วิธิต อุตสาหจิต ขายหัวเราะ

ย้อนหลังไป 30 ปีคงไม่มีใครไม่รู้จักหนังสือการ์ตูน “ขายหัวเราะ” และ “มหาสนุก” ที่มีเหล่าแฟนคลับทั้งรุ่นเยาว์รุ่นใหญ่ติดกันงอมแงมไปทั่วเมือง นั่นเกิดจากไอเดียที่แตกต่างของ “วิธิต อุตสาหจิต” บรรณาธิการและผู้ก่อตั้งหนังสือการ์ตูน “ขายหัวเราะ” หรือที่รู้จักกันในนาม “บ.ก.วิติ๊ด”ลูกชายคนโตของ “บันลือ อุตสาหจิต” เจ้าครอบครัวธุรกิจโรงพิมพ์กลุ่มบรรลือสาส์น 1 ใน 5 สำนักพิมพ์ขนาดใหญ่ของไทย

“ผมเริ่มต้นการ์ตูนขายหัวเราะครั้งแรกในปี 2516 ตอนนั้นวาดเอง และเขียนเองจากแก๊กสนุกๆ ที่เรามี โดยออกวางขายเล่มแรกไซส์ขนาดใหญ่เท่ากระดาษ A4 ราคาเล่มละ 5 บาท ปรากฏว่าขายดิบขายดี จนอีก 2 ปีต้องออกเล่มใหม่ในเครือเป็นมหาสนุก เพื่อขยายกลุ่มผู้อ่านให้กว้างขึ้น จนอายุขายหัวเราะครบ 8 ปีจึงลดไซส์ให้เท่าขนาดปัจจุบัน แล้วเพิ่มราคาเป็น 12 บาท และเพิ่งเพิ่มเป็น 15 บาทในช่วง 2-3 เดือนมานี้”

วิธิต เข้ามารับช่วงต่อธุรกิจจากบิดา หลังสำเร็จปริญญาตรีด้านฟิล์มจากอังกฤษ เพื่อรับหน้าที่เป็นหัวเรือใหญ่ขับเคลื่อนธุรกิจโรงพิมพ์ และหนังสือขายมุกในกลุ่มบรรลือสาส์นประมาณปี 2520 ก่อนจะประเดิมงานภาพยนตร์ในฐานะผู้กำกับเรื่อง “ผีหัวขาด” ให้กลุ่มบรรลือสาส์นในปี 2521 และร่วมผลิตหนังอื่นๆ เกือบ 20 เรื่องแต่ต้องใช้ทุนสูง เขาจึงเลือกงานสิ่งพิมพ์เป็นหลัก และทยอยคลอดหนังสือขายความสุขเล่มใหม่ๆ ออกมาเติมช่องว่างให้ครอบคลุมกลุ่มผู้อ่านมากขึ้น

ตั้งแต่การ์ตูนต้นแบบ “ขายหัวเราะ” ที่เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย หรือ “มหาสนุก” ที่เน้นความฮาในฉบับครอบครัวมากขึ้น ตามด้วย “สาวดอกไม้กะนายกล้วยไข่” หรือ “หนูหิ่น อินเตอร์”ที่เจาะกลุ่มวัยใสและวัยทำงาน หรือ “ปังปอนด์” ที่มีแฟนคลับรุ่นเล็กที่ชื่นชอบความทะเล้นของไอ้ตัวเล็ก ทั้งรูปแบบหนังสือและการ์ตูนแอนิเมชั่นไม่แพ้การ์ตูนทะเล้น “ชินจัง” จากญี่ปุ่นจนวันนี้สามารถขยายตลาด “ปังปอนด์” ไปสู่จีน

“ตอนนี้ปังปอนด์ได้รับความนิยมมากในจีน สังเกตจากตอนไปร่วมออกบูธในงานแอนิเมชั่นที่ CCTV จัด มีแฟนคลับมารุมชมบูธ และซื้อสินค้า อาทิ เสื้อ สมุด กระเป๋าที่ติดมีคาแร็กเตอร์ “ปังปอนด์” เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะแฟนคลับตัวเล็ก ระดับประถมศึกษา จนรัฐบาลจีนเลือกปังปอนด์เป็นทูตวัฒนธรรมที่นั่น”

