กระทิงแดง – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 23 May 2023 11:53:28 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “TCP” รุกคืบร่วมทุนท้องถิ่นในตลาดดาวรุ่ง “มาเลเซีย” ด้านรายได้องค์กรปี’66 วางเป้าโต 10-15% https://positioningmag.com/1431392 Tue, 23 May 2023 11:11:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1431392 TCP เปิดแผนปี 2566 รุกตลาดต่างประเทศต่อเนื่อง โฟกัสตลาด “มาเลเซีย” เซ็นสัญญาร่วมทุนท้องถิ่น “Yee Lee Group” เพื่อให้ “กระทิงแดง” ขยายตลาดได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ด้านตลาด “จีน” โรงงานในเสฉวนจะเริ่มเดินเครื่องปลายปีนี้ เพิ่มกำลังผลิตได้เป็นเท่าตัว วางเป้ารายได้ทั้งองค์กรปี’66 เติบโต 10-15% จากปีก่อน แม้ไตรมาสแรกไม่ค่อยสดใสนัก

“สราวุฒิ อยู่วิทยา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ TCP เปิดเผยว่า ปีนี้เป็นปีหนึ่งที่บริษัทมีความคืบหน้าในตลาดต่างประเทศสูง โดยล่าสุดเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา บริษัทเพิ่งรุกคืบในตลาด “มาเลเซีย” ไปอีกขั้น ด้วยการเซ็นสัญญาร่วมทุนกับ “Yee Lee Group” บริษัทท้องถิ่นในมาเลเซีย

โดย Yee Lee Group นั้นเป็นตัวแทนจัดจำหน่าย “กระทิงแดง” หรือ “Red Bull” ในมาเลเซียให้ TCP มานาน 8 ปี และทางบริษัทเห็นศักยภาพของตลาดนี้ว่ายังเติบโตเพิ่มขึ้นได้ จึงตัดสินใจร่วมทุน 50:50 ในบริษัท Yee Lee Marketing เพื่อให้ TCP ได้เข้าใจผู้บริโภคมาเลย์ได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น

นอกจากนี้ Yee Lee Group นั้นเป็นบริษัทใหญ่ด้าน FMCG ในมาเลเซีย เป็นทั้งผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าหลายกลุ่ม เช่น อาหาร น้ำดื่ม เครื่องอุปโภคบริโภค ดังนั้น จึงเป็นพันธมิตรที่สามารถร่วมงานกันได้ในระยะยาว

TCP มาเลเซีย
ตัวอย่างสินค้า Red Bull ที่จำหน่ายในมาเลเซีย

ปัจจุบัน “Red Bull” ที่จำหน่ายในมาเลเซียมี 3 รายการ คือ รสออริจินัล กระป๋องทอง, รสน้ำตาลน้อยลง 25% กระป๋องเงิน และ Red Bull Plus ไม่มีน้ำตาล และทั้งสามผลิตภัณฑ์นี้ส่งให้แบรนด์ Red Bull เป็นเครื่องดื่มชูกำลัง (Energy Drink) อันดับ 1 ของมาเลเซีย ด้วยส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 51.3% (ข้อมูลจาก NeilsenIQ)

สราวุฒิกล่าวต่อว่า ศักยภาพของมาเลเซียที่บริษัทเล็งเห็น คือ อัตราการบริโภคเครื่องดื่มชูกำลังที่ยังต่ำอยู่ โดยมีการบริโภคเพียง 1 ลิตรต่อคนต่อปี เทียบกับไทยมีการบริโภค 5 ลิตรต่อคนต่อปี หรือเวียดนามบริโภคสูงถึง 6 ลิตรต่อคนต่อปี จึงยังมีพื้นที่ว่างให้ตลาดนี้เติบโตได้อีกมาก

 

โรงงาน “จีน” ใกล้เดินเครื่อง

สำหรับประเทศจีน ตลาดใหญ่ของ TCP ตามรายงานข่าวก่อนหน้านี้ที่บริษัทเคยประกาศการลงทุน 2,000 ล้านหยวน (ประมาณ 9,800 ล้านบาท) เพื่อสร้างโรงงานผลิตเครื่องดื่มของบริษัทในมณฑลเสฉวน ครอบคลุมพื้นที่ 166 ไร่

สราวุฒิอัปเดตความคืบหน้าว่า โรงงานดังกล่าวจะเริ่มเดินเครื่องได้ภายในปลายปีนี้ และจะทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตเพิ่มอีก 1,400 ล้านกระป๋องต่อปี เติบโตเป็นเท่าตัว และยังมีพื้นที่เหลือสำหรับไลน์ผลิตสินค้าอื่นที่อาจมีขึ้นในอนาคต

TCP 9 หมื่นล้าน
พิธีวางรากฐานโรงงานแห่งใหม่กระทิงแดง มณฑลเสฉวน ประเทศจีน

โดยเครื่องดื่มกระทิงแดง หรือที่คนจีนรู้จักในชื่อ “หงหนิว” มีจำหน่ายในจีนมากว่า 30 ปีแล้ว และเป็นแบรนด์เครื่องดื่มชูกำลังอันดับ 1 อย่างไรก็ตาม สราวุฒิกล่าวว่าในระยะหลังมีแบรนด์ใหม่ๆ โดยเฉพาะแบรนด์ท้องถิ่นของจีนเองเกิดขึ้นมากมาย จึงเป็นความท้าทายที่ TCP จะต้องพัฒนาให้ทันผู้บริโภคอยู่เสมอ

ปลายปีนี้บริษัทจึงเตรียมจัดตั้งแผนกคิดค้นพัฒนาสินค้า เพื่อให้คนจีนพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงใจคนจีนเอง เป็นแต้มต่อในการครองตลาด

 

วางเป้าปี’66 เติบโต 10-15%

สำหรับประเทศไทยเองก็มีการลงทุนเพิ่มเติมเช่นกัน โดยปลายปีนี้คาดว่าจะได้เริ่มไลน์ผลิตเครื่องดื่มประเภทขวดแก้ว 2 ไลน์ใหม่ในโรงงานปราจีนบุรี สนับสนุนการผลิตเครื่องดื่มทุกแบรนด์ที่ใช้ขวดแก้ว เช่น กระทิงแดง, เรดดี้, โสมพลัส, ไฮ่ x DHC, สปอนเซอร์

ผลิตภัณฑ์ใหม่: (จากซ้าย) Red Bull โซดา แบบไม่มีน้ำตาล, FarmZaa มะปี๊ดโซดา จากฟาร์มเกษตรกรเมืองจันท์ และ Planett โซดากลิ่นดอกไม้และผลไม้ หนึ่งใน 50 สินค้านวัตกรรมด้านรสชาติ ในงาน THAIFEX-ANUGA ASIA 2023

รวมถึงมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในตลาดไทย ได้แก่ Red Bull Soda ไม่มีน้ำตาล 2 รสชาติ รสแอปเปิ้ล-องุ่นมัสแคต และ รสเกรปฟรุ๊ต-สับปะรด, FarmZaa มะปี๊ดโซดา, คอลลาเจนกัมมี่ DHC x Bestural และ Planett โซดากลิ่นดอกไม้และผลไม้ ซึ่งสินค้าใหม่ทั้งหมดสามารถเข้าชมและชิมได้ที่งาน THAIFEX-ANUGA ASIA 2023 ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี

สราวุฒิกล่าวว่า เมื่อปี 2565 ถือเป็นปีที่ดีมากของ TCP ทำรายได้ไปถึง 50,000 ล้านบาท เติบโตเกือบ 20% ซึ่งเกิดจากการฟื้นตัวในตลาดต่างประเทศ

