แม้จะหมดแคมเปญในการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศไปแล้วสำหรับมาตรการ “ช้อปเพื่อชาติ” ของทางภาครัฐ ที่ได้ประกาศลดหย่อนภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี 2558 โดยยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้ เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการภายในประเทศ ระหว่างวันที่ 25-31 ธ.ค. ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท ทำให้การจับจ่ายใช้สอยของประชาชนพุ่งสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ทางสมาคมผู้ค้าปลีกไทยได้สรุปผลของมาตราการดังกล่าว ส่งผลให้ภาพรวมตลาดค้าปลีกเติบโตกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ และยังช่วยสร้าง Mood ของการจับจ่ายใช้สอยให้ดีขึ้นด้วย
1. มีการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลปีใหม่เพิ่มขึ้น 20% หรือประมาณ 25,000 ล้านบาท
2. ส่งผลให้เม็ดเงินไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยรวม 125,000 ล้านบาท ในช่วงเดือนสุดท้ายของปี
3. อุตสาหกรรมค้าปลีกเติบโตขึ้น 0.3% และทำให้ภาพรวมอุตสาหกรรมค้าปลีกของปี 2558 เติบโตขึ้น 3.05% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 2.8%
4. หมวดสินค้าที่ขายดีที่สุดคือสินค้ากึ่งคงทน หรือ “สินค้าแฟชั่น” ได้แก่ เสื้อผ้า เครื่องหนัง เครื่องสำอาง ลักชัวรี่แบรนด์ มียอดขายเติบโต 35% และมีลูกค้าเพิ่ม 20%
5. รองลงมาเป็นหมวดสินค้าคงทน หรือ “สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า” ได้แก่ หม้อหุงข้าว โทรทัศน์ โทรศัพท์มือถือ วัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์กีฬา มียอดขายเติบโต 25% และมีลูกค้าเพิ่ม 15%
6. หมวดสินค้าไม่คงทน หรือสินค้าที่จำเป็นในการดำรงชีวิตประจำวัน ได้แก่ อาหาร ช็อคโกแล็ต กาแฟ มียอดขายโต 10% มีลูกค้าเพิ่ม 12%
7. ช่องทางการขายที่มีการเติบโตสูงที่สุด สินค้ากลุ่ม Non-Food ช่องทาง “ดีพาร์เมนต์สโตร์” เติบโตสูงที่สุด และสินค้าประเภท Food ช่องทาง “ซูเปอร์มาร์เก็ต” เติบโตสูงที่สุด
8. มาตรการ “ช้อปเพื่อชาติ” ส่งผลทำให้ GDP ของปี 2558 เติบโตขึ้น 0.1-0.2%
9. มีการคาดการณ์อุตสาหกรรมค้าปลีกในปี 2559 จะเติบโต 3.2 – 3.5% เพราะมี Mega Project ของทางภาครัฐที่จะเกิดขึ้นอีกหลายโครงการ
10. ทางสมาคมผู้ค้าปลีกไทยสนับสนุนให้ทางรัฐมีการจัดมาตรการช้อปเพื่อชาติปีละ 2 ครั้ง เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค และช่วยกระตุ้นการจ้างงานด้วย โดยแนะนำช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม เพราะเป็นช่วง Low Season ของตลาดค้าปลีก และการท่องเที่ยว ถ้ามีมาตรการเข้ามากระตุ้นก็จะสามารถช่วยได้เยอะ