“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ว่าที่นายกรัฐมนตรี

หลังคำพิพากษาของตุลาการรัฐธรรมนูญ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ในวัย 43 ปี กำลังถูกจับตามองว่าเขาอาจเป็น “นายกรัฐมนตรีคนที่ 25 ของประเทศไทย ซึ่งหากความคาดหมายกลายเป็นจริง “อภิสิทธิ์” จะเป็นนายกรัฐมนตรีที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

เส้นทางสู่เป้าหมายสูงสุดของอาชีพนักการเมืองสำหรับเขา ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ดูแจ่มชัดมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม 2550 ที่ไม่เพียงเป็นเพราะคำตัดสินของตุลาการรัฐธรรมนูญไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น แต่ยังมาจากคำตัดสินสั่งยุบพรรคไทยรักไทย และสั่งเว้นวรรคกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คน ห้ามเลือกตั้งและบริหารพรรคการเมืองนาน 5 ปี

111 คน ซึ่งเป็นทั้งนักการเมืองที่มีฐานเสียงในพื้นที่ชุมชนทั่วประเทศ และกลุ่มนายทุนกระเป๋าหนัก มีศักยภาพสร้างพรรคการเมืองได้ อย่างที่เคยทำให้กับพรรคไทยรักไทยมาแล้ว เมื่อคนกลุ่มนี้ถูกสั่งแบน! ถึง 5 ปี โอกาสจึงตกเป็นของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีจัดว่ามีภาษีเหนือกว่าพรรคการเมืองที่เหลือทุกพรรค ด้วยความเป็นพรรคขนาดใหญ่ และเก่าแก่ที่สุด สมาชิกของพรรคส่วนใหญ่ยังคงมีฐานเสียงอยู่มาก

ในฐานะของหัวหน้าพรรค “อภิสิทธิ์” ที่ผ่านการฟูมฟักมาระยะหนึ่ง แม้ว่าจะไม่เคยพิสูจน์การขึ้นเป็นแกนนำในการบริหารประเทศมาก่อน แต่ความสดใหม่ของ “อภิสิทธิ์” ก็ทำให้โอกาสของเขาในการขึ้นเป็น “นายกรัฐมนตรี” คนต่อไปสูงมาก

จากนักการเมืองรุ่นเก๋าอย่าง “บรรหาร ศิลปอาชา” หัวหน้าพรรคชาติไทย และจาก “เสธ.หนั่น” พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ หัวหน้าพรรคมหาชน ยังเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่าเวลานี้ คือโอกาสสำหรับ “ประชาธิปัตย์” หรือเหมือนอย่างที่เสธ.หนั่นให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน เมื่อครั้งร่วมงานฉลองครบ 61 ปี พรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2550 ว่า ถึงเวลาแล้วสำหรับ “อภิสิทธิ์” ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

ยกเว้นว่า เกมการชิงอำนาจทางการเมืองยังมีอยู่อย่างเข้มข้น กระบวนการสืบทอดอำนาจจากกลุ่มทหารที่ก่อการรัฐประหารมีจริง รัฐธรรมนูญฉบับใหม่สะดุด และพรรคพวกไทยรักไทยไม่ถอย “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ไม่หยุดทวงคืนอำนาจ

เส้นทางการเมืองนับจากนี้สำหรับ “อภิสิทธิ์” คงไม่ง่ายนักที่จะถึงจุดหมายปลายทาง และอาจหมายถึงการเริ่มต้นนับหนึ่งอีกครั้ง หลังจากที่เขาเดินทางมาแล้วกว่า 15 ปี ในเส้นทางอาชีพนักการเมือง

ความโดดเด่นบนเส้นทางการเมืองช่วง 15 ปี ของ “อภิสิทธิ์” เริ่มตั้งแต่หน้าตา เปิดตัวเป็นที่รู้จักนับตั้งแต่เป็นนักวิชาการเป็นอาจารย์สอนที่คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นที่ถูกใจของคนรุ่นใหม่จำนวนมาก การศึกษาดี มีความเฉียบแหลมทางความคิด การแสดงออกและการพูดในที่สาธารณะด้วยถ้อยคำที่น่าติดตาม ด้วยการแสดงความคิดเห็นคัดค้านการรัฐประหารยึดอำนาจการปกครองของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 จนต่อเนื่องมาตลอดในเส้นทางการเมือง โดยเฉพาะการแสดงความเห็น และการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร

ไม่มีข้อกังขาในคารมที่คมคาย และความคิดทางการเมืองที่เฉียบแหลมของ “อภิสิทธิ์” เพราะต้นทุนเดิมที่แน่นหนาของเขา

“อภิสิทธิ์” เติบโตในครอบครัวที่สมบูรณ์แบบทั้งฐานะและความรู้ สามารถหล่อหลอมและส่งเสริมให้เขาพร้อมเดินในเส้นทางการเมือง แม้ว่าทั้งบิดาและมารดาอยู่ในแวดวงการแพทย์ แต่การเมืองก็อยู่ในความสนใจของครอบครัว “เวชชาชีวะ”

นับตั้งแต่ “อภิสิทธิ์” เพียง 9 ขวบ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองสนใจสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนในการเรียกร้องประชาธิปไตย หลังจากได้ดูทีวีพร้อมกับบิดาในเหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตย 14 ตุลา หลังจากนั้นการติดตามข่าวสารการเมือง ดูการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร คือสิ่งที่เขาสนใจมาตลอด โดยเฉพาะลีลาอภิปรายที่ประทับใจของอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่เขายังจดจำถึงทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็น ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช และล่าสุด อย่าง “ชวน หลีกภัย” เป็นเหตุให้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมื่อ “อภิสิทธิ์” เมื่อมีโอกาสเริ่มเดินในทางการเมือง เขาไม่ลังเลที่จะเลือกอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์

