สรุปข่าวเด่นตลาดรถรอบโลกปี 2015

ช่วงปี 2015 ตลาดรถยนต์ทั่วโลกมีข่าวและความน่าสนใจในโลกของยานยนต์เกิดขึ้นมากมาย และทางทีมข่าว MGR MOTORING ขอสรุปเหตุการณ์สำคัญที่ถือว่า้เป็นไฮไลท์ของปีนี้เอาไว้
 
Diesel Scandal :จุดด่างพร้อยครั้งสำคัญในโลกยานยนต์
 
ข่าวใหญ่สำหรับปี 2015 คงหนีไม่พ้นเรื่องราวของการหมกเม็ดของทีมผู้บริหารของโฟล์คสวาเกนในเรื่องของการชี้แจงความสามารถของเครื่องยนต์ TDI หรือดีเซลที่ใช้อยู่กับรถยนต์หลายยี่ห้อในเครือเพื่อให้ผ่านการทดสอบด้านมาตรฐานไอเสีย เพื่อให้เครื่องยนต์เหล่านี้สามารถเข้าไปเปิดตลาดในสหรัฐอเมริกาได้
 

 
ทาง EPA ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลด้านมลพิษของสหรัฐอเมริกาเปิดเผยว่าทางโฟล์คสวาเกนไดื้มีการปรับแต่งซอฟท์แวร์ที่ควบคุมการทำงานของเครื่องยนต์ดีเซลเอาไว้เพื่อให้มีความสามารถในการทำงานเพื่อให้ผ่านมาตรฐานไอเสียแต่เมื่อมีการใ้ช้งานจริงก็จะเปลี่ยนโหมดการทำงานมาสู่ปกติซึ่งจะมีการปล่อยไอเสียออกมามากกว่าระดับที่กำหนดเอาไว้ถึง 40 เท่าเลยทีเดียวและว่ากันว่าซอฟท์แวร์เจ้าปัญหาตัวนี้ติดตั้งอยู่ในรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ TDI ของบริษัทในเครือโฟล์คสวาเกนมากกว่า 11 ล้านคันที่ถูกขายไปทั่วโลกตลอดปี 2009-2015 โดยในจำนวนนั้น 500,000 คันวิ่งอยู่ในสหรัฐอเมริกา
 

 
เมื่อถูกแฉกลโกงออกมาทำให้โฟล์คสวาเกนต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตศรัทธาครั้งใหญ่เช่นเดียวกับการจ่ายเงินชดเชยจำนวนมหาศาลจนนำไปสู่การยกทีมลาออกของ ดร.มาร์ตินวินเทอร์คอร์น CEO ของโฟล์คสวาเกนกรุ๊ป และมีข่าวว่าอาจจะต้องขายกิจการของแบรนด์ในเครือเพื่อพยุงสถานทางการเงินของ บริษัทที่ตกอยู่ในภาวะการขาดสภาพคล่องหลังจากที่ต้องกู้ยืมเงินจากธนาคารหลายแห่งในการจ่ายชดเชยให้กับลูกค้า และค่าปรับของทาง EPAรวมแล้วมากกว่า 18,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ 
 

 
Airbag Recall Crisis : โตโยต้ายังต้องเจอกับปัญหาวิกฤตในการเรียกรถยนต์กลับคืนมาปรับปรุงหรือ Recall หลังมีการตรวจพบว่ารถยนต์หลายรุ่นมีปัญหาที่ถุงลมนิรภัยที่ผลิตโดยซัพพลายเออร์อย่าง Takataโดยในการ Recall ครั้งนี้มีรถยนต์จำนวนมากกว่า 1.37 ล้านคันและส่วนใหญ่เป็นโมเดลที่ขายอยู่ในสหรัฐอเมริกาซึ่งประกอบด้วยโคโรลล่า/เมทริกซุ์่และเล็กซัส SC430 ที่ผลิตในปี 2003-2007 ตามด้วย ทุนดรารุ่นปี 2005-2006 และเซควอญ่ารุ่นปี 2005-2007 ซึ่งเท่ากับว่าโตโยต้าจัดการ Recall รถยนต์รวมแล้วมากกว่า 2.9 ล้านคันทั่วโลกอันเป็นผลมาจากการทำงานที่ผิดพลาดของถุงลมนิรภัยที่ผลิตโดย Takata และในจำนวนนี้มีการยืนยันว่ามีผู้เสียชีวิตถึง 7 คนจากกความผิดพลาดในการทำงานของถุงลมนิรภัยรุ่นนี้โดยมีการยืนยันว่า ตัวถุงลมมีความชื้นเข้าไปอยู่ในระบบและทำให้การจุดระเบิดเพื่อให้ถุงลมนิรภัยพองตัวนั้นผิดจังหวะ จนเป็นเหตุให้มีการจุดระเบิดก่อนจังหวะทีี่ควรจะเป็นโดยนอกจากโตโยต้าแล้วทางฮอนด้าและมาสด้าก็มีการ Recall ด้วยเช่นกันจากถุงลมนิรภัยที่ผลิตโดยTakata
 

