ยุคเพลงแร็พและฮิพ-ฮอพ

จากที่ตอนแรกไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นดนตรีประเภทหนึ่ง และยังถูกทายว่าจะหายไปจากวงการดนตรีในอีกไม่นาน แต่แร็พยืนหยัดมาถึงวันนี้ได้นานเกือบสามสิบปีแล้ว และกลายเป็นดนตรีที่มีความนิยมสูงขึ้นทุกที ทั้งในสหรัฐอเมริกาที่เป็นต้นกำเนิด และประเทศอื่นๆ ทั่วโลกที่เริ่มนำดนตรีแบบแร็พมาปรับกับภาษาถิ่นของตัวเอง

ล่าสุดมากถึงห้าในสิบอัลบั้มขายดีที่สุดของสหรัฐอเมริกา ช่วงคริสต์มาสจรดปีใหม่นี้เป็นอัลบั้มเพลงประเภทฮิพ-ฮอพ และแร็พ แบบต่างอารมณ์ร้อง และต่างรูปแบบดนตรีย่อยที่นำมาผสม เช่นป็อป หรือร็อก แนวโน้มนี้ดำเนินมาถึงเดือนมกราคม ที่ยอดขายแร็พกระหน่ำต่อ

ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นว่าเมื่อมีกำลังซื้อจากเงินที่ได้เป็นของขวัญเทศกาล เด็กๆ พากันซื้อเพลงแร็พที่อยากได้มานาน หรือเมื่อต้องตัดสินใจซื้อของขวัญคริสต์มาสให้เด็ก พวกผู้ใหญ่ก็ตัดสินใจซื้อแผ่นเพลงแร็พให้

เด็กรุ่นนี้จึงน่าจะอยู่ระหว่างช่วง 11-14 ปี ซึ่งไม่มีกำลังซื้ออัลบั้มในช่วงเวลาปกติ และพวกเขามีจำนวนมากขึ้นที่ชอบเพลงแร็พ ซึ่งเน้นการ ”พูดเพลง” แบบเปิดเผยความรู้สึกไม่เก็บงำและปลุกอารมณ์ตัวเองให้คึกคักไม่เซื่องซึม ไม่ประหวั่นกับความทุกข์ แต่แข็งแกร่งรับมือกับมัน

เมื่อดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม และสะท้อนวิธีคิดของคนในสังคม บอกได้ว่า เด็กก่อนวัยรุ่นกลุ่มนี้ชอบเป็นคนที่ปรับอารมณ์ให้คึกคักอยู่เหนือคนอื่นมากกว่าซึมให้ใครข่มขู่

ศิลปินแร็พแทบทุกคนมักใช้ชื่อฉายาในวงการมากกว่าชื่อจริง โดยเลือกชื่อฉายาที่ต้องไม่ซ้ำแบบกับชื่อทั่วไป และเป็นคำสั้นๆ สองสามพยางค์ ที่ฟังแล้วเท่

แร็พถือว่าเป็นแนวดนตรีที่มีการเติบโตทางยอดขายสูงสุดมาตั้งแต่ปี 2000 โดยในปี 2000 เพลงแร็พและฮิพ-ฮอพมีส่วนแบ่งตลาดในอเมริกา 12.9 เปอร์เซ็นต์ และขายดีขึ้นเรื่อยๆ

ในช่วงปลายปีชนต้นปีนี้ อัลบั้มแร็พมาแรงที่สุดคือ “Encore” ของแร็พผิวขาว ”เอ็มมิเน็ม” ที่ยอดขายเป็นอันดับหนึ่งหลายสัปดาห์ติดต่อกันมาแล้ว โดยเพลงเอกคือ Just Lose It ดนตรีดี ลีลาแร็พสนุกสนาน แต่มิวสิกวิดีโอมีการล้อเลียนเรื่องส่วนตัวไมเคิล แจ็กสัน แสดงภาพที่เป็นการดูถูกอย่างหยาบคาย ทั้งเรื่องที่เขาทำศัลยกรรมและมีข่าวความสัมพันธ์กับเด็กชาย จนรุ่นพี่บางคนในวงการถึงกับออกมาตำหนิต่อหน้าสื่อมวลชน

