“พรรคไทยรักไทยเหรอ ไม่ต้องถึงกับรีแบรนด์หรอก แค่เปลี่ยนสินค้าใหม่ ที่อยู่ในชั้นของเก้าอี้นายกรัฐมนตรี จาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาเป็นคนอื่น อย่างดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ก็ได้แล้ว” เกจิอาจารย์นักการตลาดคนหนึ่งให้ความเห็น ท่ามกลางกระแสต้านระบอบทักษิณ ตั้งแต่ต้นปี 2549
ไม่เพียงนักการตลาดเท่านั้น แต่บรรดานักธุรกิจ ภาคเอกชนเจ้าของธุรกิจ ต่างก็ขานรับ ”สมคิด” กันทั้งนั้น ซึ่งนับเป็นท่าทีที่ชัดเจนครั้งแรกของนักธุรกิจที่ปฏิเสธ ”ทักษิณ” หลังลดกระแสด้วยการประกาศเว้นวรรคทางการเมืองเมื่อต้นเดือนเมษายน 2548 พร้อมกับกระแสข่าวว่า ”สมคิด” คือบุคคลที่เหมาะสมที่สุด
จากนั้น หลายวันต่อมาก็ปรากฏความเห็นจากผู้คนวงการต่างๆ จำนวนมากทั้งเอกชน และแวดวงนักวิชาการ
“ธนวรรธน์ พลวิชัย” ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2549 ว่า ”ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รักษาการรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวพาณิชย์ เป็นผู้ที่มีความเหมาะสมมากที่สุดในขณะนี้ เนื่องจากไม่มีข้อผูกพันทางการเมือง เป็นคนทำงานเชิงเศรษฐกิจ สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศได้ และที่สำคัญเชื่อว่าจะเป็นผู้ประสานในการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้”
วันเดียวกันนั้น “พรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล” รองเลขาธิการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ให้ความเห็นว่า “นายกรัฐมนตรีคนต่อไป ถือว่า ดร.สมคิด มีความเหมาะสมที่สุด เพราะมีความรู้ความสามารถ”
“ขอชื่นชม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ที่ได้แสดงสปิริตประกาศเว้นวรรคทางการเมือง ทำให้สถานการณ์ที่อึมครึมคลี่คลายไปได้ และทุกฝ่ายจะได้กลับไปทำงานกันต่อ ซึ่งตามรัฐธรรมนูญแล้วคนในพรรคไทยรักไทยต้องเป็นนายกรัฐมนตรี โดยหากเป็นนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ถือว่ามีความเหมาะสม เพราะเป็นผู้ที่มีความรู้ทางด้านเศรษฐกิจและการเงินการคลัง” นินนาท ไชยธีรภิญโญ ประธานคลัสเตอร์ยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) แสดงทัศนะ เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2549
หรือแม้กระทั่งวงการสื่อมวลชนเอง ต่างก็ยอมรับ ”สมคิด” ให้นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี หลังพิสูจน์ผลงานจากการนั่งเก้าอี้ทางการเมืองตำแหน่งแรกเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก่อนย้ายเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แถมควบรองนายกรัฐมนตรีดูแลงานด้านเศราฐกิจ เพราะลักษณะที่เป็นคนจริงจัง เมื่อสนใจและเข้าไปจับงานชิ้นใดแล้ว จะมีความชัดเจนว่าต้องบรรลุเป้าหมาย และไม่ใช่สไตล์วันแมนโชว์ แต่จะแบ่งงานให้ผู้รับผิดชอบทำงานเต็มที่ และเช่นกัน จะติดตามงานหรือภาษาชาวบ้านคือเรียกว่า ”จี้” ผู้ใต้บังคับบัญชาเต็มที่ หากพบว่าผลงานไม่ได้ตามเป้า ก็จะใช้หลักการสร้างพลังกระตุ้นให้ทำงานให้ได้ เรียกว่าเป็น ”ผู้ที่รู้จักใช้คนและบริหารคน” เพราะฉะนั้นงานทุกอย่างจะไม่กระจุกอยู่ที่คนใดคนหนึ่ง