ส่วนปี 2566 นี้ บริษัทยังตั้งเป้าเติบโต 10-15% แต่รายได้ในช่วงไตรมาสแรกยังไม่ดีเท่าที่ควร โดยยังทรงตัวไม่เติบโต อย่างไรก็ตาม พบว่าเกิดจากเมื่อปีก่อนบริษัทต่างๆ ต่างตุนสินค้าไว้มาก เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ซึ่งทำให้ช่วงไตรมาสแรกมีการชะลอการสั่งซื้อ จึงหวังว่าในช่วงที่เหลือของปีจะมียอดสั่งซื้อเพิ่มขึ้นและทำให้บริษัทโตได้ตามเป้าหมาย

]]>
1431392
TCP ส่ง ‘Red Bull Halls XS’ ลุยตลาดพรีเมียมเอนเนอร์จีดริ้งก์ หวังลบภาพ ‘เครื่องดื่มแรงงาน’ มัดใจ Gen Z https://positioningmag.com/1399928 Tue, 13 Sep 2022 05:12:12 +0000 https://positioningmag.com/?p=1399928 หากพูดถึงตลาด เครื่องดื่มชูกำลัง หรือ ภาพจำของผู้บริโภคก็คงมีอยู่ไม่กี่รายโดยเฉพาะในตลาด ขวดแก้ว หรือตลาดแมส แต่ก็ใช่ว่าตลาดจะถึงทางตัน เพราะในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมาตลาดยังเติบโตได้ 3% และกลุ่มที่ขับเคลื่อนตลาดก็คือ พรีเมียม ซึ่งมีการเติบโตถึง 5% ทำให้เครือ TCP เลือกที่จะโฟกัสในกลุ่มพรีเมียมเพื่อทำตลาด

พรีเมียมยังโตได้อีกเยอะ

สราวุฒิ อยู่วิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ TCP กล่าวว่า ตลาดเครื่องดื่มชูกำลังมีมูลค่าประมาณ 2 หมื่นล้านบาท โดยในช่วงปี 2020-2021 นั้นทรงตัวมาตลอดเพราะการระบาดของ COVID-19 แต่ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2022 มีการเติบโต 3% และคาดว่าทั้งปีจะสามารถเติบโตได้ถึง 10% โดยมีปัจจัยมาจากการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว การออกนอกบ้านมากขึ้นของประชาชน และจำนวนผู้เล่นในตลาดที่มีมากขึ้น

ที่น่าสนใจคือ ตลาดพรีเมียม (ราคา 15 บาทขึ้นไป) ที่แม้จะคิดเป็นเพียง 10% ของตลาดเครื่องดื่มชูกำลัง แต่มีอัตราเติบโตถึง 5% โดยปัจจุบันจะเริ่มเห็นแบรนด์ทั้งจากทั้งในและนอกอุตสาหกรรมเครื่องดื่มหันมาลงเล่นในเซ็กเมนต์นี้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น G-BEAT (จี บีท) หรือ PredatorShot จาก เอเซอร์ ดังนั้น เชื่อว่าจะยิ่งช่วยกันดันตลาดให้เติบโตยิ่งขึ้น เพราะปัจจุบันผู้บริโภคยังคงเข้าถึงเครื่องดื่มเซ็กเมนต์นี้เพียง 21% เท่านั้น และ 50% เป็นกลุ่ม Gen Z

“เราเป็นเบอร์ 2 ของตลาดไทย มีส่วนแบ่งที่ 21% (กระทิงแดง, เรดดี้ และโสม) ส่วนกลุ่มพรีเมียมเรามีแบรนด์เรดดี้มีส่วนแบ่งตลาด 5% ดังนั้น ยังมีการบ้านให้ทำอีกมาก

เจาะ Gen Z ต้องลบภาพเครื่องดื่มแรงงาน

อย่างไรก็ตาม การจะจับกลุ่มพรีเมียมที่มีผู้บริโภคส่วนใหญ่เป็น Gen Z ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก โดย ณุชชนา อดิทิพยางกูร รองผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด Global – Energy กลุ่มธุรกิจ TCP อธิบายว่า เนื่องจากคน Gen Z ติดภาพว่าเครื่องดื่มชูกำลังเป็นเครื่องดื่มของ คนใช้แรงงาน หรือเป็นเครื่องดื่มเฉพาะกิจที่ต้อง ใช้แรง นอกจากนี้ รสชาติเครื่องดื่มชูกำลังแบบดั้งเดิมมีความ เฉพาะเจาะจง

ดังนั้น แบรนด์จึงเลือกสานต่อความร่วมมือกับ มอนเดลีซ ผู้ผลิตและจำหน่ายลูกอมฮอลล์ หลังจากที่เคยออก ลูกอม Halls XS Red Bull ในปีที่ผ่านมา โดยออกเป็น Red Bull Halls XS ที่นำเอา 2 รสชาติที่ขายดีที่สุดของ ลูกอมฮอลล์ (Halls) อย่าง วอเตอร์เมลอน และ เมนโทลิปตัส มาใส่ในผลิตภัณฑ์เป็น 2 รสชาติใหม่ โดยชูจุดเด่นที่มีความเย็นสดชื่นและไม่มีน้ำตาล

แต่ไม่ใช่แค่รสชาติที่จะช่วยสร้างความแตกต่าง อีกประโยชน์ที่ได้จากการร่วมกับ Halls XS คือ ภาพลักษณ์ เนื่องจาก Hall XS จับกลุ่ม Young Gen และคนเมืองอยู่แล้ว ก็จะยิ่งทำให้ภาพของ Red Bull ดูเฟรนด์ลี่มากขึ้น นอกจากนี้ ราคา ก็เป็นอีกสิ่งที่สำคัญ แบรนด์ยังวางราคาจำหน่ายที่ 15 บาท ซึ่งเป็นราคาเริ่มต้นของกลุ่มพรีเมียม ก็จะช่วยให้เข้าถึงได้ง่ายยิ่งขึ้น

“ตลาดขวดแก้วมันเป็นตลาดที่อิ่มตัวอยู่แล้วและผู้เล่นหลักก็แข็งแรง ดังนั้น มันเป็นเกมที่ยาก แต่ถ้าเป็นพรีเมียมมันยังเป็นตลาดที่เพิ่งเริ่ม ดังนั้น ความยากคือการดันคนให้เข้ามาในกลุ่มนี้ให้มากขึ้น ซึ่งจริง ๆ แล้วมันมีความต้องการ แต่ไม่ตอบโจทย์แพ็กเกจจิ้ง และรสชาติ ดังนั้น ถ้าดีไซน์แพ็กเกจจิ้งดี รสชาติที่แตกต่าง เราเชื่อว่าเขาก็จะเปิดใจกล้าลองมากขึ้น”

ทุ่ม 100 ล้านบาทใช้อีสปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง

หากพูดถึงการทำการตลาดของ Red Bull จะเน้นไปที่ กีฬาเอ็กซ์ตรีม เป็นส่วนใหญ่ แต่สำหรับการทำตลาดของ Red Bull Halls XS ใช้จะเน้นไปที่ อีสปอร์ต เป็นหลัก ในขณะที่ช่องทางการสื่อสารจะใช้ TikTok แพลตฟอร์มวิดีโอสั้นที่กำลังเป็นที่นิยมของ Gen Z โดยใช้งบการตลาดถึง 100 ล้านบาท

คู่แข่งที่มาใหม่ก็ใช้อีสปอร์ตมาร์เก็ตติ้งเหมือนกัน ดังนั้น การจับแพชชั่นพอยต์คงไม่ต่างกัน แต่ด้วยตัวโปรดักส์และเนื้อหาการสื่อสารเราเชื่อว่ามันจะตรงใจมากกว่า เพราะเราคงไม่สื่อสารไปตรง ๆ ว่าดื่ม Red Bull Halls XS แล้วจะได้ประโยชน์อะไร แต่พยายามสื่อสารถึงการครีเอทสิ่งใหม่ ๆ ดังนั้น แม้จะใช้ KOL หรืออีสปอร์ตเหมือนกัน แต่การสื่อสารจะต่างกัน”

ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีแรกสินค้ากระทิงแดงและ Red Bull มีการเติบโต 2 หลัก คาดว่าในสิ้นปีจะเติบโตได้ 11% และในส่วนของกลุ่มพรีเมียมตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งตลาดให้ได้เท่าตัวภายใน 3 ปี หรือ 10% โดยจากนี้จะมีการออกรสชาติและแบรนด์ใหม่ ๆ ออกมาทำตลาดอีกในอนาคต

]]>
1399928
ภารกิจใหม่ TCP ก้าวสู่ยอดขาย “9 หมื่นล้าน” ใน 3 ปี ส่งแบรนด์บุกนอกให้มากกว่า “กระทิงแดง” https://positioningmag.com/1383438 Fri, 29 Apr 2022 08:04:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1383438
  • กลุ่มธุรกิจ TCP เปิดเป้าหมายใหม่ ก้าวสู่ยอดขาย “9 หมื่นล้าน” ภายใน 3 ปี (2565-67) เติบโต 2 เท่าตัว ดำเนินการผ่าน 3 กลยุทธ์ Fulfilling, Growing และ Caring
  • เพิ่มพอร์ตสินค้าทั้งกลุ่ม Energy Drink และ Non-Energy Drink รุกตลาดต่างประเทศ โดยจะผลักดันแบรนด์อื่นนอกเหนือจาก “กระทิงแดง” (RedBull) ให้มากขึ้น
  • ตั้งงบลงทุน 12,000 ล้านบาท ลุยสร้างโรงงานใหม่ในจีน เพิ่มกำลังการผลิต ใช้เทคโนโลยีใหม่ลดต้นทุน
  • เป้าด้านสิ่งแวดล้อม เปลี่ยนมาใช้บรรจุภัณฑ์รีไซเคิลได้ 100% ภายในปี 2567
  • ย้อนไปเมื่อปี 2560 ซึ่งเป็นปีที่ “กระทิงแดง” ทำการรวมกลุ่มแบรนด์ในเครือให้อยู่ภายใต้ “กลุ่มธุรกิจ TCP” และมีการตั้งเป้าหมายที่ ‘aggressive’ อย่างมาก ต้องการจะเพิ่มยอดขายจากกว่า 30,000 ล้านบาทในขณะนั้น ขึ้นไปเป็น 3 เท่าตัว แตะ 1 แสนล้านบาท ภายในปี 2565

    แต่ใครจะคาดถึงว่าระหว่างทางจะเผชิญวิกฤตร่วมกับทั้งโลก ตั้งแต่โรคระบาด COVID-19 สงครามความขัดแย้ง นำมาสู่ค่าพลังงานพุ่ง และเงินเฟ้อ ทำให้การเร่งตัวของ TCP ไม่เป็นดั่งใจนึก แต่ก็ยังเติบโตได้ดีจนปี 2564 ปิดยอดขายที่เกือบ 45,000 ล้านบาท

    TCP 9 หมื่นล้าน
    “สราวุฒิ อยู่วิทยา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ TCP

    หลังผ่านช่วงวิกฤต ในที่สุดบริษัทพร้อมจะลุยเต็มที่อีกครั้งโดย “สราวุฒิ อยู่วิทยา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ TCP เปิดเป้าหมายใหม่กับภารกิจ “ปลุกพลัง เพื่อวันที่ดีกว่า” ต้องการทำยอดขาย 90,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปี (2565-67) เติบโตเป็น 2 เท่าตัว โดยมีกลยุทธ์ที่จะใช้ 3 ด้าน คือ

    1. Fulfilling ปลุกพลังแบรนด์สินค้า
    2. Growing ปลุกพลังธุรกิจเติบโต
    3. Caring ปลุกพลังห่วงใยสิ่งแวดล้อม

     

    ไม่ทิ้ง “กระทิงแดง” แต่ “แบรนด์ใหม่” ก็ต้องไปสู่ตลาดโลก

    กลยุทธ์แรกที่จะปลุกพลังแบรนด์สินค้า ในรอบ 3 ปี TCP จะมีการออกสินค้าใหม่ ดังนี้

    • “แบรนด์กระทิงแดง” จะเปิดสินค้าใหม่ไม่ต่ำกว่า 10 SKUs โดยจะสร้างความน่าตื่นเต้น ใหม่ทั้งด้านรสชาติ ส่วนผสม จุดขาย ภาพลักษณ์สร้างความทันสมัย เข้ากับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ เกิดความพรีเมียมในตลาด
    • “แบรนด์ใหม่” จะเปิดตัวใหม่อย่างน้อย 5 แบรนด์ โดยมุ่งเน้นในกลุ่ม Health & Wellness เพราะเป็นเทรนด์ของโลก
    แบรนด์ใหม่ โปรดักส์แบบใหม่ที่ออกมาทดลองตลาด ด้านซ้ายคือ “Hopster” เครื่องดื่มกลิ่นฮอปไม่มีแอลกอฮอล์ และขวาคือ “มายด์เบอรี่” เครื่องดื่มเยลลี่บำรุงความจำ

    ปัจจุบันกลุ่ม TCP ยังมี ‘ฮีโร่ โปรดักส์’ เป็นกลุ่ม Energy Drink อยู่ แบรนด์อย่าง กระทิงแดง (RedBull), เรดดี้, โสมพลัส, วอริเออร์ คิดเป็นสัดส่วนถึง 85% ของยอดขายรวม ขณะที่ Non-Energy Drink เช่น กลุ่มเครื่องดื่มเกลือแร่ สปอนเซอร์ กลุ่มฟังก์ชันนอลดริงก์ แมนซั่ม และ ไฮ่! x DHC กลุ่มชา เพียวริคุ หรือขนมขบเคี้ยว ซันสแนค ยังคิดเป็นเพียง 15% ในพอร์ต

    โดยเฉพาะ “กระทิงแดง” ที่เป็นที่รู้จักและแทบจะเป็นแบรนด์เดียวที่ทำยอดขายในต่างประเทศได้ แต่แผนใหม่ 3 ปีจากนี้บริษัทต้องการจะดันสินค้าอื่นให้โตในต่างประเทศได้เหมือนกัน

    “เราคิดว่าเราสามารถผลักดันให้แบรนด์อื่นประสบความสำเร็จในต่างประเทศได้เหมือนกัน เราไม่ควรติดยึดกับกระทิงแดงตัวเดียว”

    สราวุฒิเล็งเป้าหมายแบรนด์ที่จะดันไว้ที่ “สปอนเซอร์” กำลังทดลองตลาดว่าจะตอบรับกับชื่อแบรนด์นี้แค่ไหน โดยเห็นโอกาสทั้งจีน เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย แต่หากไม่เวิร์กจริงๆ ก็พร้อมที่จะปั้นแบรนด์ใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับรสนิยมของตลาด เหมือนอย่าง “วอริเออร์” ที่เข้าไปชิงมาร์เก็ตแชร์ตลาดเครื่องดื่มชูกำลังของเวียดนามได้ 5%

    “เราคิดว่าเราสามารถผลักดันให้แบรนด์อื่นประสบความสำเร็จในต่างประเทศได้เหมือนกัน เราไม่ควรติดยึดกับกระทิงแดงตัวเดียว” สราวุฒิกล่าว

    แบรนด์สปอนเซอร์ เครื่องดื่มที่มีโอกาสผลักดันเข้าสู่ตลาดต่างประเทศ

     

    ลงทุน 12,000 ล้าน กันงบ 60% ตั้งโรงงานจีน

    กลยุทธ์ที่สองคือการลงทุนเพื่อเติบโต 3 ปีนี้ TCP จะลงทุนรวม 12,000 ล้านบาท ซึ่งแบ่งออกเป็น

    • 60% ใช้ในการลงทุนโรงงานแห่งใหม่ที่มณฑลเสฉวน ประเทศจีน
    • 20% ใช้เพิ่มกำลังผลิตโรงงานเดิม
    • 20% ปรับปรุงเทคโนโลยีใหม่ ใช้ระบบออโตเมชันเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต เพิ่มฟังก์ชันรักษาสิ่งแวดล้อม