เอ็มมิเน็มเป็นศิลปินแร็พที่มีชื่อเรื่องพูดเพลงวิพากษ์วิจารณ์แบบไม่ไว้หน้าใครอยู่แล้ว เพลงของเอ็มมิเน็มให้อารมณ์ที่สรุปได้ว่า โกรธเกรี้ยว มุทะลุ บ้าเลือด ต่อต้าน ท้าทาย ชนดะ ถากถาง เสียดสี ไม่เกรงใจ เกลียดโลก แต่ขณะเดียวกันเขาก็เป็นศิลปินแร็พที่ขายดีที่สุด และในบางปียังมียอดขายอัลบั้มสูงสุดเมื่อเทียบกับศิลปินทุกแนวด้วย

ผลงานแร็พดังพร้อมกันช่วงปลายปีที่ผ่านมาได้แก่ Lil Jon & the East Side Boyz ชุด Crunk Juice ลิล จอน เป็นศิลปินแร็พจากเมืองแอตแลนตา ทางฝั่งตะวันออก ด้านตอนใต้ของประเทศอเมริกา ที่มีแนวเพลงเฉพาะเรียกว่า Dirty South หรือคนใต้ลามก เพลงเป็นแนวเพลงปาร์ตี้ สนุกสนาน ดิบ ทะลึง และปนเรื่องเพศ ลิล จอน อยู่ในวงการแร็พมานาน และเป็นคนปั้นศิลปินดังอย่างอัชเชอร์ แต่ตัวเขาเองเพิ่งมีเพลงฮิตในปี 2001 และในปี 2003 เขาได้รับความนิยมมากจากเพลง Get Low (ร่วมโดย the Ying Yang Twins) และ Damn! (ร่วมโดย YoungBloodz)

MTV Ultimate Mash-Ups Presents Jay-Z and Linkin Park : Collision Course งานร่วมกันระหว่างเจย์-ซี และวง ลิงคิน ปาร์ค โดยเจย์- ซีเป็นแร็พแบบฝั่งตะวันออกของประเทศ ที่ลีลาเพลงตรงไปตรงมา โกรธเกรี้ยว ก้าวร้าว รุนแรง แต่ขณะเดียวกันก็แฝงความคมคายของเนื้อหาและสำนวนโวหาร รวมถึงการมีธาตุแท้ที่นุ่มนวลอยู่ลึกๆ เขามีชื่อเสียงในวงการแร็พมาตั้งแต่ปี 1996 ส่วนลิงคิน ปาร์ค เป็นวงดนตรีแนวฮิพ-ฮ็อพ ผสมเมทัล ร็อก ที่ได้รับความนิยมมากในยุค 2000

Ludacris ชุด Red Light District เป็นศิลปินเดี่ยวที่ดังที่สุดในกลุ่มแร็พ Dirty South แนวเพลงปาร์ตี้ สนุกสนาน หยาบ ทะลึ่ง และปนเรื่องเพศ นอกจากนั้นเนื้อหาเพลงของเขายังผสมถ้อยคำ ท้าทาย ไม่ไว้หน้าใคร และไม่ประนีประนอม เขาเริ่มมีชื่อเสียงอย่างมากในปี 2001 จากอัลบั้มที่สอง และถือเป็นผู้นำเพลงแร็พลามกเข้าสู่ความนิยมในระดับดังทั่วประเทศด้วย

Tupac Shakur ชุด Loyal to the Game กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง นานถึงแปดปี หลังจากที่แร็พเปอร์ผู้ใช้ชีวิตจริงเป็นอันธพาลถูกลอบยิงเสียชีวิต เมื่อปี 1996 ทูแพ็คเป็นหนึ่งในผู้นำศิลปินร้องแร็พ ลีลาอันธพาลข้างถนน หรือ Gangsta Rap ทางด้าน Westcoast หรือรัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นลีลาแร็พที่หนักหน่วง กระโชกโฮกฮาก จังหวะเร็ว และเสียงดังแรง เนื้อหาเพลงส่วนใหญ่แสดงความโกรธเกรี้ยว ขบถสังคม หยาบคาย ดิบเถื่อน ส่งเสียงข่มขวัญ ด่ากราดไม่ไว้หน้า หลังการเสียชีวิตของเขา มีผลงานรวมอัลบั้มออกมาหลายครั้งและขายดีเสมอ