แต่จุดอ่อนของ ”สมคิด” คือประสานการเมืองไม่ได้
ข้อนี้เองทำให้หลังจากชื่อของ ”สมคิด” ปรากฏเป็นสินค้าใหม่ของพรรคไทยรักไทย กลับไม่ได้รับการขานรับจากพลพรรคในไทยรักไทย อย่างดีก็มีเพียงการให้ความเห็นจากระดับแกนนำบางคนแค่ว่า “ยังไม่ได้มีการหารือกันในพรรค”
พร้อมๆ กับแคนดิเดต ที่ถูกส่งออกมาจากมุ้งต่างๆ ในพรรคเพื่อออกมาช่วงชิงเก้าอี้ ทั้งที่โดยลึกลงไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครจะมานั่งแทนที่พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะแม้ว่าประกาศเว้นวรรคไปแล้ว แต่ก็เป็นที่รู้กันว่าเป็นเพียงการลดกระแส
แต่ใครเล่าจะไปรู้ ”อนาคต”
เหมือนอย่างที่เด็กชายคนหนึ่งที่เติบโตมาจากครอบครัวคนจีนขนานแท้ มีพี่น้อง 10 คน บิดาเป็นพ่อค้าขายของแถวถนนทรงวาดเยาวราช ถูกยกให้เป็นบุตรบุญธรรมของอาหญิงที่มีลูกเพียงคนเดียว มีโอกาสได้ศึกษาเล่าเรียนจนจบที่คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กว่าจะดั้นด้นไปเรียนต่อต่างประเทศได้ต้องผ่านความผิดหวังอย่างน้อย 2 ครั้ง และเมื่อไปใช้ชีวิตต่างแดนก็ต้องกระเบียดกระเสียร ไม่ได้กินมือเช้า สามารถจบด็อกเตอร์ ผ่านประสบการณ์การทำงานมามากมาย จนวันหนึ่งได้เป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (ทนง พิทยะ) และวันหนึ่งได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอง บริหารเงินงบประมาณปีหนึ่งไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้านบาท กระทั่งวันนี้ ”เก้าอี้นายกรัฐมนตรี” อาจอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
“สมคิด” เคยให้สัมภาษณ์พิเศษเกี่ยวกับชีวิตของตัวเองอย่างละเอียดในมติชนสุดสัปดาห์ ส่วนหนึ่งว่ามีบุคคลระดับปรมาจารย์สอน อย่างอาจารย์อัมมาร์ สยามวาลา อาจารย์รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ ระหว่างการเรียนที่ธรรมศาสตร์ จังหวะเดียวกับเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ และ 6 ตุลาฯ ที่เขาได้ผ่านมา ทำให้ได้เห็นบรรยากาศการเดินขบวนเรียกร้องประชาธิปไตย การเรียนวิชาพื้นฐานที่เด็กธรรมศาสตร์เรียนรวมกัน ทำให้เด็กรับทราบว่าสังคมต้องมีความแฟร์ ต้องสนใจคนจน
“เชื่อไหม เพลงผมร้องไม่เป็นเลย ร้องเป็นแต่เพลงคนกับควาย ลูกคนโตเนี่ย ผมร้องแต่เพลงนี้กล่อมอย่างเดียวเลย และหลับ คนเล็กร้องเปิบข้าว ร้องอยู่ 2 เพลง นกสีเหลืองมันร้องยาก ส่วนเพลงอื่นร้องไม่เป็น”
หรือแม้กระทั่งเพลงยูงทอง เขาเองก็ยังร้องไม่จบเพลง
“สมคิด” พลาดการเรียนต่างประเทศครั้งแรก แม้ว่าจะได้รับการตอบจากมหาวิทยาลัยแล้ว เพราะไม่มีเงินพอ เขาเริ่มทำงานที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แต่ลาออกพร้อมกับเรียนเอ็มบีเอ วิชาเอก การเงิน ที่นิด้า ที่มี ”ทนง พิทยะ” เป็นอาจารย์สอนอยู่ แต่เขายังถวิลหาการไปเรียนที่ต่างประเทศ จึงสอบชิงทุน ก.พ. ครั้งแรกได้ 2 ทุน ต้องมีเหตุทางบ้านไม่พร้อมทำให้เขาต้องสละทุน จึงยังเรียนต่อที่นิด้า ปีถัดมาก็สอบชิงทุนอีก ได้ 9 ทุน เขาเลือกทุนของนิด้า เพราะเป็นทุนปริญญาเอก และไปเรียนด้านมาร์เก็ตติ้ง แม้เขาจะไม่ชอบ และอยากเรียนด้านการเงินมากกว่า