ความชัดเจนในความรู้สึกชอบงานการเมือง ทำให้เขาตั้งใจร่ำเรียนวิชาที่เกี่ยวเนื่อง ปูพื้นฐานให้เขาเป็นอย่างดี จนกระทั่งจบปริญญาตรีสาขาปรัชญา การเมือง และเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ปริญญาตรีสาขานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง และปริญญาโทสาขาเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดประเทศอังกฤษ

ในวัยเพียง 27 ปี เขาลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในเดือนมีนาคม 2535 เกิดกระแส “อภิสิทธิ์ฟีเวอร์” และเป็น ส.ส. ของประชาธิปัตย์เพียงคนเดียวที่ชนะเลือกตั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ

แต่ฐานเสียงส่วนใหญ่ของ “อภิสิทธิ์” อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ แต่สำหรับทั่วประเทศแล้วเขาอาจยังต้องใช้เวลา บวกกับนักการเมืองรุ่นเก่าของพรรคประชาธิปัตย์ยังคงมีบทบาทสำคัญ จนถึงยุคที่พรรคประชาธิปัตย์เผชิญกับพรรคการเมืองสไตล์ใหม่อย่าง “ไทยรักไทย” และแพ้การเลือกตั้งในปี 2544 และปี 2548 ชนิดที่ว่าไม่เห็นโอกาสว่าเมื่อไหร่ “ประชาธิปัตย์” จะมีโอกาสชนะเลือกตั้งและกลับมาเป็นรัฐบาล หรือแม้แต่การเป็นฝ่ายค้านที่สามารถทำหน้าที่เต็มที่ในการอภิปรายนายกรัฐมนตรี ก็ยังไม่สามารถทำได้ เพราะเพียงแค่ขอคะแนนเสียง 201 เสียง ประชาชนยังลงคะแนนเลือกไม่ถึงในการเลือกตั้งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2548

ในปี 2548 “อภิสิทธิ์” ได้รับการเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่หลายคนบอกว่าเป็นการเริ่มต้นบทใหม่ของพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งการปรับโครงสร้างพรรค การพรีเซนต์พรรคการเมือง ด้วยการนำวิธีการทางการตลาดมาใช้ และแน่นอนเมื่อเกิดวิกฤตการณ์ทางการเมือง การชิงเหลี่ยมทางการเมืองตามสไตล์ที่พรรคประชาธิปัตย์เชี่ยวชาญ ถูกนำมาใช้อย่างได้ผล กับการบอยคอตไม่ร่วมการเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายน 2549 กดดันให้พรรคไทยรักไทยต้องจ้างพรรคเล็กมาลงสมัครในเขตพื้นที่เลือกตั้ง เพื่อให้ ส.ส. ในสังกัดชนะเลือกตั้งโดยไม่ต้องเข้าเกณฑ์การได้คะแนนเสียงเกิน 20% ของผู้มีสิทธิลงคะแนน จนนำมาสู่ “คดียุบพรรค”

ไม่ว่าจะเป็นความไม่ตั้งใจหรือไม่ก็ตาม โอกาสทางการเมืองสำหรับ “อภิสิทธิ์” เริ่มใกล้เข้ามา หากแต่เขาก็ยังต้องเผชิญกับความท้าทายในเรื่องประสบการณ์การเป็นนักบริหารบ้านเมือง และบางกลุ่มยังขยาดกับพรรคประชาธิปัตย์ในอดีตที่มีทั้งความเชื่องช้า และการคอรัปชั่นของสมาชิกพรรคบางคน ยิ่งไปกว่านั้นหลังวิกฤตบ้านเมือง ยังมีปัญหารอแก้ไขอีกมากมาย ซึ่ง ณ เวลานี้ไม่มีอะไรที่ควรสูญเสียอีกต่อไปสำหรับประเทศไทย

การแสดงความสามารถอาจไม่อยากเท่าไรนัก แต่การสร้างความ “ความศรัทธา” นั้นยากยิ่งกว่า นี่คือโจทย์ที่ท้าทายสำหรับ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”

Profile

Name : อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
Born : 3 สิงหาคม 2507
Education :
– ประถมศึกษา โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์
– มัธยมศึกษา โรงเรียนอีตัน ประเทศอังกฤษ
– ปริญญาตรีสาขาปรัชญา การเมือง และเศรษฐศาสตร์ (เกียรตินิยมอันดับ 1) มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษ, ปริญญาตรีสาขานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
– ปริญญาโทสาขาเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษ

Career Highlights:
– อาจารย์โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ที่เขาชะโงก
– อาจารย์ในคณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
– ปี 2535 สมัคร ส.ส. ในกรุงเทพฯ ชนะเลือกตั้ง เป็น ส.ส. สมัยแรก และต่อเนื่องในปี 2538 -2539
– ปี 2544-2548 เป็น ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ
– ปี 2535-2537 โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
– ปี 2537-2538 รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง
– ปี 2538-2539 ประธานคณะกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร
– ปี 2538-2540 โฆษกพรรคประชาธิปัตย์
– ปี 2540-2544 รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
– ปี 2541 ประธานคณะกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542
– ปี 2542 รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
– ปี 2548-23 กุมภาพันธ์ 2549 ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร
– ปี 2548-ปัจจุบัน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
Family : สมรส -ภรรยา ดร.พิมพ์เพ็ญ (ศกุนตาภัย) เวชชาชีวะ อาจารย์ประจำ ภาควิชาคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บุตร- ธิดา น.ส.ปราง เวชชาชีวะ ด.ช.ปัณณสิทธิ์ เวชชาชีวะ
เว็บไซต์ส่วนตัว www.abhisit.org