การพักห้องพักสตูดิโอ 3 ห้องนอน ขนาด 220 ตร.ม. 1 คืน กับราคา 10,000 บาทขึ้นไปนั้น อาจไม่แพงเกินไปที่จะลงทุนอดออมเงินทั้งเดือนเพื่อไปลองสัมผัสความหรู ทว่าห้องที่กล่าวถึงไม่ใช่ห้องพักในโรงแรม แต่เป็นห้องชุดในเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ ที่ต้องพักอย่างน้อย 1 เดือน ซึ่งแปลว่างบ 3 แสนบาท คงน้อยเกินไป และถ้าพัก 1 ปีก็คือเงินร่วม 4 ล้านบาท หรือบ้านขนาดกลางเลยทีเดียว
เซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ที่พูดถึงคือ The Ascott Sathorn ห้องชุดระดับพรีเมียมที่เปิดตัวเมื่อตุลาคมปี 2547 บนถนนสาทร ย่านการเงินกลางกรุงเทพฯ “ตอนนี้มีเพียงแค่ 8 แห่งในโลก ซึ่งเราจะเลือกเปิดแต่ในเมืองใหญ่ๆ ทำเลดีๆ ย่านธุรกิจ” Gerard Weller ในฐานะ MD กลุ่ม Ascott ประจำภูมิภาคอินโดจีน กล่าวเสริม “กว่าจะโน้มน้าวทางกลุ่มให้มาเปิด The Ascott ในกรุงเทพฯได้ไม่ง่ายเลย”
กลุ่มเป้าหมายของ The Ascott คือ ลูกค้า Top-end ซึ่งประกอบด้วย ผู้บริหารระดับสูง ประธานบริษัทขนาดใหญ่ ท่านทูต นักการเมือง หรือซูเปอร์สตาร์ระดับโลก อย่างไมเคิล ดักลาส ก็เคยพักที่นี่ ซึ่ง Gerard ให้ข้อมูลเพิ่มว่า เกือบ 100% เป็นคนต่างชาติ ส่วนมากมาจากยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลี
“สิ่งสำคัญที่แขกระดับนี้ต้องการมากคือ ความเป็นส่วนตัว ซึ่งเราได้เปรียบโรงแรม และความปลอดภัย ซึ่งเราก็มีทั้ง CCTV และคีย์การ์ด แต่ที่สำคัญที่สุดคือ พนักงานซึ่งเป็นเหมือนส่วนหนึ่งของครอบครัวของแขก พนักงานที่นี่ต้องจำชื่อจำหน้า และข้อมูลเบื้องต้นของแขกทุกคนได้ เพราะเรามีแค่ 177 ห้อง และเป็นแขกที่พักระยะยาว พนักงานก็ต้องช่วยสอดส่อง และยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับแขกด้วย” Gerard กล่าวถึงปัจจัยแรกแห่งความ “Luxury” ของ The Ascott
เนื่องจากไลฟ์สไตล์ลูกค้ากลุ่มนี้มักเดินทางเป็นประจำ ดังนั้นเครือข่ายทั้ง 40 เมืองใหญ่ใน 17 ประเทศของกลุ่ม Ascott จึงกลายเป็นจุดแข็งของ The Ascott แบรนด์ไฮเอนด์ของกลุ่ม ซึ่งกลุ่ม Ascott ยังประกอบด้วยแบรนด์ Somerset, Omni และ Citadines รวมแล้วเกือบ 15,000 ยูนิต
สิ่งอำนวยความสะดวกที่มีมาตรฐานระดับโลกเป็นอีกปัจจัยพื้นฐานแห่งความหรูหรา ซึ่งที่นี่มี Cascade Club ฟิตเนสและ health center ขนาด 3,500 ตร.ม. ที่มีทั้งสระว่ายนน้ำ สปา ซาลอน และร้านอาหารเมดิเตอร์เรเนียนอยู่ภายในคลับ พร้อมทั้ง Huu Bar ที่อยู่ชั้นล่าง นอกจากนี้ ยังมีห้องประชุมสัมมนาบริการ รวมทั้งระบบ wi-fi ที่สมบูรณ์ทุกพื้นที่ทั่วทั้งตึก
ขณะที่การตกแต่งภายในห้อง ที่นี่ใช้บริษัทระดับโลกคือ Hirsch Bedner Association ซึ่งมีประสบการณ์ออกแบบให้โรงแรมหรูมาแล้วทั่วโลก ส่วนเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้จะเป็น custom-made เพื่อตกแต่งแบบ luxury-end ซึ่งพัฒนาและออกแบบโดย Product Development & Technical Management หน่วยงานของกลุ่ม Ascott ทำหน้าที่พัฒนาดีไซน์ เฟอร์นิเจอร์ และการตกแต่งห้องพักในเครือโดยเฉพาะ
ทั้งนี้ ภายในห้องยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกอีกครบครัน เช่น ห้องครัวเต็มรูปแบบแยกห้องกินข้าวต่างหาก ห้องนั่งเล่นกว้างขวาง ชุดโฮมเอนเตอร์เทนเมนต์รุ่นล่าสุด พร้อมสัญญาณดาวเทียม และบรอดแบนด์ทุกห้อง ฯลฯ