แต่เพราะการเดินทางสู่สายวิชาการด้านการตลาด ทำให้เขาได้โอกาสอย่างที่น้อยคนนักจะได้รับ คือการได้เรียนรู้โดยตรงจากอาจารย์ Phillip Cotler กูรูด้านวิชาการตลาด แห่งKellogg Graduate School of Management มหาวิทยาลัย Northwestern สหรัฐอเมริกา และร่วมกันเขียนตำราด้านมาร์เก็ตติ้ง 2 เล่ม คือ The new Competition วางตลาดเมื่อปี 2538 และในเวลาต่อมาเรียบเรียงเป็นภาษาไทย ชื่อ ”การตลาดเชิงกลยุทธ์” The Marketing of Nation ซึ่งเล่มหลังนี้มี ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ ลูกศิษย์ของ ”สมคิด” ร่วมอยู่ด้วย
ตามแนวคิดของ Cotler ที่ว่าการตลาดสามารถนำมาใช้ในระดับประเทศได้ ซึ่งในที่สุดแล้ว The Marketing of Nation แม้จะไม่ประสบการความสำเร็จในแง่ยอดขายเท่าไหร่นัก แต่ที่สำเร็จอย่างไม่สามารถประเมินค่าได้คือ กลายเป็นร่างพิมพ์เขียวของนโนบายพรรคไทยรักไทย ในการหาเสียงพัฒนาประเทศของไทย
แนวคิดของ ”สมคิด” ยังปรากฏผ่านสื่อต่างๆ อีกหลายฉบับในแนวหัวหนังสือธุรกิจยุคนั้น ที่เป็นข้อเขียนชนิดที่จับต้องได้จริงทั้งในด้านการตลาด และการจัดการ ทำให้ ”สมคิด” เป็นที่ยอมรับของนักธุรกิจในวงกว้าง เพราะข้อเขียนของเขาล้วนมาจากประสบการณ์ที่เขาได้เรียนรู้โดยตรง
“สมคิด” รู้จักวงการตลาดหุ้นเป็นอย่างดี เพราะผ่านการทำงานด้านวิเคราะห์อย่างหนักต่อเนื่องเป็นเวลา 7 ปี ที่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ภัทรธนกิจ ที่เห็นว่าคนเล่นหุ้นควรดูปัจจัยพื้นฐาน ไม่ใช่ดูด้านเทคนิคเส้นกราฟเพียงอย่างเดียว ที่นี่เองเขาได้นำเทคนิคของไมเคิล อี พอร์ตเตอร์ นักวางกลยุทธ์ระดับโลก ที่เขาได้อ่านมามาก มาใช้ประกอบการวิเคราะห์หุ้นแต่ละตัว คือ การวิเคราะห์อุตสาหกรรม และการวางตำแหน่งเชิงแข่งขัน และการวิเคราะห์คู่แข่ง ที่สำคัญกว่านั้นคือเขาได้มีโอกาสรู้จักผู้บริหารของบริษัทต่างๆ ในตลาดหลักทรัพย์ฯ อันเป็นคอนเนกชั่นที่สำคัญในเวลาต่อมา
เขามีโอกาสได้เห็นกลยุทธ์ทางการจัดการที่ได้ผลอย่างเห็นได้ชัดจากกลุ่มสหพัฒน์ฯ ขณะที่เขาเป็นคณะกรรมการพิจารณารับหลักทรัพย์
“ชีวิตผมเปลี่ยนอีกครั้งก็ตอนเจอนายกฯทักษิณ”
ขณะที่พ.ต.ท.ทักษิณรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในโควต้าพรรคพลังธรรม ได้ชวนให้ ”สมคิด” มาเป็นที่ปรึกษาส่วนตัว ต่อเนื่องเมื่อพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นรองนายกรัฐมนตรี และที่นี่เองทำให้เขาได้อีกทักษะหนึ่งคือการเรียนรู้ทำงานกับข้าราชการ ซึ่งนักการเมืองต้องเรียนรู้การทำงานจากข้าราชการ
แน่นอนเมื่อพ.ต.ท.ทักษิณตั้งพรรคการเมือง และร่างนโยบายของพรรค ที่คิดถึงเรื่องการปฏิรูปโครงสร้าง พูดถึงการกินดีอยู่ดีของประเทศ ซึ่งแน่นอนต้องมีกลยุทธ์ อันเป็นศาสตร์ที่เชี่ยวชาญของ ”สมคิด”