กระทั่งวันนี้ “หนูหิ่น อินเตอร์” ที่มีเสน่ห์ของเรื่องราวผู้จัดการบ้านแสนฮากับเจ้านายสาวแสนสวย ด้วยการสื่อวิถีชีวิตในสังคมไทยจนกลายเป็นขวัญใจแม่บ้าน สาวทำงาน ตลอดจนผู้นิยมบริหารต่อมฮา ได้ปรับคอนเทนต์ไปขายในรูปแบบฟิล์ม “หนูหิ่น เดอะ มูฟวี่”จนสามารถโกยรายได้ 80 ล้านบาทในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

วิธิต ปรากฏตัวในชุดเสื้อเชิ้ตสีชมพู กางเกงสแลคสีดำ ผูกไทสีแดง สวมรองเท้าคัตชูขัดมันสีดำ เขาเป็นชายวัยประมาณ 50 ต้นๆ รูปร่างท้วม ผิวขาว ผมสองสี หน้าผากกว้าง สวมแว่นตาขนาดใหญ่ขอบหนาเต๊อะ ใบหน้ายิ้มแย้มต้อนรับ POSITIONING ในฐานะผู้มาเยือนอย่างเอ็นดู สร้างความรู้สึกแตกต่างจาก บก.วิติ๊ดในจินตนาการที่เคยรู้จักในการ์ตูน “มหาสนุก” ที่เหล่านักเขียนต่างปั้นคอนเทนต์เขาเป็น บ.ก.เสียงดุได้อย่างเกินจริง

“นี่เป็นหนังสือเล่มแรกในรอบรายปีที่ผมมีเวลาให้สัมภาษณ์” วิธิตบอกด้วยรอยยิ้มปนหัวเราะอย่างอารมณ์ดี พร้อมเริ่มบทสนทนาเกี่ยวกับสถานการณ์ตลาดสิ่งพิมพ์กับ POSITIONING อย่างผู้มีประสบการณ์ ด้วยบุคคลิกของนักธุรกิจ แต่ยังแฝงจิตวิญญาณของคนทำหนังสือ ก่อนจะย้อนมาเล่าถึงบทบาท และโฟกัสธุรกิจของครอบครัวบันลือสาส์นอย่างมีความสุข

“ผมเริ่มต้นทำ “ขายหัวเราะ” ตอนอายุ 18 ปี ช่วงที่เรียนอยู่พณิชยการพระนคร เพราะเห็นโอกาสในตลาดที่มีการ์ตูนแนวนี้อยู่น้อยมากมีเพียง “ต่วยตูน” แต่ผมว่ายังไม่ใช่ และคิดว่าแนวขายหัวเราะต้องโดน และขายได้จริงๆ”

ตั้งแต่เด็ก วิธิตชื่นชอบงานเขียนการ์ตูน ลายเส้น และคลุกคลีอยู่กับงานโรงพิมพ์ของครอบครัว “บันลือสาส์น” ที่แม้จะมีพี่น้องทั้งหมด 9 คน แต่ในฐานะลูกชายคนโต เขาไม่ยอมอยู่นิ่งที่จะช่วยแบ่งเบาภาระครอบครัว เขาเริ่มต้นเรียนหนังสือที่ โรงเรียนสตรีจุลนาค จนมัธยมศึกษาตอนต้อน แล้วย้ายมาเรียนต่อสายวิชาชีพที่โรงเรียนพณิชยการพระนคร ตรงนี้สร้างโอกาสให้เข้าได้เรียนรู้ และเข้าไปฝึกงานด้านฟิล์ม โดยเข้าฝึกงานกองถ่ายภาพยนตร์ ก่อนจะไปตัดสินใจไปเรียนทำหนังจริงที่ London College ประเทศอังกฤษ

“ช่วงซัมเมอร์ผมกลับมาฝึกงานกองถ่าย และร่วมกำกับหนังในไทย สนุกนะ เราทำงานเต็มที่จนถูกชวนให้ไปร่วมงานในฮอลลีวู้ดที่อเมริกา แต่ผมต้องเลือกกลับมารับช่วงธุรกิจครอบครัว และวันนี้ไม่เสียใจที่เลือกทิ้งโอกาสนั่น เพราะวันนี้ผมมีความสุขกับปัจจุบัน”

ซึ่งวิธิตบอกว่าเป้าหมยสูงสุดในชีวิต คืออยากทำให้กลุ่มบรรสือสาส์นสามารถผลิตงาน การ์ตูนได้ครอบคลุมทุกรูปแบบ คล้ายกับวอลท์ ดิสนีย์

