บมจ.บริทาเนีย หรือ BRI ประกาศแผนยุทธศาสตร์ปี 2022 ภายใต้คอนเซปต์ ‘Growth Together’ ร่วมเติบโตไปด้วยกันทุกภาคส่วน ทั้งการขยายทำเลสู่จังหวัดหัวเมืองที่มีศักยภาพ ร่วมทุนขยายธุรกิจ ผนึกพันธมิตรตอกย้ำ ‘ผู้นำด้านเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัย’ นำร่องติดตั้งระบบพลังงานทางเลือกในพื้นที่ส่วนกลางของบ้านแบรนด์แกรนด์บริทาเนีย ชูจุดเด่นแบบบ้านรุ่นใหม่ตอบสนองการใช้ชีวิตในบ้านมากขึ้น ดีไซน์พื้นที่ร่วมกันของสมาชิก ห้องนอนที่กว้างขึ้นและรองรับผู้สูงอายุ รุกเปิดโครงการใหม่เพิ่มเป็น 12 โปรเจกต์ ตั้งเป้ายอดขาย (พรีเซล) ปีนี้ 11,000 ล้านบาท และรับรู้รายได้ 7,250 ล้านบาท
นางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบในปี 2565 คาดว่าจะเป็นปีแห่งการฟื้นตัวและเติบโตได้ดี เนื่องจากเริ่มเห็นสัญญาณบวกในช่วงปลายปีที่ผ่านมา หลังจากรัฐบาลเริ่มเปิดประเทศ การผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ การกระจายวัคซีนที่ทำได้อย่างรวดเร็ว ประกอบกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ผ่อนปรนหลักเกณฑ์กำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัย (มาตรการ LTV) เป็นการชั่วคราว สามารถปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยรวมกับสินเชื่อที่เกี่ยวเนื่องได้ 100% ของมูลค่าหลักประกัน ส่งผลดีต่อการกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์และความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะตลาดบ้านแนวราบ ตลอดจนแนวโน้ม GDP ปีนี้ที่คาดว่าจะเติบโต 3 – 4% คาดว่าจะเห็นการพัฒนาโครงการกระจายตัวสู่พื้นที่รอบนอกของกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้น จากการทยอยเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายใหม่...
บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ “CPN” รายงานผลประกอบการประจำปี 2564 มีรายได้รวม 28,977 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 7,148 ล้านบาท ยังคงทำกำไรแม้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 แต่ด้วยการ บริหารจัดการอย่างมืออาชีพ ที่พร้อมปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อรับมือกับทุกสถานการณ์ รวมทั้งมีการบริหารจัดการต้นทุนค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพส่งผลให้รายได้ประจำปีนี้ยังคงมีกำไร และยังคงเดินหน้าลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ตามแผน ได้แก่ เซ็นทรัล จันทบุรี ที่เตรียมเปิดภายในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ พร้อมทั้งยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ดูแลร้านค้าผู้เช่า และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง ภายใต้วิสัยทัศน์ Imagining better futures for all มุ่งมั่นสร้างสรรค์สิ่งที่ดี เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนสำหรับทุกคน
นางสาวนภารัตน์ ศรีวรรณวิทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงิน บัญชี และบริหารความเสี่ยงของเซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า “ปี 2564 เป็นอีกปีที่ท้าทายสำหรับเซ็นทรัลพัฒนาจากผลกระทบที่ได้รับจากสถานการณ์โควิด19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของประชาชน และการดำเนินธุรกิจในหลายอุตสาหกรรมตลอดทั้งปี เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าที่ได้รับผลกระทบเป็นบางช่วง แต่ด้วยการบริหารจัดการอย่างมืออาชีพ ที่สามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ประกอบกับความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดผลกระทบต่อผลการดำเนินงานให้ได้มากที่สุด และเพื่อรักษาผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย ทำให้ผลการดำเนินงานในปี 2564 แม้จะปรับตัวลดลงจากปีก่อนหน้า แต่ยังอยู่ในระดับที่บริษัทคาดหวังไว้