    โปรเจ็กต์ใหญ่ที่สำคัญคือการตั้งโรงงานจีนนี้เอง โดยสราวุฒิท้าวความก่อนว่าแต่เดิม “กระทิงแดง” มีจอยต์เวนเจอร์สัญญา 20 ปีกับพาร์ทเนอร์ชาวจีน แต่เมื่อสัญญาหมดลง และพาร์ทเนอร์รายใหม่ไม่ราบรื่น ทำให้บริษัทตัดสินใจเข้าบริหารเองทั้งหมดมาตั้งแต่ปี 2561

    TCP 9 หมื่นล้าน
    พิธีวางรากฐานโรงงานแห่งใหม่กระทิงแดง มณฑลเสฉวน ประเทศจีน

    จากเดิมที่มีโรงงานแห่งเดียวบนเกาะไห่หนาน บวกกับการจ้างโรงงาน OEM จีน 4 แห่ง ไม่เพียงพอตอบสนองตลาดจีนอีกต่อไป จึงมีโครงการสร้าง โรงงานแห่งที่ 2 มูลค่าการลงทุนเบื้องต้น 1,100 ล้านหยวน กำลังผลิต 1,400 ล้านกระป๋องต่อปี เริ่มสร้างแล้วในมณฑลเสฉวน เพราะเป็นพื้นที่ที่สินค้าขายดี และรัฐบาลสนับสนุน อำนวยความสะดวก

    ตลาดจีนมีความสำคัญกับ TCP มาก เพราะขนาดตลาดใหญ่ เศรษฐกิจเติบโต มีโอกาสรออยู่สูง สราวุฒิประเมินว่าบริษัทต้อง ‘เพิ่มกำลังผลิตอีก 2 เท่า’ ถึงจะพอรองรับ และเชื่อว่าอนาคตจีนจะเป็นแหล่งรายได้อันดับ 1 ของกลุ่ม (ปัจจุบันอันดับ 1 คือไทย ตามด้วยเวียดนาม และจีน)

     

    เป้ารักษ์โลก ลดคาร์บอน รีไซเคิล คืนแหล่งน้ำ

    สุดท้ายคือการรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งสราวุฒิกล่าวว่าเป็นเรื่องที่ ‘รอไม่ได้อีกแล้ว’ และต้องการให้เห็นว่ากลุ่ม TCP ทำจริง ไม่ได้ตั้งโครงการเพื่อใส่ไว้ในรายงานประจำปี เป้าหมายที่จะทำทั้งหมด ได้แก่

    • ลดการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ ภายในปี 2593
    • ต้องการเป็น Circular Economy ภายในปี 2567 บรรจุภัณฑ์ของกลุ่มจะรีไซเคิลได้ 100% โดยเริ่มทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์และองค์กรระดับโลกแล้วเพื่อเปลี่ยนทั้งซัพพลายเชน
    • ต้องการเป็นบริษัท Water Net Positive ภายในปี 2573 เนื่องจากบริษัทมีการใช้น้ำเป็นวัตถุดิบในการผลิตมาก ดังนั้น บริษัทจะคืนน้ำกลับสู่ธรรมชาติให้ได้มากกว่าที่ดึงมาใช้ผลิต โดยจะช่วยผ่านการรักษาอนุรักษ์น้ำตามธรรมชาติ

    ทั้งหมดคือแผนและเป้าของ TCP ซึ่งสราวุฒิมองว่ายังเป็นแผนที่ ‘aggressive’ เช่นเคย ยังคงท้าทาย แต่มองเห็นความเป็นไปได้ ท่ามกลางปัจจัยลบที่กระหน่ำอยู่ในโลกขณะนี้

    “ถ้าเราตอบว่าเรามั่นใจกับสถานการณ์ภายนอกคือเราโกหก แต่เรามั่นใจกับแผนของเรา มีการพูดคุยกับซัพพลายเชนให้โตไปพร้อมกับเราได้ ปูพื้นวัฒนธรรมการทำงานของคนในองค์กรให้ตอบรับกับโลกยุคหลัง COVID-19 เราไม่ได้มั่นใจ 90-100% เหมือนในสมัยก่อนแล้วค่อยลงทุน เราต้องเดินต่อไป เพราะโลกทุกวันนี้คือการต้องลองทำไปก่อน” สราวุฒิกล่าวปิดท้าย

    ]]>
    1383438
    PTTOR, กรุงศรี, TCP ลงขัน 3,000 ล้านบาทอัดฉีด ‘Flash Express’ บู๊ศึกโลจิสติกส์ https://positioningmag.com/1301107 Mon, 12 Oct 2020 08:37:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1301107 ถือเป็นม้ามืดที่ยิ่งน่าจับตาเข้าไปใหญ่สำหรับ ‘แฟลช เอ็กซ์เพรส’ (FLASH EXPRESS) ผู้เล่นน้องใหม่ในตลาดขนส่งที่ทำตลาดได้ 2 ปี ก็ขึ้นแท่น Top 3 ในตลาด และจากนี้จะยิ่งน่ากลัว เพราะแฟลชพึ่งได้เงินลงทุนใหม่ระดับ Series D ด้วยมูลค่ากว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 3,000 ล้านบาท

    สำหรับเงินลงทุนดังกล่าวมาจาก 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ของไทยที่ร่วมกันลงขัน ได้แก่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ PTTOR บริษัทลูกของ ปตท. ตามด้วยกรุงศรี ฟินโนเวต และสุดท้าย เดอเบล (Durbell) ซึ่งเป็นดิสทริบิวเตอร์ภายใต้เครือ TCP หรือเจ้าของแบรนด์กระทิงแดงนั่นเอง อย่างไรก็ตาม ไม่มีการเปิดเผยว่าแต่ละรายนั้นลงทุนคนละเท่าไร

    ด้าน คมสันต์ ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทแฟลช เอ็กซ์เพรส จำกัด ได้ระบุว่า การร่วมทุนครั้งนี้นั้นเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์การขยายธุรกิจในกลุ่ม new s-curve ได้แก่ อุตสาหกรรมด้านพลังงานและโลจิสติกส์ ต่อยอดไปยังกลุ่มธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค และธุรกิจการเงินเพื่อสร้างความแข็งแกร่งในตลาด อีกทั้งยังเป็นโอกาสการสร้างและขยายโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านแพลตฟอร์มทางการเงิน การนำระบบ e-Payment เข้ามาใช้ในระบบขนส่ง ให้เกิดเป็น อี-คอมเมิร์ซ แบบครบวงจรมากยิ่งขึ้น

    “จุดประสงค์หลักของการร่วมทุนในครั้งนี้ คือ การนำเอาศักยภาพ และจุดเด่นของแต่ละธุรกิจเข้ามาผสานรวมกันเพื่อพัฒนาโมเดลธุรกิจในรูปแบบต่าง ๆ ที่จะสามารถรองรับการขยายตัวของธุรกิจ E-commerce รวมถึงการพัฒนาระบบขนส่งในรูปแบบ Ecosystem ที่สามารถเชื่อมโยงกับ supply chain ได้อย่างครบวงจร ตลอดจนพัฒนาระบบขนส่งให้เข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมในภาคบริการอื่น ๆ ที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น”

    คมสันต์ ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทแฟลช เอ็กซ์เพรส จำกัด

    คมสันต์ กล่าวต่อว่า เงินระดมทุน Series D นั้นเป็นแค่ จุดเริ่มต้น เพราะหลังจากนี้ยังมีกลุ่มธุรกิจอื่น ๆ ในไทยที่เตรียมประกาศความเป็นพันธมิตรร่วม โดยอยู่ในระหว่างขั้นตอนการเจรจา ซึ่งคาดว่าน่าจะมีความชัดเจนภายในช่วงไตรมาสแรกของปี 2021 ซึ่งจากนี้คงต้องรอดูยาว ๆ ว่าจะเป็นใครและจะได้เงินระดมทุนอีกเท่าไหร่ เพราะแฟลช เอ็กซ์เพรสเคยระบุว่าต้องการขยายตลาดให้ครบทั้ง 10 ประเทศอาเซียน ซึ่งต้องใช้งบลงทุน 30,000 – 40,000 ล้านบาท เพื่อเชื่อมโยงระบบขนส่งเป็นเครือข่ายเดียวกันในอาเซียน รองรับการเติบโตของตลาดอี-คอมเมิร์ซในภูมิภาค โดยภายในปีนี้บริษัทตั้งเป้าที่จะขยายให้ได้ 3 ประเทศ