“ผมอยากเป็นวอลท์ ดิสนีย์เมืองไทย”เขาบอกอย่างอารมณ์ดี

นั่นเพราะจุดเด่นของมุกฮาๆ ของตัวละครมากมาย ตั้งแต่ “ขายหัวเราะ” หรือ “มหาสนุก” และ “หนูหิ่น” ที่กลั่นไอเดียมาจากทีมนักเขียนทั้งเก่า และใหม่ร่วม 30 ชีวิต เพื่อผลิตการ์ตูนลายเส้นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และถ่ายทอดออกมาเป็นแก๊กฮาหลุดโลกในปัจจุบัน

“ผมโชคดีที่มีนักเขียนหลากหลาย แต่ละคนมีความถนัดต่างกัน เช่นคุณต่าย จะเด่นเรื่องแก๊ก คุณนิค เด่นเรื่องลายเส้นและการหักมุม คุณหมู ถนัดเรื่องสั้นและตลกแนวเสียดสี คุณเอ๊าะ เน้นแนววัยรุ่นและภูมิปัญญาอีสาน คุณเฟน สนุกกับการล้อเลียน และคุณขวด มีความสามารถด้านการ์ตูนดีไซน์ ในฐานะ บ.ก. ผมพยายามส่งเสริมและผลักดันให้แต่ละคนค้นพบตัวเอง และพัฒนางานให้ดีขึ้น”

พร้อมเล่าถึงการทำงาน “ตอนนี้ผมไม่ลงรายละเอียดมากนัก แต่ยังเลือกส่งมุกต่อให้นักเขียนรุ่นใหม่ๆ เพื่อให้เขามีโอกาสต่อยอด และสื่อแก๊กความฮาออกมาแล้วขายได้ เพราะผมไม่มีเวลาเขียนเอง ส่วนนักเขียนรุ่นแรกๆ ชั่วโมงบินสูง เขารับผิดชอบ และผมมั่นใจว่าขายได้ ผมให้อิสระในการคิดเขาเต็มที่ แต่ยังคงต้องใส่ใจในคอนเซ็ปต์อยู่”

ทุกวันนี้ บ.ก.ร่างท้วมสวมแว่นตาหนาเตอะท่านนี้ มักจะถูกนำมาล้อเลียนเป็นภาพวาดการ์ตูน “มหาสนุก” อยู่เป็นประจำ ตั้งแต่ในอดีตจนแฟนคลับรู้จักในนาม “บ.ก.วิติ๊ด” ไม่เว้นแต่ลูก 5 คนที่วิธิตวางคอนเซ็ปต์ให้แต่ละคนเป็นคาแร็กเตอร์การ์ตูนหัวใหม่ๆ ที่แตกไลน์เพิ่มขึ้น

รวมทั้งใช้ชื่อลูกเป็นชื่อ 5 แผนกของธุรกิจในกลุ่มบรรสือสาส์น อาทิ แผนกนิวมีเดีย (New Media Love Story) เน้นผลินหนังสือที่มีเนื้อหาสนุกสนาน รักโรแมนติกใสๆ หรือแผนกนาวมีเดีย และแนตตี้ มีเดีย (Natty Media Cute Story) ดูแลการผลิตหนังสือแนวเอ็ดดูเทนเมนต์สำหรับเด็กโดยเฉพาะ เป็นต้น และลูกๆ ทุกคนก็ไม่เว้นถูกนำมาเขียนเป็นการ์ตูนหัวใหม่ๆ ที่ทยอยผลิตเพิ่มขึ้น

“ตอนนี้ลูกสาวคนโตอายุ 16 ปี เขาเก่งด้านภาษา ถนัดงานด้านการแปล คนรองชอบงานด้านออกแบบกราฟิก ส่วนแฝดชายสองคนสนใจด้านเทคโนโลยี และลูกสาว 1 ในแฝด 3 อายุ 12 ปี กำลังฝึกให้สนใจงานพีอาร์ เพราะเขาชอบพูดคุย อัธยาศัยดี ชอบพบปะผู้คน” วิธิตบอกปนหัวเราะ

นั่นเพราะเขาต้องการวางรากฐานธุรกิจ 5 บริษัทกลุ่มบรรลือสาส์น และบริษัทน้องใหม่ในเครือ “วิธิตา แอนิเมชั่น” อายุเพียง 5 ปี เพื่อตั้งขึ้นมาเป็นหัวหอกรุกงานด้านนิวมีเดีย และแอนิเมชั่น ตลอดจนประสานการทำตลาดเรื่องฟิล์มในปัจจุบัน รวมทั้งเตรียมโอนถ่ายธุรกิจครอบครัวไปสู่ยุคที่ 3 ในอนาคต