นอกจากนี้ ยังดูแลให้ความช่วยเหลือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกกลุ่มอย่างทั่วถึง อาทิ ผู้เช่าและผู้ประกอบการ ทั้งลดค่าเช่าและช่วยเหลือตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง, การเพิ่มสภาพคล่องให้คู่ค้า สนับสนุนให้เข้าถึงสินเชื่อฟื้นฟูกับพันธมิตรธนาคารชั้นนำ, การจัดแคมเปญช่วยผลักดันยอดขายร้านค้าทุก Category รวมถึงพัฒนาแพลตฟอร์มใหม่ ๆ อย่าง CRM Tool และแอปพลิเคชั่นช่วยเหลือผู้เช่าอย่างครบวงจร ลูกค้า อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าพร้อมช่วยเหลือผู้เช่าในช่วงเวลาล็อคดาวน์ด้วยแพลตฟอร์ม Central Connect เชื่อมโยงทุกบริการในศูนย์การค้าและช่องทางการขายแบบ Omnichannel ทั้ง Call-Click-Chat, Drive-Thru และ Delivery services เป็นต้น สำหรับ ชุมชนและประเทศชาติ ช่วยเหลือ SMEs เกษตรกรและกลุ่มอาชีพต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด ด้วยการเปิดพื้นที่ฟรีให้ขายสินค้า, จัดแคมเปญกระตุ้นเศรษฐกิจ “ไทยช่วยไทย” อย่างเป็นรูปธรรม สนับสนุนการกิน-ช้อป-ใช้-เที่ยวไทย และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั้งระบบ รวมทั้งยังให้ความร่วมมือกับภาครัฐ สร้างต้นแบบศูนย์การค้าปลอดภัยสำหรับจุดฉีดวัคซีนที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล 23 สาขาทั่วประเทศ เพื่อช่วยกระจายวัคซีนให้กับประชาชนอีกด้วย
ที่สำคัญในปี 2564 บริษัทฯ สามารถเดินหน้าลงทุนเปิดโครงการใหม่ตามแผนที่วางไว้ ได้แก่ เซ็นทรัล ศรีราชา และ เซ็นทรัล อยุธยาซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมหลังเปิดให้บริการ รวมถึงความสำเร็จในการเข้าซื้อกิจการของบริษัท...
กสิกรไทย-ฮั่วเซ่งเฮง รุกเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง เจาะกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ไลฟ์สไตล์ดิจิทัล ลงทุนทองคำและออมทองออนไลน์ง่าย ๆ เพียงผูกบัญชีกับธนาคารกสิกรไทยกับแอปพลิเคชัน GOLD NOW พร้อมรองรับฟีเจอร์ใหม่สุดล้ำ “ออม NOW” ช่วยให้นักลงทุนหน้าใหม่และรายย่อย “ซื้อ-ขาย-ออม” ได้ง่ายแบบเรียลไทม์ สะดวกรวดเร็ว ไม่ต้องวางหลักประกัน ไม่มีค่าธรรมเนียม เริ่มต้นออมทองเพียง 1,000 บาท ก็เพิ่มโอกาสการรับผลตอบแทนได้ทุกที่ พร้อมเลือกรับเป็นทองคำแท่งได้ที่ฮั่วเซงเฮงทุกสาขา
นายทิพากร สายพัฒนา รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารเดินหน้านำเทคโนโลยีดิจิทัลพัฒนาช่องทางของธนาคาร รวมทั้งช่องทางผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำ เพื่อเพิ่มความสะดวกให้แก่ลูกค้าในการทำธุรกิจและดำเนินชีวิตทุกที่ที่ลูกค้าต้องการ รวมทั้งมิติด้านการลงทุน ซึ่งปัจจุบันเทรนด์การลงทุนที่ได้รับความนิยมจากคนรุ่นใหม่ เป็นการลงทุนผ่านช่องทางดิจิทัลที่ทั้งสะดวกและรวดเร็ว รวมทั้งการลงทุนทองคำที่เป็นสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูง และนับเป็นทางเลือกการลงทุนที่ได้รับความนิยมอยู่เสมออย่างต่อเนื่อง
ธนาคารกสิกรไทยจึงร่วมกับทางฮั่วเซ่งเฮงผู้นำธุรกิจค้าทองคำชั้นนำของไทย เปิดให้บริการธุรกรรมการเงินซื้อขายทองคำออนไลน์ บนแอปพลิเคชัน GOLD NOW เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าธนาคารที่นิยมการลงทุนผ่านช่องทางดิจิทัล เพียงผูกบัญชีธนาคารกสิกรไทยกับแอปพลิเคชัน GOLD NOW ก็ซื้อขายทองคำหรือออมทองออนไลน์ได้ง่าย ๆ ทันที พร้อมรองรับฟีเจอร์ใหม่ “ออม NOW” ให้ลูกค้าผู้ลงทุนทองคำหรือออมทองสามารถทำธุรกรรมได้แบบเรียลไทม์และรับเงินได้แบบเต็มจำนวนแม้นอกเวลาทำการ ตอกย้ำการเป็นผู้ให้บริการการเงินดิจิทัลที่ไม่เคยหยุดนิ่ง และช่วยเพิ่มโอกาสการลงทุนทองคำและออมทองให้กับลูกค้าที่สะดวก ง่าย และคล่องตัวยิ่งกว่าเดิม ลูกค้าที่มีบัญชีเงินฝากธนาคารกสิกรไทย หรือเปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ K-eSaving บน K PLUS สามารถผูกบัญชีกับแอป Gold...
