ปรากฏการณ์ AF3 จากตลาด Niche สู่ตลาด Mass

เป็นความจริงที่ว่า รายการเรียลลิตี้โชว์ที่ดังที่สุด และประสบความสำเร็จที่สุดในเมืองไทย คือ Academy Fantasia แม้จะเป็นความสำเร็จที่ไม่ได้เกิดจากมันสมองของคนไทย 100% แต่การซื้อลิขสิทธิ์รายการ La Academia เรียลลิตี้โชว์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดของเม็กซิโก และนำมาปรับใช้ให้ถูกรสคนไทย เป็นบทพิสูจน์ฝีมือของคนปั้นฝัน

ชื่อของ อรรถพล ณ บางช้าง ปรากฏเป็นข่าวตลอดช่วงระยะเวลา 2-3 ปีมานี้ นับจากความดังของ Academy Fantasia รุ่น 1 เป็นต้นมา ในฐานะของ Exclusive Producer ประจำรายการ และเขาเป็นผู้มีบทบาทสำคัญที่สุดในการคัดเลือกนักล่าฝันที่จะเข้าร่วมใช้ชิวิต กิน นอนและเรียนรู้ในบ้าน AF

เขาเปิดใจเล่าเรื่องราวถึงความเปลี่ยนแปลงของ AF จากรุ่น 1 สู่รุ่น 3 ในฐานะผู้บุกเบิกและคลุกคลีกับรายการนี้มาตั้งแต่ต้น และบางส่วนของการให้สัมภาษณ์กับ POSITIONING เมื่อกันยายน 2547 ได้กลายเป็นจริงในวันนี้แล้ว

“พอจบปีที่หนึ่ง รายการก็แค่เป็นตัวทำให้คนรู้จัก รายการปีที่สองและสามนั้นจะดังกว่าปีที่หนึ่ง เพราะเมื่อคนรู้จักก็อยากจะดูอีก ในขณะที่เด็กๆ ที่จบไปในปีแรก จะเป็นแม่เหล็กดูดให้คนมาดูยูบีซี จากการที่จะกลายเป็นศิลปินในสังกัด เป็นนักร้อง นักแสดง พิธีกร ต่อเนื่องเป็นลูกโซ่”

ก่อนจะได้นักล่าฝัน

อรรถพล บอกกับ POSITIONING ว่า เกณฑ์ในการคัดเลือก ไม่ได้ต้องการสรรหาคนที่หน้าตาดีเด่นอะไรมากมาย และใน “ไบเบิล” ที่ซื้อลิขสิทธิ์มาก็ไม่ได้กำหนดอะไรไว้ว่าจะต้องตั้งคาแร็กเตอร์ 12 แบบ และเลือกคนตามคาแร็กเตอร์นั้น

เป็นไปไม่ได้ที่จะเลือกคนหน้าตาแย่มากๆ เอามาใส่ไว้ในโชว์…ใครจะดู แต่เราเลือกคนที่หน้าตาใช้ได้และมีเสน่ห์ เลือกเพื่อเอาฝึกให้เห็นพัฒนาการ”

แม้เขาจะเป็นคนชี้เป็นชี้ตายว่าสุดท้ายแล้ว V1-V12 จะเป็นใคร แต่เขาก็ไม่เคยได้ใช้สิทธิ์ขาดที่ว่านั้นแม้เพียงครั้งเดียว เนื่องจากเขาบอกว่า คณะกรรมการ 5 คน ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนจากครูสอนเต้น ครูสอนร้องเพลง ครูสอนการแสดง ตัวแทนฝ่ายผลิต และตัวเขาเอง จะมีเซ้นส์ที่ใกล้เคียงกัน และเกินครึ่งของนักล่าฝันที่ผ่านมาจะได้รับคะแนน 5 แต้ม

เด็กเส้น…คำครหาที่หนักหน่วงใน AF3 ประเด็นคาใจนี้ อรรถพลชี้แจงว่า “ไม่มีเลย และมีไม่ได้ด้วย เพราะกรรมการ 5 คน ไม่มีใครมานั่งล็อบบี้ใคร แต่อาจจะมีการเชียร์กันเป็นการส่วนตัว หากรู้สึกชื่นชอบและประทับใจในคาแร็กเตอร์เป็นพิเศษ แต่ไม่มีการล็อกไว้ให้เด็กเส้นของใคร”

ซูมชีวิตจริง 24 ชม.