    ทั้งนี้ ในช่วง 2 ปีที่ทำตลาดมาแฟลช เอ็กซ์เพรสได้ลงทุนในไทยแล้วเกือบ 10,000 ล้านบาท โดยมีศูนย์บริการกว่า 10,000 แห่ง รถขนส่งพัสดุกว่า 15,000 คัน และพนักงานกว่า 23,000 คน โดยในช่วงที่เกิดการระบาดของไวรัส COVID-19 ซึ่งส่งผลให้ตลาดอีคอมเมิร์ซเติบโตนั้น ก็ได้ส่งผลให้ช่วงครึ่งปีแรกแฟลช เอ็กซ์เพรสมีอัตราเติบโตถึง 3,000% โดยมียอดส่งพัสดุรวมกว่า 100 ล้านชิ้น โดยมียอดส่งพัสดุเฉลี่ยต่อวันมากกว่า 1 ล้านชิ้นและมีรายได้ต่อเดือนมากกว่า 1,000 ล้านบาท

    เรียกได้ว่าตลาด ‘ขนส่ง’ ของไทยนับวันยิ่งดุเดือด โดยเฉพาะฝั่งของเอกชนที่เราจะได้เห็นผู้เล่นผู้เล่นหน้าใหม่ ๆ ต่างตบเท้าเข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง แถมเเต่ละรายทุนยังหนาปึก อาทิ ‘เบสท์ เอ็กซ์เพรส’ (BEST Express) ที่มี ‘แจ็ค หม่า’ แห่ง ‘อาลีบาบา’ หนุนหลัง ดังนั้นสิ่งที่เกิดคือ สงครามราคา แต่ไม่ว่าสงครามนี้จะจบอย่างไร ผู้บริโภคอย่างเรา ๆ ก็มีเเต่ได้กับได้ ทั้งค่าส่งที่ ถูกลง และระยะเวลาส่งพัสดุที่ เร็วขึ้น

    ]]>
    1301107
    ภารกิจรีเฟรชแบรนด์ “สปอนเซอร์ แอคทีฟ” ขยายฐานคนรุ่นใหม่ ลบภาพเครื่องดื่มนักกีฬา https://positioningmag.com/1249009 Mon, 07 Oct 2019 13:26:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1249009 TCP หรือกลุ่มกระทิงแดงได้รีเฟรชแบรนด์สปอนเซอร์ แอคทีฟ ปรับรสชาติใหม่ เปลี่ยนฉลาก พร้อมเปิดตัว “เก้า สุภัสสรา” เป็นพรีเซ็นเตอร์ผู้หญิงคนแรก หวังขยายฐานไปสู่กลุ่มคนรุ่นใหม่มีไลฟ์สไตล์แอคทีฟ 

    แม้เป็นเจ้าตลาด แต่ก็ต้องขยายตลาด

    ตลาดเครื่องดื่มเกลือแร่ หรือสปอร์ตดริ้งค์ขึ้นชื่อว่าเป็นตลาดที่หินพอสมควร เพราะมีผู้เล่นรายใหญ่อย่าง “สปอนเซอร์” จากค่าย TCP หรือกระทิงแดง ได้ครองส่วนแบ่งการตลาดไปแล้วกว่า 90% เพราะได้ทำตลาดมานานกว่า 30 ปี ยากที่จะมีแบรนด์ไหนมาโค่นลงไปได้

    แต่ตลอดเครื่องดื่มเกลือแร่ก็มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี แม้ไม่ได้หวือหวามากนัก ในปัจจุบันมีมูลค่า 5,000 ล้านบาท เติบโต 15% เพราะด้วยเทรนด์ของคนออกกำลังกายมากขึ้น มีไลฟ์สไตล์อยู่นอกบ้านมากขึ้น อีกทั้งเมืองไทยเป็นเมืองร้อน ผู้บริโภคต้องการเครื่องดื่มที่เติมความสดชื่นแก่ร่างกาย

    สปอนเซอร์ได้มีสินค้าแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่ สปอนเซอร์ ออริจินัล หรือที่เรียกกันคุ้นเคยว่าสปอนเซอร์สีเหลือง เป็นรสดั้งเดิม และสปอนเซอร์ แอคทีฟ เป็นสปอนเซอร์รสชาติใหม่ๆ เป็นเหมือนซับแบรนด์ที่มีการปรับชื่อมาหลายครั้ง จนล่าสุดได้ลงเอยที่ชื่อสปอนเซอร์ แอคทีฟ

    สำหรับการทำการตลาดของทั้ง 2 กลุ่มก็มีความแตกต่างกัน สปอนเซอร์ ออริจินัลจะเน้นที่กลุ่มคนออกกำลังกาย นักกีฬาเป็นหลัก มีพรีเซ็นเตอร์เป็นนักฟุตบอลทีมชาติไทย ด้วยการกำหนดจุดยืนมาตั้งแต่แรกทำให้ยากที่จะปรับภาพลักษณ์ใหม่

    ทำให้โจทย์ใหญ่ของสปอนเซอร์คือการมีสินค้าใหม่ เปิดแบรนด์ใหม่ที่จับกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ถึงแม้ว่าจะมีส่วนแบ่งการตลาดที่เกือบกินทัง้ตลาดไปแล้ว แต่สวปอนเซอร์ยังคงขยายตลาดอย่างต่อเนื่อง

    ปรับภาพลักษณ์ ไม่ได้สำหรับคนออกกำลังกายเท่านั้น

    หน้าที่ของการขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ จึงเป็นหน้าที่ของแบรนด์สปอนเซอร์ แอคทีฟ โดยล่าสุดได้ทำการรีเฟรชแบรนด์ใหม่ มี 3 ราติ 3 สูตรด้วยกัน ได้แก่ สีเขียว สีแดง และสีฟ้า พร้อมปรับฉลากใหม่ ปรับสูตรให้น้ำตาลน้อยลง

    และได้ดึงเก้า สุภัสสรา ธนชาตเป็นพรีเซ็นเตอร์สาวคนแรกของแบรนด์ เพราะก่อนหน้านี้มีการใช้พรีเซ็นเตอร์ผู้ชายมาโดยตลอด และเก้าเองก็มีคาแร็กเตอร์ตรงกับแบรนด์ หวังใช้พูดคุยกับคนรุ่นใหม่

    ศุภชัย จุนเกียรติ ผู้อำนวยการสายงานการตลาดโกลเบิล กลุ่มธุรกิจ TCP

    ศุภชัย จุนเกียรติ ผู้อำนวยการสายงานการตลาดโกลเบิล กลุ่มธุรกิจ TCP เล่าว่า

    ครั้งนี้เป็นการรีลอนซ์แบรนด์สปอนเซอร์ แอคทีฟครั้งใหญ่ที่สุด มีการปรับสูตร ปรับฉลาก ปรับวิธีการสื่อสารใหม่ เพราะเห็นช่องว่างที่ผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ยังเข้าไม่ถึงสปอร์ตดริ้งค์ จริงๆ ไม่ได้แค่คนออกกำลังกาย แต่ยังเป็นคนทำงาน มีไลฟ์สไตล์แอคทีฟต่างๆ และต้องการปรับภาพลักษณ์ให้ทันสมัยมากขึ้นด้วย

    ศุภชัยยังเสริมอีกว่า ในอดีตเครื่องดื่มเกลือแร่ หรือสปอร์ตดริ้งค์มีการโฆษณาเน้นเรื่องการออกกำลังกายเป็นส่วนใหญ่ จึงทำการวิจัยว่าทำอย่างไรให้เข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น มีการปรับสูตรให้น้ำตาลน้อยลง เพราะคนรุ่นใหม่กังวลเรื่องน้ำตาล และดึงเก้าเป็นพรีเซ็นเตอร์เพราะต้องการให้หลุดกรอบจากนักกีฬา

    ทำไมเครื่องดื่มเกลือแร่ต้องอยู่ในขวดแก้ว?

