ตือ-สม-บัด-สะ-ระ ออกาไนเซอร์ไฮโซ

ตือ-สมบัษร ถิระสาโรช จากการร่ำเรียนด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์ ผ่านงานบริษัทใหญ่ทั้งลีโอเบอร์เน็ท เซ็นทรัล และฟิล์ม แฟคตอรี่ มาแล้ว ประสบการณ์ที่สั่งสมมาบ่มเพาะความเชี่ยวชาญของการเป็น “นักคิด” ผู้ไม่เคยหยุดนิ่งที่จะแสวงหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ ให้กับชีวิต

เขาเลือกเปิดบริษัท ตือ จำกัด เมื่อ 9 ปีที่ผ่านมา และสร้างชื่อจนกลายเป็น The most wanted organizer ลำดับต้นๆ ของเมืองไทย เป็นการสร้างแบรนด์ สร้างรายได้จากตัวตนของเขาโดยแท้

ด้วยชื่อเสียงจากการอยู่ในแวดวงสังคมมานานกับการจัดอีเวนต์หรู ทำให้ชื่อของเขาไม่เคยจางหายไปเลย

ตือ…ไม่จำกัด

จาก Slylist House มาสู่ Event Organizer ที่โด่งดัง คาแร็กเตอร์ ตัวตนของตือถูกถ่ายทอดผ่านงานของบริษัทเขา เป็น “แนว” ที่ลูกค้าขาประจำชื่นชอบและร่วมงานกันอย่างต่อเนื่อง และเป็น “แนว” ที่ลูกค้ารายใหม่อยากให้มาเป็น Strategic Partner

เป็นออกาไนเซอร์ที่คิดต่างอย่างสร้างสรรค์ “พี่ว่าจุดต่างของเราอยู่ที่เป็นออกาไนเซอร์ที่ชำนาญในเรื่องไลฟ์สไตล์ของคน นำเรื่องของเทรนด์ แฟชั่น วัฒนธรรมและความเป็นคราฟท์แมนชิปมาใช้ให้เหมาะกับงานแต่ละชิ้น ยึดหลัก Human Insight” ตือบอกกับ POSITIONING ถึงจุดยืนที่แตกต่างของบริษัท และแน่นอนสะท้อนถึงตัวตนของเขาด้วย

งานส่วนใหญ่ของเขาจะมีกลิ่นอายเฉพาะตัว และส่วนใหญ่เป็นงานเปิดตัวของบรรดาแบรนด์เนมหรูและแฟชั่นโชว์ระดับบิ๊กอีเวนต์ ที่สร้าง Talk of the town อยู่เนืองๆ

อาจกล่าวได้ว่าภาพลักษณ์ที่ผู้คนส่วนใหญ่พบเห็น สรุปด้วยนิยามสั้นๆ ว่าเขาเป็น “ออกาไนเซอร์ไฮโซ”

แต่ตือออกตัวว่า “เราไม่ได้รับแต่งานไฮโซ หรูหรา งานเปิดตัวแชมพู ไอติมเราก็ทำ แต่คนคงติดภาพนี้ไปแล้วโดยปริยาย พอใครอยากทำงานพรีเมียมหน่อยก็เลือกเรา แต่ไม่ใช่ว่าพอลูกค้าอยากจัดงานหรูหรา เราก็ถลุงเงินเขาเป็นว่าเล่น แต่ที่เราทำคือให้คำปรึกษาถึงแนวทางที่ใช้เงินให้คุ้มค่า ไม่จำเป็นต้องเลี้ยงแขกหัวละ 2,000 บาท ก็หรูได้เหมือนกัน เราต้องดูวัตถุประสงค์ของงานเป็นหลัก ไม่ใช่สักแต่ใช้เงินอย่างเดียว”

โหยหาความรู้ทุกลมหายใจ

“พี่กลัวโง่” คำสั้นๆ ที่บ่งบอกถึงแรงขับเคลื่อนอันมหาศาล ในการแสวงหาความรู้อยู่ทุกขณะจิตของเขา