เมื่อครั้ง AF1 ที่ใช้กล้องฝังในฉากกว่า 60 ตัว ซึ่งเมื่อเข้าสู่ AF2 ก็ยังไม่มีความแตกต่างอย่างชัดเจน เนื่องจากยังใช้คลับเฮาส์ ที่สารินซิตี้ เป็นสถานที่ถ่ายทำเช่นเดิม เรื่องของมุมกล้องจึงไม่ใช่ลูกเล่นแปลกใหม่ และนักล่าฝันรุ่น 2 เริ่มเดาทางถูกว่าตรงไหนมีกล้องบ้าง และปัญหาสำคัญคือเรื่องเสียง ที่ยังไม่มีระบบจัดการที่ดีพอ รวมถึงการปล่อยให้เกิดการไร้คอนเทนต์ ของระยะทางไปกลับจากบ้านมายังคอนเสิร์ต ในปี 1

“ปี 1 กับ ปี 2 ใช้กล้องขนาดใหญ่ที่แบกถ่ายโดยช่างภาพน้อยมาก มุมกล้องจะกว้างไกล ซูมได้เล็กน้อย ไม่สามารถฉายภาพโคลสอัพได้ แสงจะดูสว่างๆ จ้าๆ ตอนนั้นกล้องจะเหมือนกับกล้องวงจรปิด เป็นยามกันตั้ง 3 เดือน (หัวเราะ) แต่เราเลือกที่ดีที่สุด ณ ตอนนั้น บินไปซื้อที่เมืองนอกเลย ส่วนเรื่องเสียง ปี 1 จะเหนื่อยมากในวีคแรกและวีคที่ 2 เพราะเราใหม่ลองผิดลองถูก คนในบ้านเยอะ ต้องใช้ไวร์เลสและใช้ไมค์ติดตามผนังเยอะ เวลาพูดพร้อมกันจะแยกไม่ค่อยออก พอมาปี 2 เราเปลี่ยนระบบเสียงใหม่หมดเลย”

“เกิด แอร์ ช่วงเวลาเดินทางไปกลับจากบ้านมายังเวทีในปี 1 เพราะเราไม่ได้เตรียมการมาก่อน พอมาปี 2 เราติดกล้องในรถโค้ชเลย ทำให้ผู้ชมติดตามได้ไม่ตกหล่น และทำให้นิยามของคำว่า เรียลลิตี้โชว์ 24 ชม. สมบูรณ์แบบมากขึ้น”

ส่วน AF3 เมื่อย้ายมาโครงการแมกโนเลีย ทำให้สามารถสร้างสรรค์ลูกเล่นได้เยอะกว่าเดิมมาก

บ้านใหม่ โฉมไฉไล

สำหรับ AF3 ย้ายมาบ้านใหม่โครงการแมกโนเลีย แถบบางนา ใหญ่ขึ้น และหรูขึ้นกว่าเดิม

“มีหลายโครงการ Approach เราเข้ามา เราก็ไปดูทุกโครงการ แต่มีปัญหาคือ เราต้องใช้คลับเฮาส์และไม่มีที่ไหนจะสามารถปิดคลับเฮาส์เป็นระยะเวลา 3 เดือนได้ เพราะเขาก็ต้องบริการลูกค้าของเขา ขณะที่บางโครงการแม้จะยังไม่เปิดขาย และยินดีให้เราใช้คลับเฮาส์ได้ แต่ติดปัญหาที่พื้นที่เล็กเกินไป เราอยากได้คลับเฮาส์ใหญ่ๆ แบบของสนามกอล์ฟเลย แต่คงไม่มีใครมาปิดสนามกอล์ฟให้หรอก (หัวเราะ) จนมาถึงโครงการแมกโนเลีย เขายังไม่เปิดขายและยินดีสร้างคลับเฮาส์เพิ่มเติมให้ได้ขนาดที่เราต้องการ คือ 3,000 ตร.ม.”