    อีกหนึ่ง Pain Point ใหญ่ของเครื่องดื่มเกลือแร่ที่ทำให้เป็นกำแพงกับคนรุ่นใหม่ก็คือ แพ็กเกจจิ้งขวดแก้ว จะเห็นว่าหลายๆ แบรนด์เลือกใช้แพ็กเกจจิ้งนี้ในตลาดแต่คนรุ่นใหม่นิยมพกพาขวดพลาสติกหรือกระป๋องเสียมากกว่าเพราะสะดวกและดูทันสมัยกว่า

    แต่ทางศุภชัยบอกว่าขวดแก้วยังคงเป็นแพ็กเกจจิ้งสำคัญในตลาดเครื่องดื่มเกลือแร่ เพราะขวดแก้วทำให้คงวิตามินของเครื่องดื่มได้ดี แม้จะมีข้อจำกัดในการเข้าถึงผู้บริโภค แต่ก็ไม่เปลี่ยนใจไปแพ็กเกจจิ้งอื่น เพียงแต่เพิ่มทางเลือกด้วยแพ็กเกจจิ้งแบบกระป๋องเข้ามาให้คนรุ่นใหม่เท่านั้นเอง.

    ]]>
    1249009
    เป้าหมายมีไว้พุงชน! “กระทิงแดง” เตรียมบุกสิงคโปร์ พร้อมตั้งเป้ายอดขาย 60,000 ล้านบาทใน 3 ปีจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ https://positioningmag.com/1234818 Sun, 16 Jun 2019 06:59:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1234818 สมกับสโลแกนคุ้นหูอย่างเป้าหมายมีไว้พุงชนของแท้เสียแล้ว เมื่อกระทิงแดงเครื่องดื่มให้พลังงานซึ่งผลิตและจัดจำหน่ายโดยกลุ่มธุรกิจ TCP วางเกมรุกตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างจริงจัง พร้อมกับตั้งเป้าหมายเอาไว้พุ่งชนด้วยต้องการเติบโตสูงขึ้น 2 เท่า มียอดขายแตะ 60,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปี

    กระทิงแดงหรือ เรดบูล ระบุว่าตัวเองนั้นเป็นแบรนด์ที่รู้จักกันดีในระดับโลก เพราะอยู่ในตลาดมายาวนานถึง 40 ปี โดยเป็นแบรนด์เครื่องดื่มให้พลังงานจากไทยเพียงหนึ่งเดียว ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้นำอันดับ 1 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยส่วนแบ่งการตลาดราว 40% และขึ้นครองเป็นผู้นำเครื่องดื่มให้พลังงานที่ติดอันดับ 1 ใน 3 ของทุกประเทศที่ได้เข้าไปบุกตลาด

    ภายในปี 2019 กระทิงแดงตั้งเป้ายอดขายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเติบโตขึ้น 15% โดยกลยุทธ์สำคัญจะมาจากการบุกสิงคโปร์หลังพบว่าตลาดนี้มีศักยภาพการเติบโตสูง และการเป็นศูนย์กลางด้านธุรกิจในระดับนานาชาติของประเทศสิงคโปร์

    การรุกครั้งนี้จะนำร่องด้วยเครื่องดื่มให้พลังงานเรดบูล พลัสเนื่องจากพบว่า ผู้บริโภคเริ่มหันมาใส่ใจเรื่องการควบคุมการบริโภคน้ำตาล จึงเหมาะกับเครื่องดื่มตัวนี้ที่เป็นเครื่องดื่มให้พลังงานสูตรพรีเมียม ปราศจากน้ำตาล ผสมวิตามินนานาชนิด มาพร้อมกับบรรจุภัณฑ์ใหม่สุดเท่ในรูปแบบสลิมแคน (slim can)

    เน้นเจาะกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพและภาพลักษณ์ โดยจะเริ่มนำร่องจัดจำหน่ายในปลายเดือนมิถุนายนที่ประเทศสิงคโปร์ และตั้งเป้าจะขยายสู่ตลาดในประเทศอื่นๆ ต่อไป

    อย่างไรก็ตาม เป้าหมายยอดขาย 60,000 ล้านบาทก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นเดียวกัน จะหวังพึ่งสินค้าอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอศุภชัย จุนเกียรติผู้อำนวยการสายงานการตลาดโกลเบิล กลุ่มธุรกิจ TCP กล่าวว่า การสร้างแบรนด์ไทยให้เติบโตและมีชื่อเสียงในระดับโลก ต้องเริ่มจากการสร้างรากฐานขององค์กรอย่างบุคลากรให้แข็งแกร่ง

    เป็นที่มาของการฟอร์มทีมงาน Global Marketing และทีมการตลาดประจำประเทศต่างๆ รวมกว่า 100 คน เพื่อดูแลการตลาดของกระทิงแดงทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

    โดยทีมงานในแต่ละประเทศต้องปรับเปลี่ยนทิศทางการทำงาน ให้เข้ากับพฤติกรรมการบริโภควัฒนธรรมและไลฟ์สไตล์ความเป็นอยู่ของผู้บริโภค และบริบทในประเทศนั้นๆ แต่ยังคงต้องหลอมรวมเป็นหนึ่ง เพื่อที่จะสื่อสารความเป็นเอกลักษณ์ของกระทิงแดงออกมาในทิศทางเดียวกัน

    ภายใต้งบการตลาดกว่า 3,000 ล้านบาท เกมการตลาดจะเดินไปใน 3 ทิศทางหลัก ได้แก่

    1. เสริมทัพทีมการตลาด Global Marketing เพื่อช่วยให้การบุกตลาดต่างประเทศที่แต่เดิมมีฝ่ายธุรกิจต่างประเทศ (International Business) เป็นหัวหอกเรื่องการขายเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับกระทิงแดงในสถานการณ์ตลาดปัจจุบันที่มีการแข่งขันสูงขึ้น

    โดยมุ่งพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ขยายฐานผู้บริโภคพร้อมทั้งสร้างการรับรู้ของแบรนด์ให้เข้าถึงผู้บริโภคเพื่อมุ่งเดินหน้าไปสู่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ขึ้นและก้าวเป็น 1 ใน 2 (Top 2) ผู้นำเครื่องดื่มให้พลังงานทุกประเทศทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    2.ขยายศักยภาพการเติบโต ด้วยผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกเซ็กเมนต์ ปัจจุบันกระทิงแดงมีพอร์ตโฟลิโอหลากหลายถึง 10 ผลิตภัณฑ์

    3.สร้างนวัตกรรมการสื่อสารรูปแบบใหม่ โดยกระทิงแดงจะเน้นสื่อสารกับผู้บริโภคผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มในรูปแบบต่างๆ ซึ่งจะสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้มาก อาทิ ไลน์ (ในตลาดเมืองไทย) สื่อโซเชี่ยลมีเดีย และวอตส์แอปป์ (ในตลาดต่างประเทศ) โดยจะปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับบริบทและความนิยมของผู้บริโภคในแต่ละประเทศ

    ขณะเดียวกันตลาดในเมืองไทยได้มีการเปิดตัว กระทิงแดง เอ็กซ์ตร้าสูตรใหม่บรรจุภัณฑ์รูปแบบใหม่ กับแคมเปญลองเลย อร่อยจริง!’ ซึ่งจากการวิจัยกับผู้บริโภคพบ 90% รู้สึกชอบ เน้นจับกลุ่มเป้าหมายตั้งแต่นักศึกษา จนถึงคนทำงานทั่วไป อายุระหว่าง 18 – 35 ปี

