นิวลุค พรรคการเมือง

เกมการต่อสู้ช่วงชิงที่นั่ง ส.ส.ในสภาผู้แทนราษฎร ระหว่าง 4 พรรคการเมืองในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในราวต้นปี 2548 หน้า กำลังดำเนินไปอย่างดุเดือด บรรดาแม่ทัพแต่ละพรรคต่างงัดกลยุทธ์การตลาดทุกรูปแบบ Out door In door ใช้สื่อทุกสื่อ บิลบอร์ด ทีวี วิทยุ เพื่อเจาะลึกถึงกลุ่มเป้าหมายทุกระดับ มีฐานเสียงเป็นเดิมพันความสำเร็จ

นายกฯทักษิณ ชินวัตร หวังที่จะได้กลับเข้ามาบริหารประเทศเป็นครั้งที่ 2 เพื่อสานภารกิจเพื่อชาตินานัปการที่ยังไม่ลุล่วงสมใจ…

บัญญัติ บรรทัดฐาน ในฐานะผู้นำพรรคฝ่ายค้าน “ประชาธิปัตย์” ยิ่งดูเหมือนกำลังแบกภารกิจอันใหญ่หลวง คือ ทำให้อย่างไรก็ได้ให้ประชาธิปัตย์ได้มากกว่า 200 ที่นั่งเพื่อตรวจสอบรัฐบาลอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการหวังที่จะเปิดอภิปรายตัวนายกรัฐมนตรี ซึ่งภารกิจที่ว่านี้จะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ล้วนมีผลชี้ชะตาตำแหน่ง ”หัวหน้าพรรค” ของบัญญัติอย่างชัดเจน…

บรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ย่อมรู้อยู่แก่ใจดีว่าการรบครั้งนี้ย่อมมิใช่เพื่อการดำรงพรรคให้อยู่ยงบนถนนสายนี้เท่านั้น… แต่ยังถือเป็นการทวงศักดิ์ศรีความเป็นมังกรการเมืองให้นายกฯ ทักษิณได้รู้จักเขามากขึ้น ว่าพรรคชาติไทยเป็นได้มากกว่า ”อะไหล่” ให้ไทยรักไทยจัดตั้งรัฐบาลเท่านั้น…

ส่วนพรรคมหาชน ของพล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ นั้นแม้จะมีอายุทางนิตินัยไม่ถึงขวบปีก็ตาม แต่คนอย่าง ”เสธ.หนั่น” สิงห์เจนสนามกว่า 2 ทศวรรษย่อมไม่ต้องการเป็นเพียงพรรค ”ต่ำสิบ” ไร้ราคา ในศึกครั้งนี้อย่างแน่นอน…

แต่การได้มาซึ่งชัยชนะท่ามกลางการช่วงชิงเก้าอี้ ส.ส. 500 ที่นั่งของ 4 พรรคการเมืองอย่างหนักหน่วงเช่นนี้ ลำพังการใช้แต่เพียงกลยุทธ์ในทางการเมืองเท่านั้น คงทำให้เป้าหมายที่วางไว้ลอยห่างออกไปอย่างน่าเสียดาย…โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชัยชนะของพรรคไทยรักไทย จากการเลือกตั้งเมื่อปี 2544 ที่ผ่านมาได้กลายเป็นบทเรียนที่ทำให้บรรดาพรรคคู่แข่งต้องหันมาทบทวนกลยุทธ์การต่อสู้กันใหม่ โดยเฉพาะการศึกษาและเรียนรู้ ”การตลาด” มาประยุกต์ใช้กับการเมืองอย่างไรให้สัมฤทธิผลเช่นเดียวกับไทยรักไทย

สั่งได้ดั่งใจ “ทักษิณ” ต้อง “SC MACTHBOX”

จากนี้ไปเรื่องการเมืองไม่ได้ถูกกำจัดวงเฉพาะแต่เรื่องการซื้อเสียง การแจกเงินกันหัวละไม่กี่ร้อยบาท หรือแจกน้ำปลา เสื้อยืด หรือไม่ใช่เรื่องของการโจมตีใส่ร้ายป้ายสีกันบนเวทีปราศรัยกันอีกต่อไป…แต่วันนี้โจทย์อยู่ที่ว่าจะทำอย่างไรที่จะทำให้ประชาชนรับรู้ และเชื่อใจจนยอมเทคะแนนเสียงให้ในที่สุด

ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่พรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาลบริหารประเทศมานี้ หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่านายกฯ ทักษิณยังคงใช้การตลาดเข้ามาจับอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของรัฐบาลหรือการเมือง นายกฯ ทักษิณสามารถสร้างความได้เปรียบให้แก่พรรคได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นวิธีการนำเสนอความโดดเด่นตัวผู้นำ (Brand Personality) หรือการเน้นย้ำ (Remind) ให้ประชาชนได้เห็นถึงความสำเร็จจากการบริหารงานของรัฐบาล ล้วนแล้วแต่มาจากผลการนำเสนอของ SC MACTHBOX บริษัทโฆษณาใหญ่ในเครือบริษัทชินคอร์ปนั่นเอง

สำหรับรูปแบบการสร้างสรรค์งานโฆษณาประชาสัมพันธ์สื่อในเชิงการเมืองนั้น หนึ่งในคณะทำงานด้านการเมืองของพรรคได้อธิบายถึงกระบวนการขั้นตอนว่า พรรคไทยรักไทยจะมีทีมงานด้านการเมืองของพรรค ประกอบด้วย ภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรค สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ รองหัวหน้าพรรค สุรนันทน์ เวชชาชีวะ โฆษกพรรค รวมทั้งทีมงานด้านวิชาการของพรรคที่มีความเชี่ยวชาญในการวางกลยุทธ์ อาทิ พันธ์ศักดิ์ วิญญรัตน์ ที่ปรึกษานายกฯ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รมว.คลัง รวมไปถึงบุญคลี ปลั่งศิริ ที่มีความช่ำชองในการตลาดอย่างสูง ระดมสมองกำหนดยุทธวิธีการตลาดเพื่อผลักดันเป้าหมายทางการเมืองของพรรคให้บรรลุผล แต่ทุกข้อสรุปจะต้องผ่านความเห็นชอบจากนายกฯ ทักษิณก่อนที่จะไปสู่ขั้นตอนของ SC MACTHBOX

“พรรคเราจะใช้ SC MACTHBOX เพียงบริษัทเดียวเป็นเอเยนซี่ใหญ่ แล้วจึงแจกงานต่างๆ ไปตามบริษัทที่มีความชำนาญเฉพาะด้านอีกต่อหนึ่ง เพื่อป้องกันความลับรั่วไหล และที่ผ่านมาก็สามารถแปลงแนวคิดทางการเมืองไปสู่แคมเปญต่างๆ จนเป็นที่ยอมรับ“ หนึ่งในทีมงานของพรรคระบุ

นอกจากพรรคไทยรักไทยจะมีบริษัทโฆษณาอยู่ในมือ สามารถนำการตลาดมาตอบสนองการเมืองได้อย่างตรงจุดแล้ว ยังได้ บริษัท HOW COME ของ “โอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร มาช่วยดูแลวางแผนการตลาดเจาะกลุ่มวัยรุ่น 18-25 ปี ซึ่งถือเป็นงานถนัดของ HOW COME ในการขยายฐานเสียงในกลุ่มวัยรุ่นโดยสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ

“ตัวคุณโอ๊คเองก็มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการเมือง ได้มีโอกาสติดตามศึกษางานโดยตรงจากนายกฯ ทักษิณอยู่แล้ว“

การใช้การตลาดมาผสมผสานกับการเมืองของพรรคไทยรักไทยนั้น ต้องถือว่าทีมงานของพรรคแต่ละคนต้องไม่เพียงแต่จะทำงานด้านการเมืองได้เท่านั้น แต่ยังต้องเข้าใจเรื่องของการตลาดอีกด้วย ล่าสุดการเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส. กทม. ที่ผ่านมา โดยใช้ชื่องาน “9+1 คนคุณภาพเพื่อชาว กทม.” หากสังเกตให้ดีจะพบว่าไม่ใช่การเปิดตัวธรรมดา แต่คล้ายกับเป็นการนำเสนอ ”สินค้า” ตัวใหม่แบบเป็นแพ็กเกจ ผู้สมัครทั้ง 9 คนจาก 9 เขตล้วนแล้วแต่มีจุดขายอยู่ในตัวเอง อาทิ แซม ยุรนันท์ ภมรมนตรี ผู้สมัครเขตดินแดง ภาพของความเป็นแฟมมิลี่แมนของเขาได้ถูกนำมาสร้างความเชื่อถือให้กับคนกรุงเทพฯ เรื่องครอบครัวเข้มแข็งได้ชัดเจน