“ต้องอัพเดตตัวเองตลอดเวลา อยากรู้อยากเห็น ชอบคุยกับผู้คน มีเพื่อนตั้งแต่เด็กยันแก่ ชอบเดินทาง ชอบดูหนัง ยกเว้นหนังผี หนังสยองขวัญ เพราะชอบความสวยงาม เจริญหูเจริญตา (หัวเราะ) ชอบฟังเพลง ฟังได้ตั้งแต่หมอลำยันฮิพฮอพ จะว่าไปแล้วพี่เป็นคนที่ไม่หยุดนิ่ง ชอบแสวงหาสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ ในชีวิตและงาน ไม่ชอบอะไรที่ซ้ำซากจำเจ”

“พี่ชอบความตื่นเต้น แต่ไม่ขอใช้คำว่าท้าทาย เพราะท้าทายสำหรับพี่หมายถึงจะต้องปีนป่ายเขา (หัวเราะ )”

คำพูดดังกล่าวฉายภาพได้เด่นชัดยิ่งขึ้น เมื่อพิจารณาจากบ้านพักของเขาภายในชั้น 5 ของคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งแถบโชคชัยร่วมมิตร ที่เต็มไปด้วยหนังสือหลากชนิดจัดวางอย่างเป็นระเบียบอยู่เต็มชั้นที่ทอดยาวกินพื้นที่ห้องกว่า 1 ใน 3 จนเขาเปรียบเปรยติดตลกว่าเป็นโกดังมากกว่าเป็นบ้าน

“พี่อ่านหนังสือทุกแนว ทั้งหนังสือดีไซน์ แฟชั่น ท่องเที่ยว เดือน ๆ หนึ่งอ่านไม่ต่ำกว่า 40 เล่ม ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ว่างเมื่อไหร่ก็อ่านหนังสือ มันเป็นความเคยชิน เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต”

3 ใน 4 ส่วนของชีวิตเขา คือ งาน แต่โชคดีที่งานกับชีวิตส่วนตัวของเขาแถบจะหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกัน

“หน้าที่การงานต้องพบปะผู้คนมากมาย และสามารถทำงานได้ทุกที่ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านหนังสือ แม้แต่การเดินตามห้างสรรพสินค้าก็เป็นการทำงาน สามารถสร้างแรงบันดาลใจ จุดประกายไอเดียได้ ไม่จำเป็นต้องนั่งเครียดบนโต๊ะทำงานเสมอไป”

คอนเนกชั่น…สินทรัพย์ล้ำค่า

“แน่นอน คอนเนกชั่นที่เรามี เป็นสินทรัพย์ที่ต้องรักษาไว้ ทำให้เราได้งานได้ความเชื่อใจ ได้เพื่อน”

ทุกวันนี้แม้จะเป็นเจ้าของบริษัท แต่เขาเลือกที่จะพบปะและคุยงานกับลูกค้าด้วยตัวเขาเอง

“ในเมื่อพี่มีโอกาสมากกว่าคนอื่น ก็ต้องใช้โอกาสนั้นให้เกิดประโยชน์ที่สุด พี่จะคุยกับลูกค้าเอง จะไม่รับงานมาแล้วให้คนอื่นไปทำ จะไม่มีการเดาใจกันให้เสียเวลา เพราะลูกค้าเลือกเราเพราะต้องการเจอตัวตนของเรา เขามีความคาดหวัง เราก็ต้องทำให้เขาเต็มที่ จะได้แฮปปี้กันทั้งคู่”

และนั่นเป็นที่มาของการที่บริษัท ตือ จำกัด ไม่มีเออี ไม่มีการพิชงานใดๆ ทั้งสิ้น เนื่องจากลูกค้าทั้งหมดจะ Walk-in ด้วยความเชื่อมั่นในศักยภาพของเขาผู้เป็นหัวเรือใหญ่ จากคำเล่าขานแบบปากต่อปาก “บ่อยครั้งที่พี่ได้ลูกค้ามาเป็นเพื่อน ทุกวันที่ออกไปทำงานจะต้องมีเพื่อนกลับมาด้วยอย่างน้อย 1 คน”