อรรถพล ชื่นชอบคลับเฮาส์โครงการนี้มาก และเชื่อว่าจะส่งเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์ AF ในใจคนดูได้

“เราตกแต่งอินทีเรียร์ ดีไซน์ใหม่ มีทั้งฉากที่ใช้ได้จริงและไม่จริง ผสมผสานกันไป เน้นความหรูหรา มีคลาส ใช้เฟอร์นิเจอร์ของ Habitat ห้องนอนใหญ่ขึ้น ใช้โทนสีซอฟต์ สบายตา บอกนัยกับคนดูว่างานผลิตของเราไม่เหมือนใคร เรานำเทรนด์ และเป็นการบอกรสนิยมของรายการไปในตัวด้วย”

ด้วยความใหม่ทำให้เขาใส่ลูกเล่นในมุมกล้องได้ และทำให้ผู้เข้าแข่งขันไม่สามารถคาดเดาได้หมดว่ากล้องแอบฝังตัวอยู่ ณ จุดใด แต่ทั้งนี้การใช้กล้องเสริมที่มีคนถือแล้วถ่ายทำนั้น ยังจำเป็นและเพิ่มโอกาสในการใช้มากขึ้น โดยเฉพาะระหว่างเข้าคลาสเรียน เพื่อให้เห็นสีหน้าและแววตา อีกทั้งหลีกเลี่ยงความจำเจและมุมกล้องแบบเดิมๆ อีกด้วย

“”เราใส่กล้องแอบถ่ายมากขึ้น เพิ่มคุณภาพของภาพ ภาพโคลสอัพจะชัดเจน ส่วนกล้องที่ฝังไว้ตามผนังจะกลายเป็นกล้องประกอบไป”
และสิ่งหนึ่งที่แตกต่างไปจนไม่คุ้นตานักสำหรับแฟนประจำก็คือ แสงที่ดูมืดลง อรรถพลอธิบายว่า

“มีเสียงบ่นหมือนกันว่าทำไมภาพมืดลง แสงน้อยเกินไปหรือเปล่า แต่นี่คือการเปลี่ยนอารมณ์ของรายการ เหมือนการทำหนัง ทำมา 3 ภาคมันต้องมีความแตกต่าง เราใช้ผนังบ้านเป็นสีดำเพื่อขับนักล่าฝันและครูในบ้านให้เด่น ใช้แสงที่ทำให้เกิดมิติ…ดูไปนานๆ ภาพจะสวย”

เวที : ฉากตระการ ม่านความดัง

แม้ในไบเบิล La Academia จะมีบ่งบอกไว้ว่า ในสัปดาห์ที่ 3 รายการจะเริ่มดังและฮอตอย่างคาดไม่ถึง จนต้องหาเวทีใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม แต่ในปีแรก อรรถพลยอมรับว่าคาดการณ์ผิด

“เราคิดสเกลฉากตามปกติ ถ่ายทำที่มูนสตาร์ ไม่ได้แพลนว่าจะทำคอนเสิร์ตที่อื่น แต่อยู่ได้ 3 ครั้ง ก็ต้องรีบหาที่อื่น เพราะคนมาเยอะมาก เลยย้ายไปอินดอร์ฯ หัวหมาก ต่อด้วยอิมแพค เมืองทองธานี ส่วนปี 2 เราแพลนไว้เลยว่า 3 วีคเริ่มที่มูนสตาร์ก่อน จากนั้นพร้อมย้ายไปธันเดอร์โดมทันที”