หากจะพูดว่าภายในพรรคไทยรักไทยมีมือการตลาดเดินชนกันอยู่หลายคน ก็คงไม่ผิดนัก และที่สำคัญต้องยอมรับว่า “งบประมาณ” ด้านนี้อาจจะมีสูงกว่าพรรคคู่แข่งหลายเท่าตัว…!

ว้าว…“บรรหาร” นิวลุค !!

แม้ใครจะปรามาสอนาคตพรรคชาติไทย ว่าคงไม่พ้นเป็นพรรค ”ต่ำสิบ” ในการเลือกตั้งครั้งนี้แน่นอน ไม่มีทางที่บรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรค จะผลักดันให้พรรคได้มากกว่า 20 ที่นั่งแน่นอน แต่สำหรับบรรหารแล้วเขาไม่มีวันปิดประตูยอมแพ้อะไรง่ายๆ อยู่แล้ว

กลยุทธ์ทางการตลาดที่บรรหารจะนำมาใช้ควบคู่ไปกับกลยุทธ์ทางการเมืองนั้น ได้ “เจ้าพ่ออ่าง” ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ สมาชิกพรรคไทยรักไทย ที่อาสาเข้ามาเป็นแม่ทัพคุมการเลือกตั้งใน กทม.ช่วยดูแลการทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้คนกรุงเทพฯ รู้จักพรรคชาติไทย และบรรหาร ศิลปอาชา มากขึ้นจากที่ก่อนหน้านี้พรรคไม่เคยมี ส.ส. แจ้งเกิดในสนาม กทม.มาก่อน

CUMPWORK GROUP โปรดักชั่น เฮาส์แบบครงวงจรรับงานทั้ง Indoor และ Outdoor เป็นหนึ่งในทีมงานของชูวิทย์ ที่เคยร่วมงานกันมาตั้งแต่เมื่อครั้งที่ชูวิทย์ลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. จะเข้ามามีส่วนร่วมในการทำประชาสัมพันธ์ให้กับพรรคชาติไทย โดยเฉพาะในสนามเลือกตั้ง กทม.

“ชาตรี ปิติกุล” ผู้บริหาร CUMPWORK GROUP ได้เล่าถึงขั้นตอนการทำงานว่า หน้าที่หลัก จะรับบรีฟงานจากชูวิทย์โดยตรงในเรื่องของการออกแคมเปญทางการเมือง หลังจากนั้นจะนำแนวคิดไปนำเสนอรูปแบบของสื่อโฆษณาหาเสียงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคัตเอาต์ ป้ายหาเสียง แผ่นพับ ใบปลิว รวมทั้งบัตรหาเสียง

“ทำงานกับคุณชูวิทย์มาตั้งแต่ตอนเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งคุณชูวิทย์จะลงมาคุยกับเราว่ามีคอนเซ็ปต์อย่างนี้ และอยากให้นำเสนอออกมาในรูปแบบไหน เราก็จะช่วยดีไซน์ให้ว่าถ้าเป็นป้ายคัตเอาต์ น่าจะเป็นแบบไหน

ประสบการณ์ในการทำงานที่ผ่านมา ต้องถือว่าไม่เคยทำสื่อประชาสัมพันธ์ให้กับการเมืองมาก่อน แต่เราก็มองว่าไม่ว่าจะเป็นตัวชูวิทย์ หรือพรรคการเมืองคือสินค้าตัวหนึ่ง ทำอย่างไรจึงจะสร้างความสนใจ สร้างจุดขายขึ้นมาได้“
ภาพลักษณ์ที่เก่าแก่ คร่ำครึ ไม่ทันต่อยุคสมัยจึงจำเป็นต้องถูกตกแต่งแปลงโฉมกันเสียใหม่ โดยเฉพาะหากพรรคชาติไทยต้องการเปิดเกมรบในสนามกรุงเทพฯ ดังนั้นชูวิทย์จึงวางคอนเซ็ปต์เปลี่ยนภาพลักษณ์ให้บรรหารเสียใหม่ ด้วยการสลัดคราบจากนักการเมืองท้องถิ่นมาสู่มาดนักการเมืองร่วมสมัย…