แม้วันนี้วิธิตต้องการพรีเซนต์ธุรกิจกลุ่มบริษัท บรรลือสาส์นใหม่ในภาพที่เป็นอินเตอร์มากขึ้น ด้วยลงทุนเทคโนโลยีใหม่ อาทิ ห้องตัดต่อ ห้องอัดเสียง ห้องพากย์ โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยบริหารจัดการ เพื่อลดต้นสร้างช่องทางใหม่ๆ ในการผลิตคอนเทนต์ที่พร้อมป้อนตลาดทั้งในและต่างประเทศหลากหลายขึ้น

อาทิ เตรียมออนแอร์การ์ตูน “ปังปอนด์” ซีรี่ส์ใหม่ทางช่อง 3 ในเดือนปลายเดือนสิงหาคมนี้ และเตรียมการ์ตูน “สามก๊ก”ออนแอร์ต่อเนื่องกับช่อง7 หลังจากขายลิขสิทธิ์การ์ตูน“สามก๊ก”แปลเป็นภาษาเกาหลี เพื่อทำตลาดในต่างประเทศ รวมทั้งเซ็นสัญญากับ CCTV สถานีโทรทัศน์ของรัฐบาลจีน เพื่อนำการ์ตูนปังปอนด์ไปฉายที่นั่น

“ทุกวันนี้ผู้อ่านช่วยเราเยอะมาก ช่วยตอบแบบสอบถาม ส่งมุกเข้ามาร่วมสนุก และติชม รวมทั้งเสนอความต้องการรูปแบบใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา มุกดีๆ ของเราหลายมุกได้มาจากผู้อ่าน แต่ต้องประยุกต์ให้สั้น เข้าใจง่าย อ่านแล้วฮาวันนี้ไม่ต้องคิดต่อ แต่ละวันมีจดหมายจากผู้อ่านหลายร้อยฉบับ”

นี่พอการันตีได้ว่าการ์ตูน “ขายหัวเราะ” และ “มหาสนุก” รวมทั้งหนังสือในเครือบรรลือสาส์นยังคงความคลาสสิก และไม่ทิ้งกลิ่นอายลายเส้น และเสียงหัวเราะในอดีต ที่ยังครองใจแฟนคลับอารมณ์ดีได้ตลอดกาล

ต่างตรงที่รูปแบบการนำเสนอคอนเทนต์ที่หลากหลายขึ้น เพื่อปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย อาทิ นำการ์ตูน “ขายหัวเราะ” ไปให้บริการเป็นมือถือ เป็นต้น

“ความสำเร็จของบรรสือสาส์นที่รักษาตำแหน่งผู้นำตลาดการ์ตูนแนวสนุกสนาน และเป็นการ์ตูนของคนไทยมาตลอดกว่า 30 ปี เพราะเรามาถูกทาง มองต่างจากคู่แข่ง และพัฒนาผลงานต่อเนื่อง ไม่เคยหยุดนิ่งอยู่กับที่”

วันนี้ “วิธิต” ยังคงทำหน้าที่พ่อบ้าน “ครอบครัวมหาสนุก” ควบคุมการผลิตคอนเทนต์กระตุกต่อมฮาต่อไป

Profile

Name : วิธิต อุตสาหจิต
Born : 2497 (ปัจจุบันอายุประมาณ 52 ปี)
Education :
– มัธยมศึกษตอนต้น จากโรงเรียนสตรีจุลนาค
– ประกาศนียบัตรทางวิชาชีพ (ปวช.) จากโรงเรียนพณิชยพระนคร
– ปริญญาตรีด้าน Film Making จาก London College
Career Highlights:
– 2516 บรรณาธิการและผู้ก่อตั้งหนังสือการ์ตูน “ขายหัวเราะ”
– 2521 ผู้กำกับภาพยนตร์ไทยเรื่อง “ผีหัวหาด”
– 2449 ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ หนูหิ่น เดอะ มูฟวี่
ปัจจุบัน
– ประธานกรรมการ บริษัท วิธิตา แอนิเมชั่น จำกัดในเครือบรรลือสาส์น
– กรรมการผู้จัดการ 5 บริษัทในกลุ่มบรรลือสาส์น
Family : สมรสกับ “โชติกา อุตสาหจิต” ปัจจุบันมีบุตร 5 คน หญิง 3 คน และชาย 2 คน (สามคนสุดท้ายเป็นแฝด)
Honor : ที่ปรึกษาสมาคมการพิมพ์ไทย