บริษัท เธอร์รี่ เพอร์เฟค จำกัด ในฐานะผู้ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีแบบใช้สิทธิเฉพาะ (Exclusive Right) ในการผลิต ‘ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจากสมุนไพร ดอกดาหลา’ จากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)
วว. เป็นรัฐวิสาหกิจประเภทที่จัดตั้งขึ้น เพื่อดำเนินการตามนโยบายพิเศษของรัฐในสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยมีพันธกิจเพื่อวิจัย พัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายและแผนระดับชาติและความต้องการของอุตสาหกรรม พร้อมทั้งนำผลงานสู่การใช้ประโยชน์เพื่อสังคม การบริการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพของทั้งหน่วยงานภาครัฐ และธุรกิจเอกชน
‘ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจากสมุนไพรดอกดาหลา’ เป็นผลงานการวิจัยและพัฒนา ของ วว. ที่ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ TERRY DALAH FLORAL DOSE SERUM IN CREAM EXTRA SENSITIVE ให้แก่บริษัทเธอร์รี่ เพอร์เฟคท์ จำกัด...
ร้านอาหารญี่ปุ่นบริการด่วน “คาคาชิ” (KAKASHI By OISHI) ขอเสนอเมนูดงบุริ ในคอนเซ็ปต์ “ข้าวหน้าล้น เพิ่มเนื้อ X2” พร้อมเอาใจนักกินสายดงบุริด้วยเมนูซีรีส์ใหม่ “ข้าวหน้าล้นซอสฮอตโตะ” นำโดย “ข้าวหน้าล้นหมูชาชูฮอตโตะ” สะใจกับหมูชาชูชิ้นโต หมักเข้าเนื้อ เบิร์นไฟให้ยิ่งหอม ราดฉ่ำด้วยซอสฮอตโตะ รสร้อนแรง เผ็ด หวาน ลงตัว จัดวางบนข้าวสวยญี่ปุ่นร้อน ๆ พร้อมไข่ออนเซ็นเยิ้ม ๆ ราคาชามละ 149 บาท นอกจากนี้ ยังมีอีก 2 เมนูให้เลือก ครบครันทั้งเนื้อหมู เนื้อวัว คือ “ข้าวหน้าล้นหมูย่างฮอตโตะ” (139 บาท) และ “ข้าวหน้าล้นเนื้อฮอตโตะ” (159 บาท) อีกด้วย พิเศษเพิ่มเพียง 19 บาท !!! อร่อยสุดคุ้ม พร้อมซุปมิโซะ 1 ถ้วย และเครื่องดื่มน้ำชาเขียว โออิชิ กรีนที 1 แก้ว ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 มีนาคม 2565 เท่านั้น ติดตามข้อมูลข่าวสารและโปรโมชั่นที่น่าสนใจอื่น ๆ...
