New Value of Refill Card

ต้องยอมรับว่าเทคโนโลยีไม่สามารถนำมาทดแทนทุกสิ่งได้ เหมือนกับการส่งการ์ด กับ e-card ให้ใครสักคน ถึงจะมีความเหมือนที่เป็นการ์ดเหมือนกัน แต่ความรู้สึกของผู้ที่ได้รับย่อมต่างกัน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ศาสตร์และศิลป์ต้องเดินควบคู่กันไป ซึ่ง 1-2-Call! ได้เริ่มเล็งเห็นการทำตลาดที่จะมาเล่นกับกระแสความรู้สึก อารมณ์ของผู้บริโภคในจุดนี้

บัตรเติมเงิน เป็นสิ่งหนึ่งที่ 1-2-Call! กำลังพยายามใช้ Art มาเล่นกับลูกค้า ด้วยการออกบัตรเติมเงินในรูปแบบใหม่ที่จะมาตอบสนองความต้องการได้ครบทั้งรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส โดยใช้แนวคิด Customer Centric ซึ่งจะมาต่อยอดแกนการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าแบบ One to One Marketing และเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบัตรเติมเงินอีกทางหนึ่ง

จำนวนผู้ใช้บริการ 1-2-Call! ที่มีประมาณ 12.5 ล้านราย ทำให้มีจำนวนบัตรเติมเงินที่ส่งถึงมือลูกค้ากว่า 300 ล้านใบต่อปี นับเป็น product ที่มียอดจำหน่ายสูงที่สุดในธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศไทย โดยมีมาแล้วทั้งสิ้น 537 ลาย 103 collection

จุดประสงค์หลักของการคิดค้นบัตรเติมเงินรูปแบบใหม่ขึ้นมา ก็เพื่อเพิ่มมูลค่าในเชิงของ art ที่จะไปเล่นกับอารมณ์ของผู้บริโภคที่ชอบการสะสมเป็นทุนเดิม และสร้างผู้ใช้บริการกลุ่มใหม่ให้เกิดความรู้สึกอยากสะสมบัตรเติมเงินมากขึ้น ซึ่งภาพรวมในระยะยาวจะทำให้แบรนด์ของ 1-2-Call! มีเสน่ห์มากขึ้นกว่าเดิม รวมทั้งยังเป็นการสร้าง loyalty ที่ทำให้ลูกค้าไม่คิดอยากเปลี่ยนไปใช้บริการของรายอื่น เนื่องจากเกิดความรู้สึกเสียดายบัตรเติมเงินที่ได้สะสมมา

บัตรเติมเงินรูปแบบใหม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มเข้าไป ทั้งที่ทำในแบบพิเศษเป็น My collection ที่สามารถถ่ายรูปของตนเองลงในบัตรเติมเงิน หรือตกแต่งบัตรเติมเงินในแบบของตัวเอง มีการ running number เพื่อแสดงจำนวนการผลิต มี serial number และมีชื่อโรงงานผลิต เป็นต้น รวมทั้งได้จัดตั้ง Refill Card Lover Club ขึ้นในเว็บไซต์ www.one-2-call.com และ Refill Card Swap Day ภายในร้าน 1-2-Call! เพื่อให้เป็น community สำหรับคนที่รักการสะสมบัตรเติมเงิน และยังเป็น touch point ระหว่างลูกค้าและ 1-2-Call! ที่จะได้มีส่วนร่วมในการเสนอแนะลายบัตรเติมเงินด้วย

ในอนาคตบัตรเติมเงิน 1-2-Call! จะมีพัฒนาการและรูปใหม่ๆ เกิดขึ้น เช่น บัตรเติมเงินลาย “รักแม่” กลิ่นมะลิ ด้านหลังบัตรสามารถเขียนอวยพรได้ บัตรเติมเงินกลิ่นผลไม้ บัตรแบบ Mini Card บัตรแบบ Odd Shape บัตรแบบ Twin Card มี 2 ใบติดกัน โดยหักใช้ได้ทีละ 1 ใบ บัตรแบบ Die Cut รูปผีเสื้อ บัตรแบบโปร่งใส (Transparent) บัตรแบบ Flip หรือแม้แต่พัฒนาให้เป็นบัตรเติมเงินกินได้ ที่อาจออกมาในลักษณะแถบบาร์โค้ดติดข้างถุงสแกนที่ลูกค้าสามารถรับประทานขนมข้างในได้ โดยจะมีการทยอยเปิดตัวทุกเดือน เดือนละคอลเลกชั่น และมีคอลเลกชั่นพิเศษ 5 ชุด ชุดละ 1 แสนใบภายในสิ้นปีนี้ โดยมุ่งผลิตบัตรราคา 300 บาทเป็นหลัก เพราะเป็นบัตรที่มีการใช้สูงที่สุด