 

 

 
ถึงเวลารถยนต์ไร้คนขับ : นิสสันกลายเป็นหัวหอกของการนำแนวคิดของการพัฒนาระบบ AI เพื่อนำไปสู่ยุคของการขับเคลื่อนด้วยรถยนต์ที่มีความชาญฉลาดขึ้นเพื่อเป็นการลดปัญหาเรื่องอุบัติเหตุคาร์ลอส กอนส์ ประธานและ CEO ของนิสสันได้กล่าวในระหว่างการแนะนำถึงแนวคิดว่า ‘เทคโนโลยีใหม่ๆ ของนิสสันที่กำลังจะเปิดตัวในอนาคตจะเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างรถยนตั์ กับคนขับ และการขับเคลื่อนในอนาคต’
 

 
เทคโนโลยี Nissan Intelligent Driving ได้ปรับปรุงในแง่ของความสามารถในการมองเห็น การคิด และการตอบสนองให้กับผู้ขับขี่ มันเป็นการเข้ามาทดแทนเพื่อขจัดเรื่องความผิดพลาดที่มาจากมนุษย์ ซึ่ง 90% ของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นทั้งหมดมาจากเรื่องนี้ ผลที่ได้ เรามีความปลอดภัยมากขึ้นเมื่อนั่งอยู่ในรถ สะอาดขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น และแน่นอนสนุกสนานมากขึ้น’ กอนส์กล่าว
 
นิสสันได้นำแนวคิดนี้มาจัดแสดงผ่านทางต้นแบบรุ่น IDS Concept ซึ่งมีทั้งโหมดที่คนสามารถขับเอง หรือจะให้สมองกลหรือ AI ของตัวรถทำหน้าที่ในการขับเคลื่อนแทนก็ได้ พร้อมกับยืนยันไฟเขียวโปรเจ็กต์นี้ ในการพัฒนา และประกาศตั้งเป้าจะนำระบบเข้าสู่การใช้งานจริงให้ได้ภายในปี 2020
 

 

 
Messi VS Tata : ลีโอเนลแมสซี่นักเตะชื่อดังของทีมบาร์เซโลน่ากลายเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์คนใหม่ของวงการรถยนต์และหลายคนคงคิดว่าน่าจะเป็นแบรนด์รถยนต์ระดับโลกที่กล้าควักเงินจ่ายเพื่อดึงศูนย์หน้าชื่อดังชาวอาร์เจนติน่ามารับงานนี้ แต่ผิดถนัดเพราะแบรนด์ที่ว่าคือทาทาแห่งอินเดีย
 
โปรเจ็กต์นี้เป็นการจ่ายเพื่อสร้างการรับรู้ในแบรนด์ทาทาให้กับคนรุ่นใหม่ภายใต้แคมเปญ #madeofgreat โดยทางทาทาหวังว่าจะช่วยในเรื่องของการตัดสินใจซื้อรถยนต์ของกลุ่มลูกค้าในอินเดียได้ดีขึ้น ผ่านทางการประชาสัมพันธ์ของแคมเปญนี้โดยมีการเปิดเผยว่าทางทาทาต้องใช้เวลานานถึง 16 เดือนกว่าที่จะจีบให้Messiเข้ามารับงานนี้
 

 
ความสำเร็จของตลาดไฮบริด : โตโยต้าซึ่งเป็นแบรนด์แรกที่เปิดตัวรถยนต์ไฮบริดเชิงพาณิชย์ ที่ใช้ขุมพลังลูกผสมระหว่างเครื่องยนต์สันดาปภายในกับมอเตอร์ไฟฟ้ารุ่นแรกของโลกเมื่อปี 1997 ยืนยันว่าตลาดรถยนต์ประเภทนี้กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่องและนับจากพริอุสคันแรกจนถึงปี 2015 มีรถยนต์ประเภทนี้ขายไปแล้วมากกว่า 8 ล้านคันทั่วโลกอีกทั้งยังช่วยในเรื่องของการลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่บรรยากาศโลกมากกว่า 68 ล้านตันจากจำนวนยอดขายของรถยนต์ไฮบริดของค่ายนี้และแบรนด์ในเครืออย่างเล็กซัส