พระองค์ทรงอยู่เหนือ ทุกคำนิยาม และบุคคลใดๆ ในไทย เพราะพระองค์คือดวงใจของแผ่นดิน ที่สถิตอยู่ในใจคนไทยตลอดกาล
งานเฉลิมฉลองพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองราชย์ครบ 60 ปี ต้องนับเป็น “ปรากฏการณ์” ความเป็น “ที่สุด” ในทุกๆด้าน เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความจงรักภักดีของประชาชนที่มีต่อ “ในหลวง” ประทับอยู่ในใจของประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ
นับเป็นครั้งแรกที่ประชาชนคนไทยหลายแสนคน พร้อมใจกันสวมใส่ “เสื้อเหลือง” มาชุมนุมที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ถนนราชดำเนิน เพื่อรอรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออกมหาสมาคม ณ สีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคม
แม้จะใช้เวลารอคอยท่ามกลางอากาศที่ร้อนอบอ้าว แต่ทุกคนกลับไม่ย่อท้อหรือเหน็ดเหนื่อย ตรงกันข้ามกลับเต็มไปด้วยความปลื้มปิติ กับภาพที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโบกพระหัตถ์ให้กับประชาชน
ตลอดทั้งเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองฯ จึงได้เห็นถึงการร่วมแรงร่วมใจแสดงออกถึงความจงรักภักดีของประชาชนที่มีต่อในหลวง ด้วยการซื้อเสื้อเหลืองสวมใส่ จนทำให้เกิดเหตุการณ์เสื้อเหลืองขาดตลาด
รูปภาพงานฉลองสิริราชสมบัติ 60 ปี และของที่ระลึกต่างๆ ได้กลายเป็นที่ต้องการของประชาชนจำนวนมาก จนกลายเป็นปรากฏการณ์” ของสินค้า ที่ไม่ต้องอาศัยกลไกการตลาด แต่เกิดจาก “แรงศรัทธา”เพียงอย่างเดียว
ไม่บ่อยครั้งนัก ที่จะเห็นประชาชนยืนเข้าแถวเพื่อรอซื้อหนังสือพิมพ์ตั้งแต่เช้าตรู่ จนเป็น “ปรากฏการณ์” ทำให้ยอดขายหนังสือพิมพ์เพิ่มสูงขึ้นทั้งฉบับปกติ และฉบับพิเศษ ที่บรรดาสำนักพิมพ์ต่างๆ จัดทำขึ้น โดยรวบรวมภาพงานฉลองสิริราชสมบัติ 60 ปี กระบวนเรือพระราชพิธี และการจุดพลุ ซึ่งปรากฏว่าขายหมดภายในเวลาอันรวดเร็ว
พระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี งานมหามงคลที่หลอมรวมคนไทยให้เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นการสะท้อนว่า ตลอด 60 ปีของการครองราชย์ พระองค์ไม่เคยละทิ้งประชาชน ในยามที่ประเทศชาติต้องประสบปัญหาวิกฤตต่างๆ ทรงเป็นหลัก คุ้มครองชาวไทยให้ผ่านพ้นวิกฤตมาตลอด
แม้ว่าในยามเกิดปัญหาขัดแย้งทางการเมือง ประชาชนแตกแยกทางความคิดออกเป็น 2 ฝ่าย จนแทบมองไม่เห็นทางออกว่าจะผ่านพ้นวิกฤตไปได้อย่างไร แต่แล้วกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ช่วยเยียวยาวิกฤตครั้งนี้ไปได้
ที่ผ่านมา พระองค์ทรงประกอบพระราชกรณียกิจด้วยความวิริยะ อุตสาหะ เพื่อประโยชน์ของประชาชนมาตลอดทั้ง 60 ปีแห่งการครองราชย์ ดังพระราชปณิธานที่ได้พระราชทานไว้ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ที่ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”
งานพระราชพิธี กิจกรรมเฉลิมพระเกียรติต่างๆ ได้รับความสนใจจาก “สื่อมวลชน”ต่างประเทศ เผยแพร่ภาพงานพระราชพิธีออกไปทั่วโลก โดยเฉพาะการเสด็จเยือนไทยของสมเด็จพระราชาธิบดี สมเด็จพระราชินี และผู้แทนพระประมุขต่างประเทศ จำนวน 25 ชาติในฐานะราชอาคันตุกะ
ในงานนี้ สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไน ทรงมีพระราชดำรัสในนามพระประมุขและผู้แทนพระองค์ทั้ง 25 ชาติ ในตอนหนึ่งว่า “ฝ่าพระบาททรงเป็นมิตรที่รักและพึงเคารพอย่างที่สุดของพวกเรา ฝ่าพระบาททรงเป็นพลังบันดาลใจให้กับพวกเราเหล่าประมุขด้วยกัน และสิ่งนี้คือเหตุสำคัญล้ำลึกของความพร้อมเพรียงกันมาถวายพระเกียรติในครั้งนี้”
ขณะที่ สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกส์ที่ 16 และสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 2 แห่งราชอาณาจักร ถวายพระราชสาส์นพระพรชัยมงคลแด่พระเจ้าอยู่หัว
นิตยสารไทม์ ได้เขียนบทความในหัวข้อ “The Mystique of Monarchy” หรือ “อำนาจอันเร้นลับแห่งราชาธิปไตย” ฉบับวันที่ 19 มิถุนายน มีเนื้อหาว่า พระมหากษัตริย์ไทยทรงพิสูจน์ให้เห็นถึงพลังของราชวงศ์ยังมีความเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตประชาชน
นิตยสารไทม์ ยังระบุด้วยว่า พระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นนักดนตรี ศิลปิน นักประดิษฐ์ ทรงตรากตรำงานหนัก ทำโครงการราชดำริมากมาย เพื่อช่วยพสกนิกรของพระองค์
ขณะที่สื่อมวลชนต่างประเทศได้ร่วมรายงานถึง ความเป็น “กษัตริย์นักพัฒนา” จากโครงการเพื่อการพัฒนาชนบท เพื่อช่วยเหลือผู้ยากจน ให้สามารถดำรงชีวิตต่อไปได้ด้วยตัวเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทฤษฎี “เศรษฐกิจพอเพียง” (Sufficiency Economy) อันเป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยทุกระดับ ตั้งแต่ครอบครัว ชุมชน จนถึงรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศ ให้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของทางสายกลาง คำนึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว ตลอดจนใช้ความรู้ ความรอบคอบ เพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลภาภิวัฒน์ โดยยึดหลัก ความพอประมาณ ความมีเหตุผล และคุณธรรม ความมีเหตุผลรวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควรต่อการมีผลกระทบใดๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว กว้างขวาง ทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี
ล่าสุด โคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติได้เข้าเฝ้าทูลเกล้าฯ ถวายรางวัล Special Lifetime Achievement Award แก่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2549
ทั้งหมดนี้ สะท้อนได้ว่า พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศ โดยเฉพาะพลังของประชาชนที่ร่วมกันถวายความจงรักภักดีในครั้งนี้ จึงเป็นที่ประจักษ์แก่โลกแล้วว่า พระองค์คือดวงใจของแผ่นดิน ที่ทรงสถิตอยู่ในใจชาวไทยตลอดกาล