    การพลิกโฉมของผลิตภัณฑ์ครั้งนี้ เป็นผลมาจากการศึกษาพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคในตลาดอย่างลึกซึ้งที่ทำให้เราเห็น Unmet Needs ของผู้บริโภค ในด้านรสชาติและบรรจุภัณฑ์ ส่งผลให้แบรนด์กระทิงแดงดูทันสมัยมากขึ้น เหมาะกับคนรุ่นใหม่

    เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้างนอกจากจะมีภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ยังมีการแจกสินค้าตัวอย่าง 1 ล้านขวดทั่วประเทศ ใช้สื่อออนไลน์ สื่อ out-of-home สื่อ ณ จุดขาย และในร้านค้า กิจกรรมคอนเสิร์ตรวมกว่า 300 สนามทั่วประเทศ

    ]]>
    1234818
    กางแผน TCP ลุยเครื่องดื่มชูกำลังเวียดนาม มูลค่า 2.5 หมื่นล้าน หลังตลาดไทยติดลบ https://positioningmag.com/1199523 Mon, 26 Nov 2018 04:41:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1199523 Thanatkit

    เมื่อตลาด ตลาดเครื่องดื่มชูกำลัง” ในเมืองไทยไม่เหมือนเดิม จากที่เคยเติบโต 5-6% แต่ช่วง 2-3 ปีมานี้กลับ “หยุดนิ่ง” หรือติดลบ 2-3% เพราะราคาพืชผลทางการเกษตรที่ตกต่ำลง ดึงกำลังซื้อของ “เกษตรกร” ซึ่งเป็นฐานลูกค้ารายใหญ่หดหายตามไปด้วย

    ทำให้ผู้เล่นหลักในตลาดนี้ต่างต้องปรับเปลี่ยนแผนการตลาดกันยกใหญ่ ทั้งการดึงดาราหรือนักร้องชื่อดังมาเป็นพรีเซ็นเตอร์และออกสินค้าใหม่ เพื่อดึงดูดฐานลูกค้าที่เป็นกลุ่ม “คนรุ่นใหม่” อัดแคมเปญชิงโชคทองคำและรถยนต์หวังสร้างกำลังซื้อขึ้นมาทดแทน รวมไปถึงมุ่งแสวงโชคยังน่านน้ำแห่งใหม่

    กระทิงแดง” เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ได้ผลกระทบ เพราะถ้าย้อนไปถึงอดีตจะพบว่า กระทิงแดงเคยครอง “แชมป์” ตลาดอยู่หลายปี ก่อนที่จะถูกโอสถสภาส่ง “เอ็ม 150 มาทวงบัลลังก์คืน จนหล่นมาอยู่เบอร์ 2 และถูก “คาราบาวแดง” แบรนด์น้องใหม่ที่มีอายุเพียง 10 ปี ผงาดขึ้นมาแซงและเบียดกระทิงแดงไปอยู่เบอร์ 3 จนได้

    นับเป็นแรงกดดันให้กับกระทิงแดงต้องลุกขึ้นมาทรานส์ฟอร์มตัวเอง ด้วยการแปลงโฉมครั้งใหญ่เมื่อเดือนสิงหาคม 2017 โดยประกาศใช้ชื่อ กลุ่มธุรกิจ TCP ซึ่งรวมสินค้าในพอร์ตมาไว้รวมกัน เพื่อให้การทำงานคล่องตัวมากยิ่งขึ้น

    ครั้งนั้นได้ประกาศแผน 5 ปี (ปี 2018 – ปี 2022) ด้วยเม็ดเงินลงทุน 10,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ในรอบ 61 ปี เงินที่ว่านี้จะนำมาพัฒนาคน เพิ่มกำลังการผลิตและพอร์ตโฟลิโอผลิตภัณฑ์ และยังวางแผนจะเปิดสำนักงานแห่งใหม่ หรือโรงงานแห่งใหม่ อย่างน้อยปีละ 1 แห่งใน 1 ประเทศ

    โดยมีเป้าหมายเป็น เฮาส์ออฟแบรนด์” หรือการมีสินค้าที่หลากหลายในกลุ่มสินค้าเครื่องดื่มและอาหาร โดยจะไม่ไปแตะธุรกิจแอลกอฮอล์ด้วยผู้ก่อตั้งบอกไว้ และต้องการดันรายได้ให้ทะลุ 100,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นกว่า 3 เท่า และต้องการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศ 60% เป็น 80% เพื่อกระจายความเสี่ยงและลดการพึ่งตลาดในประเทศที่ยังไม่มีทีท่าจะพื้นตัวง่ายๆ

    จากแผนที่ว่านี้ได้นำมาสู่การเปิดตัว “บริษัท TCPVN จำกัด” ที่เมืองโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม ซึ่งถือบริษัทแรกในต่างประเทศที่กลุ่มธุรกิจ TCP ถือหุ้น 100% โดยเปิดมาได้ราว 4 เดือน ทีมงานที่นี่จะเป็นชาวเวียดนามทั้งหมด ทำงานประสานงานกับสำนักงานที่เมืองไทย ซึ่งแต่เดิมพนักงานชาวไทยต้องบินไปกลับ ไม่ได้อยู่ประจำ ทำให้บางครั้งขาดความต่อเนื่องบ้าง

    สราวุฒิ อยู่วิทยา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ TCP บอกว่า

    หากจะรุกหนักในต่างประเทศ จำต้องเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภคในตลาดนั้นๆ ให้ชัดเจน การตั้งสำนักงานถือเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว

    ความมั่นใจของกลุ่มธุรกิจ TCP มาจากข้อมูลที่ว่า เวียดนามมีประชากร 96 ล้านคน มีรายได้เฉลี่ย 6,435 เหรียญสหรัฐต่อปี 95% สามารถอ่านออกเขียนได้ และที่สำคัญประชากรส่วนใหญ่อายุเฉลี่ย 30.9 ปี

    ด้วยความที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นวัยหนุ่มสาวบวกกับประเทศที่กำลังเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 5 ปีมานี้ คนกลุ่มนี้ไม่ได้ทำงานเพียงอาชีพเดียว แต่ 1 คนจะมี 2 อาชีพ ทั้งกลางและกลางคืน

    สำนักงานเวียดนาม
    สำนักงานเวียดนาม

    เครื่องดื่มชูกำลัง” จึงกลายมาเป็นที่พึ่งเมื่อพวกเขาต้องทำงานหนัก อัตราเติบโตจึงสูงมาก เพราะคนเวียดนามมีพฤติกรรมการบริโภคที่ไม่เหมือนคนไทย โดยมองว่าเครื่องดื่มชูกำลังเป็นเครื่องดื่มเพื่อดับกระหาย และที่สำคัญข้างขวดไม่ได้มีคำเตือน ไม่ควรบริโภคเกินวันละ 2 ขวดเหมือนกับไทย จึงมีโอกาสเติบโตได้มากกว่าเมืองไทย

    นอกจากนี้พฤติกรรมคนเวียดนามมักจะเลือกสินค้าจากคุณภาพ ส่วนราคาเป็นเรื่องรอง และอัตราการเติบโตของคนชั้นกลางทำให้ความต้องการบริโภคสูงตามไปด้วยอีกทั้งเมื่อเทียบกับตลาด FMCG ที่โตเพียง 3.8% กลุ่มเครื่องดื่มกลับเติบโตมากกว่าที่ 5.1% ในจำนวนนี้เครื่องดื่มชูกำลังมีอัตราการเติบโตที่สูงเป็นอันดับ 3 โดยมีมูลค่า 25,000 ล้านบาท เติบโตถึง 6%

    อีกหนึ่งความมั่นใจมาจากอัตราการเติบโตของ “วอริเออร์” เครื่องดื่มชูกำลังอัดลมที่ถูกพัฒนาเพื่อวางขายในเวียดนามโดยเฉพาะ ในรูปแบบกระป๋องขนาด 325 มล. 2 รสชาติคือ สตรอว์เบอร์รี่ และรสเลมอน ราคาจำหน่ายกระป๋องละ 10,000 ดอง (VND) หรือประมาณ 15 บาท

