ใครเลยจะคิดว่าบริษัทผู้ผลิตยารายใหญ่ระดับโลกจำเป็นต้องประชาสัมพันธ์ตัวเองสู่ลูกค้า end-consumer โดยเฉพาะประเทศไทยที่มีกฎหมายห้ามโฆษณายาที่ต้องมีใบสั่งแพทย์รับรอง… แต่ Pfizer เห็นว่า “ต้องทำ”
Pfizer เป็นบริษัทยาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งใหญ่กว่าอันดับที่สองถึง 40% โดยเข้ามาเมืองไทยตั้งแต่ปี 2501 ด้วยกฎหมายที่ห้ามทำการโฆษณาสินค้ายา (บางประเภท) Pfizer จึงหันมาใช้วิธีโฆษณาชื่อบริษัทแทน ซึ่งได้เริ่มแบรนด์ดิ้งชื่อ “Pfizer” ตั้งแต่ปีที่แล้ว ภายใต้คอนเซ็ปต์ “เราดูแลคุณทุกช่วงชีวิต”
Pfizer ทุ่มทุนราว 15% ของรายจ่ายทั้งหมดให้กับเคมเปญแบรนด์ดิ้ง โดยส่วนหนึ่งถูกนำมาใช้ในโปรแกรมให้ความรู้แก่ประชาชนในเรื่องเกี่ยวกับโรค ยา และการดูแลสุขภาพ ผ่านช่องทางนิตยสารชีวจิต และนสพ. คมชัดลึก ทางวิทยุคลื่น 97.0 Business Radio และ 106.5 Green Wave นอกจากนี้ยังมี Pfizer HealthLine 0-2664-5888 ที่เป็น one-stop-service ทางด้านสุขภาพ และโครงการ Good Health With Pfizer ที่จะมีผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษา เป็นต้น
“ยุคข้อมูลข่าวสารทำให้คนไข้เปลี่ยนไป เขาสามารถหาข้อมูลได้จากแหล่งต่างๆ ดังนั้น แทนที่เราจะปล่อยให้เขาไปหาข้อมูลด้วยตัวเอง ทำไมเราไม่เตรียมข้อมูลที่ถูกต้อง และที่ควรรู้ ให้พวกเขา ในฐานะที่เราเป็นบริษัทยา และเราต้องการ win the trust จากคนไข้ หมอ เภสัชกร ซึ่งแบรนด์ดิ้งจะทำให้เราสามารถพัฒนา sense of trust โดยทำให้ชื่อของเราหมายถึง high quality, reliability และ care ในความคิดของลูกค้าได้” นี่คือความจำเป็นที่ต้องทำแบรนด์ดิ้งในมุมมองของ อมาล นาจ ผู้จัดการใหญ่ Pfizer ประเทศไทยและอินโดจีน
สิ่งที่เขาเรียนรู้จากสมัยเป็นนักข่าวไปสัมภาษณ์บริษัทยักษ์ใหญ่ในอเมริกาคือ ปัญหาสำคัญของทุกบริษัทล้วนเหมือนกันคือ “How can you get the imagination of the company to the customer?” … เป็นเหตุให้ Pfizer ประเทศไทยว่าจ้างเอเจนซี่ชื่อดังอย่าง LOWE มาช่วยดูแลภาพพจน์การโฆษณาอีกขั้น
Did you know?
บริษัท Pfizer ก่อตั้งในปี 2392 ที่นิวยอร์ก และมีสำนักงานสาขามากกว่า 150 แห่งทั่วโลก ประกอบธุรกิจด้านการวิจัยและพัฒนาเวชภัณฑ์ ทั้งเวชภัณฑ์สำหรับคนและสัตว์ และผลิตภัณฑ์ส่งเสริมสุขภาพ
Website