 16 บาท จำหน่ายตามร้านสะดวกซื้อ และโมเดิร์นเทรด เป็นการปรับราคาให้เข้าถึงผู้บริโภคได้ทั้ง 2 กลุ่ม โดยที่ตั้งเป้ารายได้จากโมเดิร์นเทรด 50% และเทรดดิชั่นนอลเทรด 50%