“สิ่งที่จะเห็นชัดจากนี้ คุณบรรหารจะหันมาแต่งกายแบบลำลองมากขึ้น เลิกสวมเสื้อซาฟารีหรือเสื้อผ้าไหม มาเป็นเสื้อเชิ้ตดูสบายๆ ไม่ใช่ต้องเคร่งขรึมอยู่ตลอด โดยถ่ายคู่กับคุณชูวิทย์ และเสนอแคมเปญความเป็นคนจริงของคุณบรรหาร บวกกับความเป็นคนกล้าของคุณชูวิทย์ เชื่อว่าจุดนี้จะสร้างความแปลกใหม่ได้มากขึ้น”

การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับตัวหัวหน้าพรรคเท่านั้น แต่บรรดาผู้สมัค ส.ส. เองก็จะถูกนำเสนอภาพลักษณ์ให้เป็น ส.ส. รุ่นใหม่มากขึ้น โดยผ่านบริษัท MIND STUDIO ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ CUMPWORK GROUP ทำหน้าที่ถ่ายรูปทำบัตรหาเสียง ที่จะต่างไปจากเดิม “การแต่งกายแบบเชยๆ ดูเป็นทางการมาก ก็คงต้องเปลี่ยนมาเป็นเสื้อผ้าแบบสบายๆ มากขึ้น ทรงผมก็คงต้องเปลี่ยนด้วยเช่นกัน”

ทั้งนี้คนกรุงเทพฯ จะได้เห็นบรรหารในลุคใหม่ผ่านคัตเอาต์และสื่อต่างๆ ของพรรคหลังวันที่ 10 ธ.ค. เป็นต้นไป การดูแลเรื่องภาพลักษณ์ของหัวหน้าพรรคตลอดจนผู้สมัคร ก่อนที่จะผ่านขั้นตอนมาสู่การผลิตของ CUMPWORK GROUP นั้นจะมีดร.เสรี วงศ์มณฑา นักการตลาดคนดัง มีตำแหน่งนั่งเป็นที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค การวางคอนเซ็ปต์ในเชิงการเมืองนั้นจำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากตัวบรรหารก่อน จากนั้นเมื่อได้ข้อสรุป จะเป็นหน้าที่ของชูวิทย์ นำมาประมวลและเสนอออกมาในรูปแบบของการประชาสัมพันธ์ต่อกลุ่มเป้าหมายต่างๆ ซึ่งความแปลกใหม่ที่จะเกิดขึ้นนี้ พรรคต้องการเจาะกลุ่มวัยรุ่น และคนชนชั้นกลางในเมืองหลวง ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่พรรคชาติไทยแทบไม่เคยสัมผัสมาก่อน…!

ป้ายหาเสียง แผ่นพับ ใบปลิวที่นำเสนอภาพชูวิทย์คู่กับบรรหาร จะทยอยออกมาติดตั้งตามพื้นที่ต่างๆ ใน กทม. จากนั้นในช่วงเวลาต่อไปจะมีภาพชูวิทย์คู่กับ ร.ต.นิติภูมิ เนาวรัตน์ และแกนนำของพรรคอีกหลายคน สร้างจุดขายให้กับคนกรุงเทพฯ ถือเป็นสีสันตามสไตล์แบบชูวิทย์

ปชป. ทุ่มงบ 50% เน้นสื่อกลางแจ้ง

“เรามองเรื่องการตลาดกับการเมืองต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง ไม่ใช่เรื่องโฆษณาชวนเชื่อ หรือจับต้องกันแทบไม่ได้ พรรคเราคงไม่ทำ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนภายนอกมักมองว่าประชาธิปัตย์ไม่ค่อยใช้การตลาดนำการเมืองเหมือนบางพรรค”