บมจ.สยามแม็คโคร (MAKRO หรือ บริษัทฯ) ชูผลงานปี 2564 ทำรายได้รวม 266,435 ล้านบาท เติบโตดีกว่าปีก่อน 21.8% และกำไรสุทธิ 13,687 ล้านบาท แม้ภาพรวมเศรษฐกิจและกำลังซื้อผู้บริโภคได้รับผลกระทบจาก COVID-19 พร้อมเดินหน้าวางยุทธศาสตร์เพื่อการเติบโตต่อเนื่อง เร่งพัฒนาธุรกิจ O2O พลิกโฉมสู่ยุคดิจิทัล ควบคู่การพัฒนา ‘แพลตฟอร์มแห่งโอกาส’ สนับสนุน SME ผู้ประกอบการรายย่อยและเกษตรกร ในทุกช่องทาง ขยายการเติบโตสู่ระดับภูมิภาคอาเซียน
นางเสาวลักษณ์ ถิฐาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร - กลุ่มธุรกิจค้าส่งแม็คโคร สายงาน Group Shared Service เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานปี 2564 สามารถสร้างการเติบโตทั้งรายได้และกำไรในระดับที่ดี แม้ภาพรวมเศรษฐกิจและกำลังซื้อผู้บริโภคได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่และการกลายพันธุ์ของ COVID-19 ในรอบปีที่ผ่านมา โดยทำรายได้รวม 266,435 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.8 % จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 218,760 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 13,687 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 108.6% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 6,563 ล้านบาท
ผลการดำเนินงานดังกล่าว ตอกย้ำถึงความแข็งแกร่งและศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ รวมทั้งการปรับกลยุทธ์อย่างรวดเร็ว เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละช่วงเวลา จากการแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยมุ่งเน้นการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบกับการจัดกิจกรรมทางการตลาดที่สอดคล้องกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และกำลังซื้อผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายหลังรัฐบาลผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ นอกจากนี้ ‘แม็คโคร’ เริ่มรับรู้รายได้จากกลุ่มโลตัสส์ตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2564 หลังรับโอนกิจการแล้วเสร็จในวันดังกล่าว
ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 เพื่ออนุมัติจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นจากผลการดำเนินงานปี 2564 ในอัตรา 0.72 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงิน 5,306 ล้านบาท โดยเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2564 ได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วในอัตรา 0.40 บาทต่อหุ้น คงเหลือต้องจ่ายเงินปันผลอีกในอัตรา 0.32 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดวัน Record Date ในวันที่ 4 มีนาคมนี้ และจะจ่ายเงินปันผลส่วนที่เหลือในวันที่ 19 พฤษภาคม 2565 ทั้งนี้...
นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2564 มีรายได้รวมตามงบการเงิน 3,086 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.6 จากไตรมาสก่อนหน้านี้ มีกำไรสุทธิตามงบการเงิน 967 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 100 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยในช่วงไตรมาสที่ 4/2564 ที่ผ่านมา ได้รับผลดีจากนโยบายผ่อนคลายล็อกดาวน์และการเปิดประเทศในเดือนพฤศจิกายน ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศเริ่มพื้นตัว และการดำเนินธุรกิจของบริษัทเริ่มกลับเข้าสู่สภาพใกล้เคียงปกติ อีกทั้งยังมีสัญญาณดีจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่มีแนวโน้มคลี่คลายขึ้น นอกจากนี้บริษัทยังได้รับกำไรจากการรวมมูลค่ายุติธรรมของมูลค่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย ส่งผลให้ผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2564 บริษัทมีกำไรสุทธิตามงบการเงินเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 100 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และหากเทียบกับไตรมาส 3/2564 (QoQ) กำไรสุทธิของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 40.7 แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการพื้นตัวของธุรกิจและความพร้อมในการกลับมาเติบโตอย่างก้าวกระโดดของบริษัท
“ไตรมาส 4/2564 เป็นไตรมาสที่ผลประกอบการของเราดีที่สุดในรอบปี ถือเป็นสัญญาณบวกของการเริ่มฟื้นตัวกลับมาของเศรษฐกิจในภาพรวม เราจึงมีความมั่นใจอย่างมากว่า หากสถานการณ์ทุกอย่างคลี่คลายในปี 2565 นี้ ทุกกลุ่มธุรกิจของ AWC จะกลับมาฟื้นตัวและเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด ดังนั้นตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาเราจึงมุ่งมั่นพัฒนากระบวนการดำเนินงานในทุกส่วนเพื่อให้บริษัทมีความแข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นพร้อมทั้งลงทุนพัฒนาโครงการคุณภาพใหม่ๆ และร่วมมือกับพันธมิตร...