และปี 2 นี่เองที่อรรถพลมองว่า เป็นจุดสำเร็จของงานโปรดักชั่นที่ยากจะลบล้างได้

“เวทีปี 2 สวยมาก เราทำฉากเหมือนโรงละครในยุโรป แชนดาเลียหรูห้อยระย้า ประดับประดาด้วยสีทอง เพราะเรามองว่านี่คือการแสดงของนักล่าฝัน และทำให้โชว์ปีที่แล้วสนุกมาก คนแน่นไปหมดเลย ที่นั่ง 4,000 คน และยืนอีก 2,000 คน”

ดังนั้น เมื่อถึงคราวของ AF3 โจทย์หลักคือทำอย่างไรให้ดีกว่าเดิม เขาบอกว่ายากและเครียด

“เป็นโจทย์ที่หิน ยอมรับว่าเครียด ของเก่าดีหมด เราเลยปรับเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาของเวทีให้เปลี่ยนไปหมดเลย ด้วยการทำเป็นโครงสร้างเก่าๆ ของตึก ให้บรรยากาศเหมือนยืนร้องอยู่หน้าสถาปัตยกรรม หน้าสิ่งก่อสร้าง หน้ากำแพงใหญ่ๆ เป็นการร้องในเวที Out Door มากกว่าจะเป็นในฮอลล์ และเราให้ความสำคัญกับแสงที่ทะลุผ่านฉากหลัง สร้างมิติที่ลุ่มลึกได้”

“ส่วนแคตวอล์ก ไม่สิ ขอเรียกว่า “รันเวย์” เลยแล้วกัน เราทำยาวมากจนบางคนบอกว่ายาวเกินไป แต่เราสงสารคนดู อยากให้เขาได้ใกล้ชิดกับคนที่เขาเชียร์ นี่ถ้าไม่ติดคอนโทรลจะลากยาวจนถึงข้างหลังเลย (หัวเราะ)”

ทำให้ปีนี้งบโปรดักชั่นได้ทะลุหลัก 100 ล้านบาทไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วยบิ๊กโปรดักชั่นตั้งแต่วีคแรก จากเดิมทุกปีจะลงทุนประมาณ 100 ล้านบาทเท่านั้น

เทรนเนอร์ อีกหนึ่งสีสันของเกม

ทำเอาแปลกใจไปตามๆ กันหลังจากวีคแรกของ AF3 ไร้เงาของคอมเมนเตเตอร์ที่แทบจะกลายเป็น 1 ในโลโก้ประจำรายการไปเสียแล้ว อย่างครูเป็ด-มนต์ชีพ ศิวะสินางกูร อรรถพลมีคำตอบว่า

“คอมเมนเตเตอร์จะเปลี่ยนตามโจทย์เพลงเป็นหลัก วีคแรกเป็นเพลงพระราชนิพนธ์ คอมเมนเตเตอร์จึงเป็นรุ่นใหญ่ที่เชี่ยวชาญ อย่าง อาจารย์วิรัช อยู่ถาวร เป็นต้น”

ก็ต้องรอดูกันว่าครูเป็ดจะมาสร้างสีสันในสัปดาห์ที่เท่าไหร่กันแน่

ด้านเทรนเนอร์มีการเปลี่ยนแปลงจากปี 1 ไปพอสมควร ปีแรกนั้นมีครูสอนร้องเพลง คือ เจี๊ยบ-วรรธนา จากนั้นปี 2 ได้ร่วมมือกับ Gen-X Academy ในเรื่องของการ Cover เพลงสำหรับเล่นบนเวที เชิญนักดนตรี เชิญวงดนตรี เป็นต้น ทำให้เป็นพันธมิตรต่อเนื่องมายังปี 3 โดยปีล่าสุดนี้มีครูสอนการแสดงจากสถาบันดนตรีมีฟ้า คือครูเป๋อ-ภคกุล สนิทวงศ์ ณ อยุธยา มาเป็นกำลังหลักด้วย จากปี 1 ที่เป็นหน้าที่ของพี่น้องตระกูลศรัทธาทิพย์ ที่โบกมือลาด้วยเหตุผลต้องดูแลธุรกิจส่วนตัว ขณะที่ครูใหญ่ประจำบ้านตกเป็นหน้าที่ของ ดร.วรรณ์ขวัญ พลจันทร์ อดีตครูสอนการแสดงในปี 2 นั่นเอง