นั่นคือคำอธิบายการตลาดในมุมมองคนประชาธิปัตย์ องอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรค สามารถสะท้อนความเป็นอนุรักษนิยมอย่างคงเส้นคงวาได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความประชาธิปัตย์จะไม่ใช้การตลาดกับงานการเมืองอย่างสิ้นเชิง เพียงแต่กระบวนการทำงานอาจต่างไปจากพรรคไทยรักไทย ที่มีเอเยนซี่คอยสนองตอบความต้องการได้อย่างครบวงจร

ที่มาของการเปิดนโยบาย 5 นโยบาย 5 คำมั่นสัญญา หรือการจัดคาราวานทวงคืนประเทศไทย เดินสายไปตามพื้นที่ต่างจังหวัดตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา เกิดจากการระดมสมองจากทีมคณะทำงานของพรรค แล้วกระจายไปยังทีมงาน บริษัทที่รับทำงานเฉพาะด้าน ซึ่งการทำในลักษณะนี้จะช่วยประหยัดงบประมาณของพรรคได้มาก และที่สำคัญการช่วยเหลือด้านการตลาด การผลิตสื่อต่างๆ จะมาจากความช่วยเหลือจากพรรคพวกเพื่อนฝูงกันเอง เรียกว่าเป็นการใช้ตัวบุคคลแต่ละด้าน ไม่ใช้ในรูปบริษัท

“การช่วยเหลือแบบนี้ ทำให้พรรคไม่ต้องไปจ้างบริษัทเอเยนซี่ให้สิ้นเปลือง ส่วนเจ้าของบริษัท ที่มาช่วยพรรคเขาก็สบายใจ เพราะส่วนใหญ่ไม่มีใครอยากเปิดตัวว่ามาช่วยพรรคตรงข้ามรัฐบาลหรอก…”

องอาจ กล่าวและชี้ว่า พรรคทุ่มงบประมาณมากที่สุดเพื่อใช้จัดทำป้ายผ้า คัตเอาต์หาเสียง สื่อกลางแจ้ง ประมาณ 40-50% เนื่องจากสามารถขยายฐานเสียงได้มากที่สุด สำหรับสื่อสิ่งพิมพ์ คิดเป็น 20-25% ซึ่งจะรวมถึงการจัดงบประมาณลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ และสัดส่วนที่เหลือถูกจัดไว้สำหรับการทำสื่อทางวิทยุ-โทรทัศน์ เนื่องจากมีราคาแพงหรือเผยแพร่ได้ในเวลาไม่นาน

สำหรับในพื้นที่ที่ประชาธิปัตย์มองว่าเป็นจุดแข็ง และสามารถชิงเก้าอี้ได้มากรองจากภาคใต้ คือ กทม.นั้นพรรคจะชูคอนเซ็ปต์ ”การสร้างคน สร้างอนาคต” ให้คนกรุงเทพฯ เห็นถึงแสงสว่างในอนาคตมากที่สุด ด้วยการให้ข้อมูลเน้นย้ำความผิดพลาดจากการบริหารงานของรัฐบาล 4 ปีที่ผ่านมา

“เราแค่ remind ให้คิดอีกเท่านั้น เพราะคนกรุงเทพฯ รู้เท่าทันนายกฯ ทักษิณหมดแล้ว ไม่ต้องใช้สื่อที่สร้างความหวือหวามากนัก ประเด็นอยู่ที่เนื้อหา ไม่ได้อยู่ที่รูปแบบ”

“เสธ.หนั่น” มือประสานสิบทิศ “การเมือง-ตลาด”

แม้จะเป็นพรรคน้องใหม่ในสนาม แต่ดูเหมือนการวางกลุยทธ์ใช้การตลาดกับการเมืองของ “พรรคมหาชน” ไม่ได้เป็นสองรองใคร…ช่วงเวลาเพียงไม่นานทุกคนต่างรู้จักพรรคมหาชนผ่านสื่อโทรทัศน์ ทางช่อง 5 จนเกือบจะร้องเพลงของพรรคกันได้…ช่วงความถี่ในการเปิดตัวพรรคทางช่อง 5 มีมากจนถูกอ้างว่าไปกระทบกับเวลาข่าว ในที่สุดมีการปรับลดเวลาออกอากาศลง