ความฮอตของตือปรากฏให้เห็นชัดเจนในห้วงเวลาที่สรรพแบรนด์เนม พาเหรดเปิดตัวช็อปและงานแถลงข่าวต่างๆ ที่แห่กันมาใช้สยามพารากอนเป็นสถานที่จัดงาน เป็นเวลา 17 วัน ติดต่อกันที่เขาแทบจะกินนอนที่นั่น หรือแม้แต่งานบางกอก แฟชั่น วีค ที่ใช้เวลากว่า 7 วัน ทำแฟชั่นโชว์รวมกันกว่า 40 ชุด เป็นการกรำงานหนักที่เขาบอกว่าไม่รู้สึกเหนื่อย เพราะงานสำหรับเขาคือความสุข

ทุกวันนี้ แม้ชื่อเสียงและทรัพย์สินเงินทองจะมากมี สามารถใช้ชีวิตได้ดังใจปรารถนา แต่เขาเชื่อว่า ชีวิตยังต้องก้าวหน้าต่อไป

“พี่ไม่พูดเคยพูดนะ ว่าทุกวันนี้ประสบความสำเร็จแล้ว เพราะถ้าเราคิดว่าเราประสบความสำเร็จ เราจะหมดความอยาก และไม่พัฒนาตัวเองต่อไป”

เข้าสู่ปีที่ 10 แล้วสำหรับบริษัท ตือ จำกัด แต่ยังคงเป็นองค์กรที่คงความอบอุ่นเสมือนครอบครัวเดียวกัน และเคลื่อนไหวได้ปราดเปรียว โดยเขาบอกว่า “พี่ไม่ยอมให้องค์กรอ้วน ถ้าอ้วนจะไม่คล่องตัว จะเดินช้า และทุกคนที่ออฟฟิศคุยกันได้ทุกเรื่อง ไม่ต้องเกรงใจกัน สนิทกันมากและไม่เคยรู้สึกว่าเป็นนายคน”

แต่แน่นอนหลักเบื้องแรกของการทำธุรกิจคือ ต้องโต แม้ตือจะไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องเติบโตด้วยรายได้มหาศาล แต่เขาบอกว่ามีความสุขกับทุกงานที่ทำ การต่อยอดธุรกิจในอนาคตอาจจะมีขึ้นได้ขึ้นอยู่กับโอกาส แต่ ณ วันนี้เขาไม่คาดหวังอะไรในระยะยาวมากนัก เพียงแต่อยู่กับปัจจุบันและทำให้ดีที่สุด

“พี่ไม่ใช่คนซีเรียสขนาดนั้น พี่คิดวันต่อวัน การที่เราคิดอะไรยาวเกินไปมันจับต้องไม่ได้ เป็นมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว เหมือนกับการทำบุญพี่เลือกจะทำกับคนใกล้ชิด ให้กับคนที่มีชีวิตอยู่ตอนนี้มากกว่าที่จะทำบุญหวังผลชาติหน้า”

เรียบแต่หรูอยู่ในที

ภาพลักษณ์ของชายวัยกลางคนผมสั้น ร่างกะทัดรัด สวมใส่ยูนิฟอร์มเสื้อแจ็กเกตสีดำ เสื้อยืดคอวีสีขาว (บางครั้งสีดำ) กางเกงขาสี่ส่วนและรองเท้าหนัง พร้อมแว่นตาและทรงผมที่ผ่านการจัดทรงแบบ Out of bed ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของตือไปเสียแล้ว

“การแต่งตัวของพี่จะซ้ำๆ พี่อยากใช้เวลากับเรื่องนี้ให้น้อยที่สุด เอาเวลาไปคิดงานคิดอย่างอื่นมันเลยออกมาเหมือนเดิมทุกๆวัน ถ้าเกิดวันไหนใส่เสื้อผ้าสีสัน จะมีแต่คนเข้ามาทัก (หัวเราะ)”

แว่นตากว่า 30 อัน อีกทั้งแหวนหลากสีหลายแบบจำนวนเท่าๆ กันกับแว่นตา เป็นแอคเซสซอรี่อย่างที่เขาขาดไม่ได้ รวมถึงกระเป๋าแบรนด์เนมใบโตที่เรียงรายอยู่หลายสิบใบในห้องเก็บกระเป๋าและรองเท้า”