Fat is in!

วัฒนธรรมป๊อปคาดเดาไม่ออก บอกไม่ถูกกันเสียจริงๆ โลกยุคใหม่ใครอาจจะชอบผอมๆ ทีวีบางๆ เครื่องมือเล็กๆ หรือทำอะไรกันเร็วๆ รีบๆ กระชับสั้นๆ แต่วงการหนังสือกำลังสวนกระแส เพราะปรากฏว่าหนังสือหนาหรืออ้วนกำลังได้รับความนิยมอ่านมากกว่า ตามรายงานของ USA Todays

หนังสือขายดีตอนนี้ในอเมริกาเล่มหนึ่งคือ Dark Tower VII : The Dark Tower (พิมพ์ Scribner,ราคา $35) มีความหน้า 845 หน้า และเป็นเล่มเจ็ดในชุดของสตีเฟ่น คิง อีกเล่มคือ The System of the World (พิมพ์ William Morrow, ราคา $27.95), มีความหนา 886 หน้าและเป็นเล่มที่สามในนิยายชุดไตรภาค Baroque Cycle ของ นีล สเตเฟสัน ( Neal Stephenson)

เล่มหนาๆ ที่ตามออกมาแบบว่าหกร้อยหน้าขึ้นไป จากนักเขียนดังๆ ยังมีอาทิ Incubus Dreams โดย Laurell K. Hamilton (Berkley, $23.95); 658 หน้า, I Am Charlotte Simmons โดย Tom Wolfe (Farrar, Straus and Giroux, $28.95); 688 หน้า,The Stone That the Builder Refused โดย Madison Smartt Bell (Pantheon, $29.95); 768 หน้า

นักเขียนไม่ดัง และเพิ่งเขียนเปิดตัวเล่มแรกยังเขียนกันหนาๆ ด้วย อาทิ Jonathan Strange and Mr. Norell (Bloomsbury, $27.95), โดยนักเขียนอังกฤษ Susanna Clarke’s หนา 782 หน้าเป็นเรื่องเกร็ดประวัติศาสตร์ และขายดีเหมือนกัน แผนออกตามมายังมี Shantaram by Gregory David Roberts (St. Marti’s, $24.95) หนา 933หน้า, Seven Types of Ambiguity โดย Elliot Perlman (Riverhead, $27.95) หนา 672 หน้า

นักวิเคราะห์สังคมอเมริกันบอกว่าชีวิตสมัยใหม่นี้เครียด คนเลยหันหน้าเข้าหาหนังสือเล่มหนาเตอะกันอีกครั้ง นอกจากนั้นการอ่านหนังสือหนาทำให้คนมีจังหวะใช้ความคิด พิจารณาความยุ่งยากเรื่องงาน เรื่องชีวิต

แนวหนึ่งที่น่าสนใจนับจาก The Lord of the Rings และ Harry Potter ซึ่งหนาและเกี่ยวกับความลึกลับของโลกซ่อนเร้น หนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และมนตร์ขลังต่างๆ ยังมาแรงด้วย

แนวนี้เมืองไทยไม่เข้าเทรนด์ง่ายๆ เพราะยังนิยมหนังสือบางอยู่ ด้วยเหตุว่าคนอ่านหนังสือน้อย 3,000 เล่มแรกยังขายไม่ค่อยหมด เมื่อพิมพ์ต้นทุนต่ำ ความอยู่รอดของสำนักพิมพ์ก็สูงกว่า และนักเขียนได้ค่าตัวน้อย เกินกว่าจะใช้เวลานานๆ เขียนหนังสือเล่มหนาออกมา หนังสือหนาส่วนใหญที่ได้อ่านกันจึงเป็นหนังสือแปล ซึ่งต้องมีโอกาสด้วยว่าจะขายดีหรือค่าลิขสิทธิ์ไม่แพง