“เทรนเนอร์เปลี่ยนไป แต่คงคนเดิมไว้บ้าง ที่เปลี่ยนไม่ได้หมายถึงเขาดีหรือไม่ดี แต่เป็นเพราะเขาติดภารกิจไม่สามารถร่วมงานกับเราได้ อย่างดุ๊ก-ภาณุเดช พอจบปี 2 รีบมาบอกเลยว่า ไม่ทำต่อนะ เพราะมีงานเยอะ เราก็เข้าใจ ก็หาคนใหม่แทน”

ไม่เพียงเท่านี้ ทางรายการยังเตรียมสีสันเด็ดๆ ไว้ด้วยครูพิเศษอื่นๆ ในวงการและดาราชื่อดังทยอยเข้ามาทำกิจกรรมร่วมกับนักล่าฝันภายในบ้านอีกด้วย ซึ่งเป็นกิมมิกที่มีมาตั้งแต่ปี 1

ปรากฏการณ์ “ช็อก”

ความดังเป็นสิ่งที่อาจคาดหวังกันอยู่แล้วของผู้เข้าแข่งขันรายการนี้ แต่ความดังที่เกินคาดเป็นสิ่งที่สร้างอาการ “ช็อก” ให้กับนักล่าฝันรุ่นแรก มากกว่ารุ่นหลังๆ ยิ่งนัก

“ปี 1 ทุกคนใหม่หมด ไม่เคยมีใครเคยดูรายการนี้มาก่อน เขาไม่รู้ว่าออกมาจากบ้านแล้วจะเป็นยังไง พอทุกอย่างจบ ทั้งครูและนักเรียนต่างช็อก เขาไม่รู้เรื่องมาก่อนว่าเขาดังในสื่อ ในเว็บไซต์แค่ไหน จุ้มจิ้มไม่เคยรู้ว่าเขาดังขนาดขึ้นปกหน้าหนึ่งเนชั่น สุดสัปดาห์ พวกเขาเห็นรูปเห็นภาพข่าวที่ครอบครัวตัดเก็บไว้ให้ เขายังไม่อยากเชื่อเลย นึกว่าทางบ้านตัดต่อ ทำให้เอง เพื่อเป็นกำลังใจ”

“เป็นการเผชิญความดังแบบไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาก่อน แต่สำหรับปี 2 ทุกคนมีโนว์ฮาวและมีบทเรียนมาก่อน พอจะรู้เรื่องแฟนคลับบ้าง ดังนั้นการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงเมื่อจบสิ้นการแข่งขันจึงทำได้ไม่ยาก แต่กระนั้นภายในบ้านเอง พวกเขาจะระวังตัวแจเพียงแค่ 5 นาทีแรก แต่หลังจากนั้นทุกคนจะลืมกล้องทันที”

สารกระตุ้นอารมณ์โหวต

โหวตกลับ ผู้แข่งขัน 2 คนแต่ V เดียว

สิ่งเหล่านี้เป็นตัวอย่างของสารกระตุ้น ที่ทำให้เกิดดราม่าระหว่างคนดูกับยูบีซี อรรถพลให้ความเห็นว่า