ที่ห้อยท้ายมาในอันดับที่สิบเอ็ดคือ Snoop Dogg ซึ่งเคยเป็นศิลปินแร็พที่ขายดีที่สุดในยุค 90 และยังมีชีวิตและชื่อเสียงมาจนเกือบครึ่งทศวรรษใหม่ เขาเป็นแร็พ Westcoast ประเภท Gansta Rap หรืออันธพาลข้างถนนอีกคน นอกจากนั้นเพลงของเขายังผสมผสานแนวดนตรีที่ชวนโยกแบบ G-Funk และเรื่องทะลึ่งทางเพศแบบ Dirty South ด้วย

ศิลปินดังในแนวแร็พปัจจุบันยังมี Ja Rule ที่ถือว่าเป็นแร็พหน้าใหม่ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา จา รูล เป็นแก๊งสตา แร็พ หรือแร็พอันธพาล ข้างถนน แต่เป็นอันธพาลแบบคนซีกตะวันออก จากนิวยอร์ก ที่ร้องเพลงหยาบคาย ดิบเถื่อน โกรธเกรี้ยว ก้าวร้าว แต่ขณะเดียวกันก็สนุกสนาน ขี้เล่น มีอารมณ์อ่อนไหว อ่อนโยนลึกๆ ภายในด้วย ผลงานดังส่วนหนึ่งของเขาเป็นการร้องลูกคู่ให้นักร้องหญิง Jennifer Lopez ในเพลง I’m Real และ Ashanti ในเพลง Always on Time

50 Cent เป็นดาราแร็พหน้าใหม่ที่ดังมากที่สุดในกลุ่มแร็พผิวดำรุ่นหลังปี 2000 ฟิฟตี้ เซ็นต์ เป็นแร็พฮาร์ดคอร์จากฝั่งตะวันออกของประเทศที่มีลีลาแบบ Gangsta Rap เนื้อหาเพลงเป็นลีลาฉะชนแบบแร็พทั่วไป แต่เขามีดีกว่าตรงที่ฟิฟตี้ เซ็นต์มาจากชีวิตแร็พข้างถนนแท้ๆ คือคลุกคลีทั้งยาเสพติด และการไล่ยิงข้างถนนก่อนเข้าวงการ ผิดกับแร็พส่วนมากที่อาจแสดงตัวเป็นแก๊งสตา แร็พ แต่ไม่มีประสบการณ์จริงมากเท่า เขาเคยถูกลอบยิงถึง 9 นัดมาแล้ว

Kanye West เป็นแร็พจากฝั่งตะวันออกอีกราย แต่เนื้อหาเพลงออกแนวสนุกสนาน สำหรับงานปาร์ตี้ หรือเพลงแบบผ่อนคลายอารมณ์ ซาบซึ้งจับใจ มากกว่าท้าสู้ชนดะ คานยี เวสท์ เพิ่งออกอัลบั้มเดี่ยวในปี 2004 หลังจากเคยเป็นโปรดิวเซอร์ให้นักร้องเพลงฮิพ-ฮอพ และริมธึ่มแอนด์บลูส์หน้าใหม่ทำเพลงให้ดังหลายคน

นอกจากนั้นยังมีแร็พรุ่นเก่าที่มีผลงานได้รับความนิยมมาก่อน และยังคงออกอัลบั้มอยู่เรื่อยๆ ถือว่าขายดีตลอดกาลในกลุ่มแร็พ คือ Dr.Dre, DMX, Ice Cube, Bone Thug-N-Harmony

ชื่อศิลปินแร็พ ฮิพ-ฮอพหลายคนที่กล่าวมานี้ ทั้งหมดไม่ได้มีแค่อารมณ์แร็พมุทะลุกราดเกรี้ยวหรือเอาสนุกชวนเฮฮาในปาร์ตี้อย่างเดียว แต่ทุกคนยังมีความสามารถทางการประพันธ์เนื้อร้องและเรียบเรียงดนตรีสูงมากด้วย จึงช่วยกันเติมความนิยมทางแร็พให้มากขึ้นอย่างยิ่งในปีที่ผ่านมา

ปีนี้ และปีหน้า ก็มีท่าว่าจะเป็นแบบเดิม

Did you know?

