Police State

นอกจากทักษิณจะรู้จักใช้ “สื่อ” ต่างๆ มาใช้ในการโฆษณาชวนเชื่อ ทักษิณยังใช้ประสบการณ์เมื่อครั้งเป็น“ตำรวจ” มาใช้ในการสร้างเครือข่ายทางการเมือง ไม่ต่างไปจากการมี Salesman ในการขายสินค้า และยังทำให้ Positioning ของรัฐบาลทักษิณ ได้ชื่อว่าเป็นยุคของ Police State อย่างแท้จริง

อำนาจที่แข็งแกร่งของทักษิณ สร้างขึ้นในช่วงเรืองอำนาจ นอกจากการมีเครือข่ายพันธมิตรที่เป็นกลุ่มทุนทางธุรกิจใหม่จำนวนมากแล้ว เครือข่ายกลุ่มเตรียมทหารรุ่น 10 และ นักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 26 (นรต.26) เป็นฐานกำลังสำคัญให้กับรัฐบาลทักษิณอย่างที่จะมองข้ามไม่ได้

จะเห็นได้ว่าตลอดช่วงเวลาของการอยู่ในอำนาจ ทักษิณ ได้ใช้ครือข่ายตำรวจร่วมรุ่นเหล่านี้ กระจายไปทุกที่ ไม่ต่างไปจากกลยุทธ์การตลาดแบบ “ขายตรง” หรือ ไดเร็กมาร์เก็ตติ้ง ที่มีพนักงานขายเป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญในการกระจายสินค้า สร้างการรับรู้ไปถึงมือผู้บริโภค

ในด้านของการข่าวของรัฐบาลทักษิณ มี พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ พล.ต.ท.ถาวร จันทร์ยิ้ม ผู้บัญชาการสันติบาล พล.ต.พิรุณ แผ้วพลสง รองผู้บัญชาการ ศรภ. พล.ต.ต.พีระพงศ์ ดามาพงศ์ ผบก.อก.สนว.ตร. น้องชายของ พล.ต.อ. เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รอง ผบ.ตร. พี่ชายคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ทั้งหมดนี้ มีชื่ออยู่ในรุ่น เตรียมทหารรุ่น 10 และนายร้อยตำรวจรุ่น 26

เครือข่ายของตำรวจเพื่อนร่วมรุ่น 26 ของทักษิณ ถูกวางตัวให้นั่งคุมในตำแหน่งสำคัญๆ ที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ ถ้าเปรียบแล้วก็คงไม่ต่างไปจาก Salesman ขายตรงประจำภาค

ไม่ว่าจะเป็น พล.ต.ต.สุวัฒน์ ธำรงศรีสกุล ผู้บัญชาการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง พล.ต.ท.ชลอ ชูวงษ์ ผู้ช่วยผบ.ตร. ก็เป็นเพื่อนสนิททักษิณ รวมทั้ง พล.ต.ท. สถาพร หลาวทอง ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 คุมอีสานใต้ เป็นนายตำรวจรุ่น 28 ใกล้ชิดกับทักษิณ เป็นอีกผู้หนึ่งเป็นฐานอำนาจสำคัญในอีสานใต้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ทำงานเอาใจรัฐบาลทักษิณ โดยเฉพาะกรณีการจัดการกับม็อบ “ม็อบพันธมิตร” ที่ออกมาขับไล่นายกทักษิณ ที่พล.ต.อ.โกวิทได้ทำให้เห็นถึงการเลือกข้างอย่างเห็นได้ชัด

การกระทำของ พล.ต.อ.โกวิท ในครั้งนั้น ทำให้ “เปลว สีเงิน” คอลัมนิสต์ชื่อดังแห่งหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ต้องออกมาเขียนถึงการเพิกเฉยของ พล.ต.อ.โกวิท ในกรณีที่ตำรวจหลายระดับในต่างจังหวัด ที่ออกมาแสดงตนเป็นเจ้าทุกข์ รุมแจ้งความดำเนินคดีกับสนธิ ลิ้มทองกุล หลังจากที่ ข้าราชการมหาดไทย ระดับผู้ว่าราชการจังหวัด ลงทุนเป็นเจ้าทุกข์ดำเนินคดีกับสนธิ นำร่องไปแล้ว

ยิ่ง “ม็อบพันธมิตรฯ” สั่นคลอนสถานะของรัฐบาลทักษิณมากเท่าใด ก็ยิ่งทำให้เห็นถึงบรรดา เครือข่าย Police State ได้ออกมาปกป้องรัฐบาลทักษิณมากเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นกรณีของ พล.ต.ต.กิตติ คเชนทร์ทอง ตำรวจรุ่นเดียวกับ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ทำหนังสือถึงผู้บัญชาการ ให้สั่งปิดสถานีโทรทัศน์ ASTV ด้วยเหตุผลที่ว่า โจมตีนายกฯทักษิณ

หรือกรณีของ พล.ต.ท.ชัยยันต์ มะกล่ำทอง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจ สั่งฟ้องแกนนำพันธมิตรฯ ระบุว่า เป็นกบฏต่อแผ่นดิน

การหลุดพ้นจากเก้าอี้ “นายกรัฐมนตรี” ของทักษิณ ย่อมมีผลต่อ Positioning ของเมืองไทยเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะความเป็น Police State และบทบาทของ Salesman ขายตรงเหล่านี้

ส่วนอนาคต Positioning ของเมืองไทยจะเป็นอย่างไร ก็ต้องขึ้นอยู่กับนโยบายของพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีคนที่ 24