เป็นเวลา 4 ปีมาแล้วที่แบรนด์ “โทฟุซัง” ได้แจ้งเกิดในตลาดในฐานะนมถั่วเหลืองระดับพรีเมี่ยม หรือจะเรียกว่าน้ำเต้าหูก็ไม่ผิด เพราะคอนเซ็ปต์ที่แท้จริงของโทฟุซังก็คือ การยกร้านน้ำเต้าหู้ที่อยู่ข้างถนน ขึ้นขายบนห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ เพื่ออุดช่องว่างในตลาดให้สามารถดื่มได้สะดวกยิ่งขึ้น
แบรนด์โทฟุซังเกิดมาจากการที่ “สุรนาม พานิชการ” ผู้ริเริ่มสร้างแบรนด์นี้ เป็นคนที่ชอบดื่มน้ำเต้าหู้อยู่แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นร้านแบบรถเข็นข้างทางแบบสตรีทฟู้ด และต้องกังวลเรื่องความสะอาด รสชาติ
ประกอบกับในตอนนั้นเองจึงมองเห็นโอกาสทางการตลาดที่ว่ายังไม่มีแบรนด์ใหญ่ที่เล่นในตลาดนี้อย่างชัดเจนมากนัก มีเพียง 3 แบรนด์ในตลาด ได้แก่ Ohayo, Shinpo และ Fong Fong ซึ่งแบรนด์เหล่านี้ค่อนข้างหาทานยาก มีวางจำหน่ายแค่ในโมเดิร์นเทรดเท่านั้น สุรนามจึงตัดสินใจปั้นแบรนด์นี้ขึ้นมาเพื่ออุดช่องว่างต่างๆ
กลยุทธ์ที่สำคัญก็คือ การวางจำหน่ายเข้าร้านสะดวกซื้อ เพื่อเพิ่มช่องทางการขาย โทฟุซังได้กระจายเข้าเซเว่น อีเลฟเว่นเพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนรุ่นใหม่ รวมทั้งการออกรสชาติใหม่ๆ ก็เป็นปัจจัยสำคัญ เพราะเป็นการสร้างทางเลือกให้ผู้บริโภค
แต่ที่เป็นไฮไลท์มากที่สุดก็คือการออกแบบ “คาแรคเตอร์” ประจำแบรนด์ มีชื่อเรียกว่า Mr.Tofu หรือเรียกว่าคุณเต้าหู้ เป็นสัญลักษณ์ของเด็กผู้ชายที่มีสุขภาพดี โดยได้ศิลปิน “สมนึก คลังนอก” มาเป็นผู้ดีไซน์คาแรคเตอร์ และแพ็คเกจจิ้ง ดีไซน์ที่แปลกใหม่นี้เป็นตัวชูโรงทำให้ผู้บริโภคเลือกหยิบมากขึ้น
สุรนาม พานิชการ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โทฟุซัง จำกัด กล่าวว่า “จริงๆ ตลาดนมถั่วเหลืองแบบพรีเมี่ยม หรือแบบคั้นสดเป็นน้ำเต้าหู้ตอนนี้ตลาดยังเล็กมากอยู่เลย แค่ 3% ของตลาดนมถั่วเหลืองทั้งหมด ซึ่งตลาดนี้ครองโดยนรูปแบบกล่องยูเอชทีราว 84% แต่ในอนาคตมองว่ามันจะขึ้นไปเป็น 7-8% แน่ๆ เพราะด้วยเทรนด์การดูแลสุขภาพของคนไทย กับพฤติกรรมความต้องการความสะดวกสบายต่างๆ จะเป็นตัวผลักดันทำให้ตลาดโตขึ้นได้”
สุรนามเล่าต่อว่ากลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ของโทฟุซังก็คือกลุ่มผู้หญิง เพราะเห็นแพ็คเกจจิ้งน่ารัก และเกิดการหยิบซื้อได้ง่าย ซึ่งคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มคนที่เกิดการ Switch จากร้านน้ำเต้าหู้ข้างทางมาดื่มโทฟุซังแทน เพราว่าสะดวก และสามารถทานได้ทั้งวันไม่ได้จำกัดแค่ช่วงเช้าอย่างเดียวเท่านั้น
ในปีนี้โทฟุซังตั้งเป้ารายได้ 200 ล้านบาท และมีอัตราการเติบโต 200% โดยที่รายได้ช่วงกินเจจะมากกว่าปกติ 2 เท่า และมีการใช้งบการตลาดราว 5% ของยอดขาย