Rap/Hip-Hop Music

แร็พหรือฮิพ-ฮอพ เป็นสายพันธุ์ดนตรีเดียวกัน ที่จริงแล้วแร็พคือคำเรียกดนตรีที่ใช้ก่อน แต่ฮิพ-ฮอพ คือการเรียกวัฒนธรรมของวัยรุ่นผิวดำในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีลักษณะเฉพาะตัวในรูปแบบการใช้ชีวิต ทัศนคติ การร้องเพลงแร็พ การเต้นรำเบรกแดนซ์ การแต่งกายและศิลปะเขียนผนังในที่สาธาณะ หรือ Graffiti

ต่อมาฮิพ-ฮอพ ก็เป็นคำที่นำมาใช้เรียกดนตรีด้วย แบ่งกันโดยคร่าวๆ แล้ว แร็พเน้นการพูดมากกว่าเสียงดนตรี และมีจังหวะเร็ว แรง ห้วน มีความเข้มข้นทางอารมณ์รุนแรงและดิบมากกว่า ขณะที่ฮิพ-ฮอพ มีจังหวะลงตัวนุ่มนวล แบบริธึ่มแอนด์บลูส์มาผสม เจือจางด้วยสำเนียงดนตรีแบบป็อป ฟังง่ายและมักจะขายดีกว่าด้วย

เนื้อหาเพลงแร็พในอดีตส่วนใหญ่ไม่น่าฟังมาก โดยเน้นไปที่ Gang Violent ชีวิตอันธพาลข้างถนน, misogyny เกลียดผู้หญิง, homophobia เกลียดกะเทย, anti-semitism ต่อต้านระบบ และ nihilism โจมตีกฎหมาย แต่ระยะหลังเริ่มรุนแรงน้อยลง มีเนื้อหาทั่วไปที่ไม่ด่าทอ กระตุ้นความเกลียดชังระหว่างมนุษย์มากอย่างเดิม แต่ปรับเป็นเพลงเพื่อปาร์ตี้ เฮฮาสนุกสนานเข้ามามากขึ้น ขณะเดียวกันก็เกิดแร็พลามก พูดเรื่องการร่วมเพศมากขึ้น

การร้องเพลงแบบฮิพ-ฮอพเริ่มต้นจริงๆ โดยนักร้องและกวีชาวแอฟริกันตะวันตกที่ใช้ชีวิตด้วยการเดินทางท่องเที่ยวเพื่อเล่าขานผลงาน แบบที่เรียกว่า ประเพณี Griots ซึ่งรวมถึงดนตรีแบบจาไมกันที่เรียกว่า Dub ซึ่งเป็นดนตรีผสมระหว่างเร็กเก้และแดนซ์ โดยได้รับความนิยมในยุคทศวรรษที่ 60 และดีเจอพยพชาวจาไมกันชื่อ DJ Kool Herc นำมาเปิดในนิวยอร์กตั้งแต่ปี 1997 ในกลางยุค 1970 มันก็ได้พัฒนามาเป็นวิธีการพูดร่ายเป็นจังหวะเหมือนเสียงเป็นเครื่องดนตรีชนิดหนึ่ง ประกอบการผสมเสียง mixing กรีดแผ่นเสียง scratching และเปิดเสียงดนตรีท่อนฮุคเป็นช่วงๆ sampling

อัลบั้มแร็พแรกที่บันทึกเสียงคือ King Tim III โดย the Fatback Band ส่วนผลงานเพลงแร็พดังเพลงแรกที่ไม่ได้ร้องโดยศิลปินผิวดำคือเพลง Rapture ร้องโดย Blondie และศิลปินแร็พผิวขาวกลุ่มที่ดังที่สุดคือ Beastie Boys

ส่วนวัฒนธรรมแบบฮิพ-ฮอพ นั้นเป็นวัฒนธรรมที่เริ่มต้นมาจากกลุ่มวัยรุ่นข้างถนนในนิวยอร์ก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กผิวดำ โดยสี่พฤติกรรมหลักของผู้ใช้ชีวิตตามวัฒนธรรมนี้คือ การร้องแร็พ การเปิดแผ่นเป็นดีเจ ศิลปะวาดผนังสาธารณะ และการเต้นรำเบรกแดนซ์ นอกเหนือจากนั้นทัศนคติ วิธีคิด และการแต่งกายของพวกฮิพ-ฮอพก็มีแบบอย่างเฉพาะตัวด้วย โดยอาจหาดูเป็นตัวอย่างได้จากหนังเกี่ยวกับเด็กวัยรุ่นผิวดำในนิวยอร์กหลายเรื่อง