“วีคที่มีการให้โหวตกลับ กลายเป็นวีคที่มีคนโหวต คนส่ง SMS มากที่สุด กว่าวีคอื่นๆ ยกเว้นวีคสุดท้าย แสดงให้เห็นถึงการตอบรับของคนดูกับรายการ AF ส่วนแฝดเชอรี่-แอปเปิ้ล ก็เป็นครีเอทีฟ ไอเดียของเรา เลือกเพราะเขามีเสน่ห์ แต่ใส่ลูกเล่นเขาไปให้เป็น V เดียวกัน”

“เรียลลิตี้ โชว์ก็เหมือนหนังบอกไคลแมกซ์ บอกจุดสำคัญหมดก็ไม่สนุก ไม่มีใครเขาบอกกันหรอก เรามีหน้าที่
ใส่โจทย์อย่างเดียว บังคับใครให้โหวตไม่ได้ เพียงแต่เราใส่ในเวลาที่เหมาะสม หากคนดูมีอารมณ์ร่วมเข้าก็จอยกับเรา”

ไม่แน่ “สารกระตุ้นแรงๆ” อาจจะหลั่งไหลมาให้ตื่นตะลึงกันก็เป็นได้ เพราะเขาบอกว่าทุกอย่างเกิดขึ้นได้ทั้งนั้นอย่าได้แปลกใจหากจะมีสัปดาห์ใดทำให้แฟนๆ AF3 หัวใจระทึกด้วยการประกาศกฎใหม่ให้นักล่าฝันที่มีคะแนนโหวตน้อยสุด 2 อันดับ ออกไปเลยพร้อมกัน!

แน่นอนว่าจากตัวเลขระยะเวลาของการใช้ชีวิตในบ้าน AF จากรุ่น 1 สู่รุ่น 3 ที่เปลี่ยนแปลงไปจาก 9-12-10 สัปดาห์ บ่งบอกถึงความไม่แน่นอนที่ไม่สามารถคาดเดาได้ และเป็นความไม่แน่นอนที่พร้อมกระตุ้นใจกระตุกมือผู้ชมให้โหวตแล้วโหวตอีก อย่างไม่รู้เบื่อ

แจกจ่ายฝันสู่ Mass

จากปี 1 ที่จำกัดวงคนดูเฉพาะผู้บอกรับสมาชิกยูบีซีเท่านั้น ไม่ใช่ไม่พยายาม แต่เนื่องจากเป็นของใหม่ ไม่เคยมี Case Study วัดความสำเร็จมาก่อน จึงไม่มีใครกล้าเสี่ยง อีกทั้งยังไม่เช้าใจรูปแบบของรายการ มาปี 2 จากผลงานที่ดีของ AF1 การันตีความดังในเบื้องแรก การเข้าหาพลังของแมสและเพื่อนำเสนอ Product Highlight ของยูบีซีที่สร้างเองกับมือจึงเกิดขึ้นอีกครั้ง และเป็นการร่วมมือกับ iTV ผ่านการประสานงานของกันตนาที่ยูบีซีช่วยเหลือในการให้ช่องออกอากาศ Big Brother

เมื่อเข้าสู่ปีที่ 3 จากการเป็นคู่สัญญากับ อสมท. จึงเกิดการตกลงกัน และทาง อสมท. ได้ให้เวลาดีหลังข่าว 21.00 น. ทางโมเดิร์น ไนน์ เพื่อถ่ายทอดสดคอนเสิร์ตทุกวันเสาร์จากเมืองทองธานี ทำให้คอนเสิร์ตปีนี้เริ่มช้ากว่าทุกปีเกือบ 1 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังได้เวลาฉายไฮไลต์ช่วงเย็นของทุกวันจันทร์-ศุกร์อีกด้วย

แน่นอนการเข้าถึงในระดับแมสย่อมมีมากขึ้นจากเครือข่ายของโมเดิร์น ไนน์ ทำให้เขาเชื่อว่าความดังและการรับรู้ของ AF3 ณ วันนี้ ไม่ใช่ดังในวงจำกัดเท่านั้น