จิ๊กซอว์แห่งความหรูหราตัวสุดท้ายแต่สำคัญมาก ได้แก่ บริการ ซึ่งที่นี่เรียกว่า “heart-ware” หรือก็คือ “most comprehensive services” ที่มีคอนเซ็ปต์หลักคือ เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีและความสำเร็จในหน้าที่การงานของแขก “เราสร้างบรรยากาศให้แขกไม่ต้องห่วงเวลาไปทำงาน เพราะเราจะดูแลทุกอย่าง รวมทั้งทำให้ผู้ติดตามของแขกเพลิดเพลินขณะอยู่ที่นี่ เพื่อแขกจะทุ่มเต็มที่กับงานโดยไม่กังวล” Gerard อธิบายหลักการ
คอร์สเรียนต่างๆ เช่น ทำอาหาร จัดดอกไม้ ว่ายน้ำ ฯลฯ และโปรแกรมทัวร์ อีกทั้งกิจกรรมหลากหลายถูกปลุกปั้นขึ้นมาเพื่อใช้แก้เบื่อให้กับภรรยาและลูกของแขก นอกจากนี้ ยังมีเลานจ์ ศูนย์เลี้ยงเด็ก และห้องเด็กเล่นไว้บริการด้วย หรือหากอยากออกไปข้างนอก ที่นี่ก็มีบริการทั้ง concierge คอยให้ข้อมูลท่องเที่ยว และรถลีมูซีน เหมือนบริการของโรงแรม
“ที่นี่ พอแขกเช็กอินเข้าห้อง พนักงานก็ยื่นการ์ดบอกว่า ชื่ออะไร และจะมาเป็น maid ประจำห้องของคุณตลอดเวลาที่แขกพักที่นี่ ซึ่งค่าเฉลี่ย room ratio ของเราประมาณ 0.85 คน/ห้อง ขณะที่โรงแรม 5 ดาวอยู่ที่ 1-1.5 คน แต่ต้องไม่ลืมว่าเรา outsource บริการอื่นๆ เช่น ร้านอาหาร ฟิตเนส ลอนดรี้ ฯลฯ ฉะนั้น แม่บ้านที่นี่ดูแลห้องไหนก็ไม่ต้องเปลี่ยน ลูกค้าจะได้รู้สึกสบายใจและเป็นส่วนตัวที่สุด”
สำหรับการขายและการตลาด Gerard อธิบายว่า วิธีการที่ The Ascott ใช้มี 2 แบบ คือ ใช้เครือข่ายการตลาดทั่วโลก โดยมี International Account Director (IAD) ทำหน้าที่ไปพบปะ ยื่นข้อเสนอพิเศษ หรือแค่สานสัมพันธ์กับผู้บริหารระดับสูงของบริษัทยักษ์ใหญ่สม่ำเสมอ และอีกแบบก็คือ พนักงานขายของพร็อพเพอร์ตี้แต่ละเมืองขายตรง ซึ่งจะเลือกเฉพาะบริษัทใหญ่ๆ หรือ Regional Office โดยพิจารณาจากเงินทุนและขนาดของบริษัท “เพราะบริษัทเล็กๆ อาจจะจ่ายไม่ได้” Gerard กล่าวตรงไปตรงมา
จากประสบการณ์ของกลุ่ม Ascott ในการให้บริการที่พักระดับหรูตลอด 21 ปี Gerard ได้ข้อคิดเป็นปรัชญาการทำงาน ดังนี้ “Luxury customer is very demanding” และได้ keywords ในการบริการคนกลุ่มนี้คือ discreet, attentive, personalized และ flexible พร้อมกับย้ำทิ้งท้ายว่า “ถ้าบริการไม่ดีพอก็จบกันเลย เพราะแขกที่มาพักคือ CEO ผู้มีอำนาจตัดสินใจและสามารถเปลี่ยนใจไปพักที่อื่นได้ตลอดเวลา”
…และนี่ก็คือเหตุผลที่กลุ่ม Ascott ยอมทุ่มทุนสร้างสถาบัน The Ascott Training Institute (TATI) ขึ้นมาทำหน้าที่ผลิตบุคลากรคุณภาพ ทั้งในระดับบริการและบริหารที่ได้มาตรฐานสากลมาป้อนธุรกิจเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ของกลุ่มซึ่งมีกว่า 100 แห่งทั่วโลก
Did you know?
1. 8 เมืองที่มี The Ascott ให้บริการ ได้แก่ สิงคโปร์ กัวลาลัมเปอร์ กรุงเทพฯ จาการ์ตา ออคแลนด์ ลอนดอน ปักกิ่ง และเซี่ยงไฮ้
2. ห้องพักราคาถูกที่สุดของ The Ascott คือ ห้องสตูดิโอ 1 ห้อง ขนาด 50 ตร.ม. ราคา 3,500 บาทต่อคืน
3. กลุ่ม Ascott เป็นผู้นำให้บริการด้านที่พักอาศัยที่ใหญ่ที่สุดของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก สำนักงานใหญ่อยู่ที่สิงคโปร์ และเป็นบริษัทลูกของกลุ่ม Capital Land ผู้นำธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ ของสิงคโปร์
4. ในกรุงเทพฯ มีโครงการของกลุ่ม Ascott ทั้งสิ้น 7 โครงการ ได้แก่ The Ascott สาทร : แบรนด์หรูสุดในกลุ่ม, Somerset : แบรนด์ระดับบน ประกอบด้วย แกรนด์ สุขุมวิท (เปิดปี 2551) เลค พอยท์ (ย่านสุขุมวิท) ปาร์ค สวนพลู และ สุวรรณ ปาร์ค วิว (ถนนวิทยุ), Citadines สุขุมวิท : แบรนด์ที่พักแนวบูติกเจาะกลุ่มคนเมือง (เปิดกลางปี 2550) และ Omni นานา : แบรนด์ระดับกลาง