กลายเป็นคอนเทนต์ชูโรงของทรูวิชั่นส์ไปแล้วสำหรับฟุตบอล “ไทยพรีเมียร์ลีก” ที่ได้เข้ามาเป็นพระเอกในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา หลังจากที่ทรูวิชั่นส์ได้เสียลูกรักอย่าง “พรีเมียร์ลีก อังกฤษ” ไป จากวิกฤตในช่วงนั้น กลับกลายเป็นโอกาสอันดี เพราะด้วยกระแสบอลไทยฟีเวอร์ที่มาแรงในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ก็ช่วยเสริมให้คนหันมาดูไทยพรีเมียร์ลีกมากขึ้นด้วย
โดยที่ทรูวิชั่นส์ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภค พบว่าคนไทยมีอัตราการดูไทยพรีเมียร์ลีกสูงกว่า พรีเมียร์ลีก อังกฤษแล้ว โดยมีการดูไทยพรีเมียร์ลีก 29.13% ของจำนวนประชากรไทย ในขณะที่มีการดูพรีเมียร์ อังกฤษ 21.18% จึงเป็นโอกาสสำคัญที่ทรูวิชั่นส์จะปั้นไทยพรีเมียร์ลีกเป็นคอนเทนต์ฮีโร่
ทำให้ในปี 2558 ที่ผ่านมา ทรูวิชั่นส์ได้ทำการตัดหน้าผู้เล่นรายอื่น เพื่อยึดครองลิขสิทธิ์ไทยพรีเมียร์ลีกต่อไปอีก 4 ปี ตั้งแต่ฤดูกาล 2017-2020 หรือคิดเป็นมูลค่า 4,200 ล้านบาท ทางทรูวิชั่นส์จะได้สิทธิ์ถ่ายทอดสดทั้ง 4 รายการ ได้แก่ โตโยต้า ไทยพรีเมียร์ลีก, ยามาฮ่า ลีก วัน, ช้าง เอฟเอ คัพ และโตโยต้า ลีก คัพ
แล้วออกแพ็กเกจใหม่ “สนั่นบอลไทย” ตอบโจทย์ทั้งสมาชิกแบบรายเดือนราคาเริ่มต้น 299 บาท/เดือน และสำหรับลูกค้าที่ติดกล่องทรู ดิจิตอลเอชดีแบบขายขาดราคา 1,690 บาท
ในครั้งนี้ทรูวิชั่นส์ได้เลือกทำการสื่อสารใหม่ผ่านชื่อแพ็กเกจ จากเดิมที่ได้ใช้ชื่อแพ็กเกจ Gold, Platinum, Happy และ Enjoy เป็นต้น ซึ่งคอนเทนต์จะมีความวาไรตี้หลากหลาย เปลี่ยนเป็นชื่อแพ็กเกจที่มีคอนเทนต์นำ ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจง่าย
ความสำคัญของการออกแพ็กเกจนี้นอกจากจะเพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคอบอลไทยแล้ว ความสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือต้องการขยายฐานลูกค้าในกลุ่มแมสให้มากขึ้น หลังจากนั้นค่อยใช้กลยุทธ์ในการอัพเซลล์เพิ่มแพ็กเกจเป็นพรีเมียมมากขึ้นหลังจากที่เป็นสมาชิกแล้ว
พีรธน เกษมศรี ณ อยุธยา หัวหน้าสายงานการพาณิชย์ และพัฒนาธุรกิจ บริษัท ทรูวิชั่นส์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า “ต้องบอกว่าตอนนี้โลคอลคอนเทนต์สามารถดึงดูดความสนใจ และดึงอีโมชันนอลของคนดูได้ดีกว่า และฟุตบอลไทยเป็นเรื่องของฮีโร่ด้วย เป็นกระแสที่ต่อเนื่องกันมา และยังเป็นคอนเทนต์ที่มาแรงที่สุด แต่ในปีนี้เราสร้างมุมมองใหม่ในการสร้างแพ็กเกจ เป้นการทำแพ็กตรงไปตรงมา สื่อสารโดยตรงกับผู้บริโภค สามารถอ่านแพ็กแล้วเข้าใจง่าย จากเดิมที่แพ็กเรามีความวาไรตี้ ไม่มีคอนเทนต์ที่เด่นออกมาก็ทำให้เจาะเซ็กเมนต์ยาก”
สำหรับการขยายฐานกลุ่มแมสนั้น พรีธน อธิบายต่อว่า “ตลาดแมสเซ็นซิทีฟกับเรื่องราคามาก ต้องมีการจัดคอนเทนต์ที่ตรงใจเขามากที่สุด เราจึงต้องใช้ทีมฟุตบอลไทยเพื่อเจาะเข้าตลาดแมส หลังจากนั้นค่อยใช้กลยุทธ์อัพเซลล์เพื่ออัพเกรดแพ็กเกจที่พรีเมียมขึ้นให้กับผู้บริโภคตามความต้องการ โมเดลนี้ที่ต่างประเทศก็ทำกัน โดยการเจาะเข้าตลาดแมสก่อน แต่ในการโฆษณาประชาสัมพันธ์จะชูแพ็กเกจพรีเมียมเป็นส่วนใหญ่เพราะเป็นเรื่องของแบรนดิ้ง ตั้งเป้าลูกค้ามีการอัพเซลล์ 30-40%”
จากแพ็กเกจนี้ทรูวิชั่นส์ตั้งเป้าสมาชิกเพิ่มขึ้นราว 300,000 ราย ภายใน 3 เดือน จากปัจจุบันมีจำนวนสมาชิกทั้งหมด 3.1 ล้านราย มีการเติบโต 10% แบ่งเป็น 60% ลูกค้าแบบซื้อกล่องขายขาด/ฟรีวิว และ 40% สมาชิกรายเดือน
สำหรับความคืบหน้าของลิขสิทธิ์ “พรีเมียร์ลีก อังกฤษ” ที่ BeIn Sport เป็นผู้ได้รับสิทธิ์ไปนั้น ทางทรูวิชั่นส์ยังคงอยู่ช่วงการเจรจาในการเป็น Sub License ซึ่งจะได้ข้อสรุปในช่วงก่อนปิดฤดูกาลในปีนี้ หรืออีกประมาณ 2 เดือน