‘แอร์เมส’ (Hermes) แบรนด์สินค้าหรูของฝรั่งเศส ยืนยันว่าแบรนด์ “ไม่มีกลยุทธ์ขึ้นราคา” สินค้าอย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าผลประกอบการไตรมาสที่ 4 จะไม่เป็นไปตามเป้าเนื่องจากปัญหาซัพพลายเชน รวมไปถึงปัญหาเงินเฟ้อที่ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตก็ตาม
หากใครติดตามตลาดหุ้นทั่วโลกตั้งแต่ปลายปี 2564 จนถึงต้นปี 2565 นี้ จะพบว่าตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ปรับตัวลดลงกัน เนื่องจากเป็นช่วงการเปลี่ยนผ่านการดำเนินนโยบายการเงินการคลังของประเทศมหาอำนาจโลก นำโดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ
สะท้อนผ่านตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆ โดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อ และตัวเลขการว่างงาน ที่มีผลต่อการส่งสัญญาณจะปรับลดการอัดฉีดสภาพคล่อง (QE) รวมถึงการประเมินว่าอาจต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยกี่ครั้งในรอบปีของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ล้วนกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในสินทรัพย์ทุกประเภท โดยเฉพาะสินทรัพย์อย่าง ‘หุ้น’ จะได้รับผลกระทบจากความผันผวนที่สูงกว่า
ดังนั้น เวลาที่เกิดความผันผวนในตลาดหุ้น ลูกค้าจะตั้งคำถามกับผมอยู่ตลอดว่า ตลาดหุ้นมีความผันผวนหนักควรทำอย่างไรดี และโอกาสการลงทุนอยู่ตรงไหนกันแน่?
ผมก็มักตอบว่า โอกาสการลงทุนมีอยู่ทุกช่วงครับ เพียงแต่ไม่มีใครคาดการณ์ได้เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น สิ่งที่คุณควรทำคือ การลงทุนอย่างมีหลักการ เพราะผมเคยเห็นหุ้นบางตัวที่ปรับขึ้นสวนทางกับตลาดหรือราคาเป็นขาลง แต่เมื่อความผันผวนที่เกิดขึ้นนั้นผ่านไป ก็พบว่าราคาจะพลิกกลับขึ้นมา หรือฟื้นตัวเร็วกว่าหุ้นอื่นๆ เพราะเป็นหุ้นที่มีธุรกิจพื้นฐานที่ดี ฟันฝ่าวิกฤติได้ดีกว่า หุ้นลักษณะแบบนี้ถือลงทุนระยะยาวได้ ถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีคุณภาพดี
เพราะจริงๆ ในโลกแห่งการลงทุน ไม่มีใครที่ลงทุนแล้วได้กำไรทุกปี ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนชื่อดังหลายๆ ท่านของโลก...
‘นายกอังกฤษ’ เตรียมยกเลิกมาตรการควบคุมโควิด-19 ทั้งหมด รวมไปถึงผู้ที่ติดเชื้อจะไม่ถูกบังคับให้กักตัว ตามแผนการอยู่ร่วมกับโควิด โดยจะเริ่มตั้งแต่สัปดาห์หน้าเป็นต้นไป
‘บอริส จอห์นสัน’ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ระบุถึงการจะยกเลิกมาตรการทางกฎหมายเพื่อควบคุมโควิดทั้งหมด โดยจะทำให้ประชาชนต้องป้องกันตัวเอง โดยไม่มีกฎหมายมาจำกัดเสรีภาพอีกต่อไป
“โควิดจะไม่หายไปในทันที เราจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับไวรัสนี้ และป้องกันตัวเองต่อไปโดยไม่จำกัดเสรีภาพของเรา”
เมื่อปลายเดือนม.ค.ที่ผ่านมา อังกฤษได้เริ่มทยอยยกเลิกมาตรการ เพื่อควบคุมการระบาดของโควิดหลายอย่าง โดยปลดล็อกมาตรการต่างๆ เช่น ไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากอนามัยในสถานที่ปิด เเละไม่จำเป็นต้องใช้ ’วัคซีนพาสปอร์ต’ ในการเข้าใช้บริการสถานที่ต่าง ๆ อีกต่อไป ขณะที่ผู้โดยสารที่ใช้บริการขนส่งสาธารณะ จะยังต้องสวมหน้ากากอนามัยขณะอยู่ในรถ แต่ไม่จำเป็นตามสถานที่อื่น ๆ
ทั้งนี้ ปัจจุบันชาวอังกฤษที่อายุมากกว่า 12 ปี มีอัตราการฉีดวัคซีนครบ 2 โดสราว 85% ท่ามกลางการระบาดของโควิดสายพันธุ์โอมิครอน ที่เเม้จะเเพร่กระจายอย่างรวดเร็ว เเต่อาการของผู้ป่วยไม่รุนแรงมาก
ค่าครองชีพพุ่ง ‘เงินเฟ้อ’...