และเบื้องหลังความสำเร็จการทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ของพรรคมหาชน มาจากคอนเน็กชั่นอันเป็นเลิศของ “เสธ.หนั่น” พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ที่ปรึกษาพรรคมหาชน มือประสานสิบทิศ ที่ทำได้มากกว่าวางเกมบู๊ทางการเมือง ที่สามารถดึงเดอะ มีเดียเข้ามาดูแลโฆษณาทางโทรทัศน์ให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เช่นเดียวกับที่ได้รับการเอื้อเฟื้อจากเจ้าของโรงภาพยนต์ SFX ให้ฉายภาพยนตร์โฆษณาพรรคมหาชนได้จำนวน 150 แห่งทั่วประเทศ โดยไม่คิดเงิน โดยเจาะจงไปยังกลุ่มวัยรุ่น คนวัยทำงานในตัวเมืองของจังหวัดใหญ่ๆ อย่างทั่วถึงนั่นเอง

“เราสู้ค่าโฆษณาตามสื่อหนังสือพิมพ์ หรือเสียเงินซื้อเวลาตามวิทยุ โทรทัศน์คงไม่ไหว ซึ่งสื่อประเภทนี้ออกได้น้อยจนกระจายไปยังกลุ่มเป้าหมายได้ไม่ทั่วถึง เท่ากับการใช้ตัวผู้สมัครลงไปพบปะชาวบ้านแบบ door to door ด้วยสื่อสิ่งพิมพ์ทุกประเภท โดยไปพร้อมกับนโยบายและนำเสนอจุดอ่อนของพรรคไทยรักไทยในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา”

ทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ์ ผู้อำนวยการพรรคมหาชน ลงลึกในรายละเอียดของแผนงานด้านการประชาสัมพันธ์ในลักษณะแบบเข้าถึงชาวบ้านให้มากที่สุด และเสียค่าใช้จ่ายอย่างคุ้มค่า อย่างไรก็ตาม ที่มาของการนำแผนการตลาดเข้ามาประยุกต์กับการหาเสียงของพรรคมหาชนนั้นยังมี อรรคพล สรสุชาติ รองหัวหน้าพรรค อดีตผู้จัดการฝ่ายการตลาด กทม.-ออสเตรเลีย ของบ.ลีเวอร์บราเธอร์ และผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายการตลาด ของบริษัท ธนายง ก่อนที่จะโดดลงสู่ถนนการเมือง เป็นมือด้านการตลาดวางแผนร่วมกับทีมการเมือง ก่อนที่จะมอบให้บรรดาฟรีแลนซ์ที่ชำนาญสื่อแต่ละด้านไปนำเสนอในรูปแบบต่างๆ

เมื่อเป็นพรรคการเมืองหน้าใหม่แต่อาศัยมีฐานเสียงเดิมที่ดึงมาจากพรรคใหญ่ก็ตาม แต่มหาชนต้องหาทางประกันความเสี่ยงไม่น้อยไปกว่าพรรคอื่นเช่นกัน ซึ่งวิธีการที่น่าจะเข้าถึงชาวบ้านได้ดีที่สุด คือการใช้ ”สื่อท้องถิ่น” (Localize Media) ให้คุ้มค่า นั่นคือการใช้สื่อจากวิทยุท้องถิ่น สามารถครอบคลุมได้ทุกกลุ่มเป้าหมายอย่างรวดเร็ว นำเสนอภาพลักษณ์ของพรรคว่าอยู่ข้างชาวบ้าน ให้ความสำคัญของภูมิปัญญาท้องถิ่น ต่างจากพรรคไทยรักไทยที่เน้นความเป็นสากลมากจนชาวบ้านตามไม่ทัน

กลยุทธ์ทางการตลาดของทั้ง 4 พรรคการเมือง “ไทยรักไทย-ประชาธิปัตย์-ชาติไทย-มหาชน” ที่นำมาใช้เป็นเครื่องมือในการหาเสียง เผยแพร่นโยบายของพรรคในศึกเลือกตั้งครั้งนี้ ใครจะประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน ตามหลักการตลาดแล้วสามารถดูได้ว่า การนำเสนอสามารถเข้าถึงและทำความเข้าใจกับคนทั้งมวลได้ในทิศทางเดียวเหมือนกับการพูดผ่านคนเพียงหนึ่งคนหรือไม่แล้ว ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคืองบประมาณของใครก้อนหนากว่า โอกาสก็ย่อมเป็นของฝ่ายนั้นโดยปริยาย…