ฟิล์ม ถึงค(ร)าว ต้องรีแบรนด์?

ตกเป็นกระแสข่าวฮอตร้อนฉ่าวงการบันเทิงติดต่อกันหลายวัน “ฟิล์ม- รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ ” นักร้องเบอร์หนึ่งของค่ายอาร์.เอส. กับ เสี่ยพระเครื่อง ‘สิทธิกร บุญฉิม’ ถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวที่เคยมีมาครั้งอดีต ถึงขั้นทั้งสองฝ่ายผลัดกันออกมาตอบโต้กันอย่างดุเดือด และฟ้องร้องศาลกันจ้าละหวั่น งานนี้ตอบจบจะแฮปปี้แอนดิ้งหรือไม่คงให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์

ที่แน่นอน ผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างแรก คือ หุ้นของอาร์เอสตกรับกระแสไปเรียบร้อยแล้ว
อย่างที่สอง คงหนีไม่พ้น “ภาพลักษณ์” ของนักร้องหนุ่มที่ถูกจับตาว่ามีสิทธิ์ขึ้น “ซูเปอร์สตาร์” อย่างพี่เบิร์ด-ธงไชย แนวเด็กดี กตัญญู มีอันมัวหมอง ส่งผลต่อเส้นทางไปสู่ดาวดาวเจิดจรัสแสงดังที่ค่ายอาร์เอสหวังไว้หรือไม่ เป็นโจทย์ที่ผู้บริหารต้นสังกัดต้องขบคิดกันต่อไป

ผลกระทบที่เกิดขึ้น หากประเมินเป็นตัวเลขทางธุรกิจ คงไม่น้อยเลยทีเดียว (หลายล้านบาท หากเกิดการปฏิเสธในอนาคตจากเจ้าของสินค้า เพราะปัจจุบันนี้ ฟิล์มเป็นนักร้องผลงาน ทั้งเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้า ผลงานเพลง หนัง ละครที่กำลังถ่ายทำอยู่อีกหลายเรื่อง) ในทาง Artist Management กรณีนี้ถือว่า เป็นจุดอ่อนของศิลปินทุกคนหากต้องประสบปัญหาตกเป็นข่าวด้านลบ ผลกระทบก็จะส่งผลต่อศิลปินทันที มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง ทั้งนี้รวมไปถึงภาพลักษณ์สินค้าที่ศิลปินนั้นไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ด้วย

“Brand Ambassador มีจุดแข็งอาศัยชื่อเสียง ภาพลักษณ์ศิลปินสร้างความสำเร็จกับกลุ่มเป้าหมาย ในทางตรงกันข้าม หากศิลปินหรือ Brand Ambassador มีข่าวเสียหาย หรือประพฤติตนเสื่อมเสีย ก็จะส่งผลถึงภาพลักษณ์สินค้านั้นที่ใช้อยู่ด้วย” ผศ.ธีรพันธ์ โลห์ทองคำ ที่ปรึกษาและนักกลยุทธ์สื่อสารการตลาดให้ความเห็น

เช่นเดียวกับ ประสงค์ รุ่งสมัยทอง บอสใหญ่ค่าย IAM ที่ทำหน้าที่บริหารจัดการศิลปิน เคยบอกว่า “ศิลปินคนหนึ่งใช้ต้นทุนในการสร้างหลายล้านบาท ภาพลักษณ์ ชื่อเสียงเป็นสิ่งสำคัญ หากต้องเจอกับข่าวด้านลบจะมีผลต่อภาพลักษณ์ทันที หากคิดเป็นเม็ดเงินสำหรับซูเปอร์สตาร์ บางคนมหาศาลยากประเมินเลยทีเดียว”

ผลงานสร้างชื่อ
พรีเซ็นเตอร์ โฆษณาลูกอมฮาร์ทบีท และมันฝรั่งเทสโต้ นาฬิกาโอเรียนท์
ละคร 1+2 แกร่งเกินพิกัด (กำลังถ่ายทำ)
เพลง อัลบั้ม ฟิล์ม แนวเพลง Pop ออกวางตลาดครั้งแรก 24 มีนาคม 2548