นโยบายเอื้ออาทร ประชานิยม การดึงดอกเบี้ยให้ต่ำเพื่อกระตุ้นการลงทุน การลดภาษีการโอนบ้าน จึงเป็นผลพวงหนึ่งของกลยุทธ์ อันนำมาซึ่งชัยชนะของไทยรักไทย และพ.ต.ท.ทักษิณได้นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี
“สมัยผมเรียน มาร์เก็ตติ้งเรียนอะไรรู้มั้ย ผมต้องเรียนจิตวิทยาเพื่อให้รู้ว่าคนคิดอะไร ผมเรียนไม่รู้เรื่องเลย แต่การวิเคราะห์คู่แข่งหรือกลยุทธ์สำคัญ มันเหมือนการเล่นหมากรุก หมากรุกไม่สามารถเอาชนะได้ด้วยตัวเอง คุณต้องรู้ว่าคู่แข่งคิดอะไร ในหนังสือพอตเตอร์บอกว่า การเดาใจคนหนึ่งคุณต้องรู้ว่า Current Strategy เขาคืออะไร ปัจจุบันเขาทำอะไร ต่อไป Future of Objective เป้าหมายเขาคืออะไร ดู Assumption เขา ถ้าอ่านได้ท่านรู้ทันทีว่าเขาเดินอะไร แต่เขาเดินไกลแค่ไหน ขึ้นกับ Limitation ข้อจำกัดของเขา ถ้าคุณรู้ทั้งหมด คุณกุมทิศทางได้ นี่ละมาร์เก็ตติ้ง เพราะฉะนั้นเวลารณรงค์หาเสียง พรรคคู่แข่งมีจุดอ่อนอะไร ปมเด่นอะไร จะชนะเขาต้องทำไง คู่แข่งคนสำคัญของเราคือใคร เขาสามารถเล่นบทบาทนี้ได้หรือไม่ ต้องพล็อตออกมา และวางกลยุทธ์”
ตอนหนึ่งที่ ”สมคิด” ให้สัมภาษณ์ในมติชนสุดสัปดาห์
แน่นอนเมื่อเขาสามารถวางกลยุทธ์ให้ใครต่อใครมามากมาย รวมทั้งส่ง ”พ.ต.ท.ทักษิณ” ถึงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีมาแล้ว ก็คงไม่ใช่เรื่องยากที่เขาจะวางกลยุทธ์ให้ตัวเอง เพื่อถึงเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เพียงแต่ว่า เขาจะทำหรือไม่เท่านั้นเอง
Profile :
Name : สมคิด จาตุศรีพิทักษ์
Born : 15 กรกฎาคม 2496 จังหวัดกรุงเทพมหานคร
Education :
– ปริญญาตรี เศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
– ปริญญาโท (การเงิน) สถาบันบันฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)
– ปริญญาเอก (บริหารธุรกิจ) มหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทอร์น สหรัฐอเมริกา
Career Highlights:
– -ที่ปรึกษาสร้างศูนย์ตลาดทุน บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ภัทรธนกิจ
– กรรมการบริษัทไอซีซี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
– กรรมการ เครือสหพัฒนพิบูล
– รองประธานกรรมการบริษัทน้ำมันพื้นไทย จำกัด
– กรรมการในอนุกรรมการพิจารณารับและเพิกถอนหลักทรัพย์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
– ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (ดร.สม จาตุศรีพิทักษ์ พี่ชาย)
– ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร)
– ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (พ.ต.ท.ทักษิณชินวัตร)
– เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (ทนง พิทยะ)
– รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (4 สมัย คือ ปี 2544, 2545, 2547, 2548)
ปัจจุบัน
– รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และรองนายกรัฐมนตรี
Status : สมรส ภรรยา นางอนุรัชนี จาตุศรีพิทักษ์