    โดยวางขายมาตั้งแต่ปี 2015 มีอัตราเติบโตเฉลี่ยปีละมากกว่า 100% มีส่วนแบ่งตลาด 5% เป็นอันดับ 5 เมื่อรวมกับแบรนด์ “เรดบูล” ที่เข้ามาทำตลาดได้ 30 ปี ในรูปแบบกระป๋อง ขนาด 250 มล. ราคา 17 บาท มีส่วนแบ่งตลาด 38% เป็นเบอร์ 1 ทำให้ภาพรวมของบริษัทมีส่วนแบ่ง 43% เป็นเบอร์ 1 ในตลาดเครื่องดื่มชูกำลังของเวียดนาม

    เรดบูลเจาะฐานลูกค้ากลุ่มแมสและวัยทำงาน ส่วนวอริเออร์วางแผนให้เข้าเจาะกลุ่มวัยรุ่นเป็นหลัก

    แต่เครื่องดื่มชูกำลังใน “เวียดนาม” การแข่งขันสูง มีแบรนด์ที่เกิดใหม่และออกจากตลาดไปทุกไตรมาส ปัจจุบันถ้านับรวมๆ มีมากกว่า 10 แบรนด์

    ดังนั้นจึงวางแผนใช้งบ 4,000 ล้านบาท สำหรับการลงทุนในเวียดนามช่วง 3 ปีต่อจากนี้ (ปี 2019 – 2021) ใช้พัฒนาฝ่ายการตลาดและฝ่ายขาย เน้นวิจัยพฤติกรรมของชาวเวียดนาม และเพิ่มวิธีการทำตลาดใหม่ๆ เพื่อสร้างแรงดึงดูดของผู้บริโภค

    ปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้ดูสดใหม่ ทำโรดโชว์ในพื้นที่ต่างจังหวัด ทำอีเวนต์สนับสนุนการแข่งขันกีฬา และยังปรับโฆษณาฉีกหนีด้วยการสื่อสารที่เน้นอีโมชันนัลเน้นความเป็นไลฟ์สไตล์ ส่วนแบรนด์อื่นๆ ส่วนใหญ่ยังสื่อสารแบบฟังก์ชันนัล

    ความท้าทายในเวียดนาม ไม่ใช่การทำตลาดเพื่อแข่งขันกับแบรนด์อื่นๆ แต่เป็นการเข้าใจผู้บริโภคที่พฤติกรรมเปลี่ยนเร็วมาก”

    ด้านฝ่ายขายพยายามเพิ่มช่องทางขายใหม่ๆ เช่นออนไลน์ รวมไปถึงขยายช่องทางขายให้กว้างและครอบคลุมตลาดทั่วประเทศ เพื่อขยายตลาดเครื่องดืมชูกำลังให้ใหญ่เทียบเท่าตลาดน้ำอัดลม ซึ่งใหญ่กว่าประมาณ 20-30% ได้

    ปัจจุบันยอดขายกว่า 80% ยังคงเป็น Traditional Trade เช่น ร้านชำ, ร้านอาหารร้านกาเเฟ, ร้านเกม รวมถึงร้านเครื่องดื่มข้างทาง โดยคนเวียดนามชอบกินเครื่องดื่ม แล้วนั่งข้างทางหันหน้าออกถนน และชอบใส่น้ำแข็งแม้จะเป็นเครื่องดื่มชูกำลังก็ตาม

    อีกส่วนหนึ่งอาจนำเงินไปลงทุนขยายโรงงานการผลิตโดยมีกำลังการผลิตเพียง 6 ล้านลังต่อปี ดังนั้นสินค้าที่วางขายส่วนใหญ่ในเวียดนามจึงต้องนำเข้าจากเมืองไทยมากกว่า 80%

    นอกจากนี้ยังวางแผนมีสินค้าใหม่อย่างน้อย 1 แบรนด์วางจำหน่ายในตลาดเวียดนามภายใน 3 ปีต่อจากนี้ “สราวุฒิ” ต้องการให้รายได้ในเวียดนามเติบโต 1 เท่าตัว จากสิ้นปี 2018 ที่คาดว่าจะมีรายได้ 10,000 ล้านบาท และเติมส่วนแบ่งการตลาดให้มากกว่า 50%

    5 เหตุผลที่ “กลุ่มธุรกิจ TCP บุกตลาดเครื่องดื่มชูกำลังใน “เวียดนาม”

    1. เวียดนามเติบโตมากในช่วง 5 ปีมานี้ ประชากรส่วนใหญ่เป็นวัยหนุ่มสาว อายุเฉลี่ย 30.9 ปี คนกลุ่มนี้ไม่ได้ทำงานเพียงอาชีพเดียว แต่ 1 คนจะมี 2 อาชีพ ทั้งกลางวันและกลางคืน

    2. คนเวียดนามจะนิยมบริโภคเครื่องดื่มชูกำลังเพื่อดับกระหาย รวมถึงบริโภคควบคู่ไปพร้อมกับมื้ออาหาร ซึ่งเป็นวัฒนธรรมการบริโภคของคนที่ทำงานหนักและต้องการพลังงานจากเครื่องดื่มชูกำลังมาช่วยเสริม

    3. ข้างขวดเครื่องดื่มชูกำลังไม่มี ห้ามบริโภคเกินวันละ 2 ขวด เหมือนกับไทย จึงมีโอกาสเติบโตได้มากกว่าเมืองไทย

    4. ตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในเวียดนามเติบโต มีมูลค่า 25,000 ล้านบาท เติบโต 6%

    5. ส่วนแบ่งตลาด TCP 2 แบรนด์ เรดบูล เจาะฐานลูกค้ากลุ่มแมสและวัยทำงาน และแบรนด์ วอริเออร์ วางแผนให้เข้าเจาะกลุ่มวัยรุ่นเป็นหลัก รวมกัน 43% เป็นอันดับ 1 ในตลาดเวียดนาม

    ]]>
    1199523
    กระทิงแดง แจงยิบล้มโรงงานผลิตเครื่องดื่ม ขอนแก่น 3 พันล้าน https://positioningmag.com/1142453 Thu, 05 Oct 2017 09:31:54 +0000 https://positioningmag.com/?p=1142453 ส่งเอกสารแจงยิบ หวังพัฒนาด้านเศรษฐกิจชุมชนให้กับชาวบ้านในพื้นที่โดยรอบ สร้างรายได้ให้คนพื้นที่ และส่งออก คาดสร้างรายได้ให้ประเทศ 5 ปีข้างหน้า อ้างถูกบิดเบือน หาพื้นที่ใหม่เพื่อนบ้าน

    บริษัท เคทีดี พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของกระทิงแดง ได้ส่งเอกสารถึงสื่อมวลชนว่า บริษัทฯ ได้ตัดสินใจยกเลิกแผนการลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบลบ้านดง อำเภออุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น การย้ายฐานการผลิตออกจากพื้นที่ดังกล่าวในครั้งนี้เป็นการตัดสินใจที่ยากลำบาก ถึงแม้บริษัทฯ ต้องการจะดำเนินการต่อไปก็ตาม

    บริษัทฯ มีความตั้งใจจริงอย่างบริสุทธ์ใจ ที่จะเข้ามาร่วมพัฒนาเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของชุมชนบ้านดง และจังหวัดขอนแก่นให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยได้ดำเนินการตามระเบียบ ข้อบังคับและขั้นตอนทางกฎหมายของหน่วยงานราชการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานด้านการปกครอง ที่ดิน ป่าไม้ อุตสาหกรรม สิ่งแวดล้อม และอื่นๆ ทั้งในระดับตำบล อำเภอ และจังหวัด รวมถึงการทำประชาคมกับชาวบ้านตำบลบ้านดง ทั้ง 15 หมู่บ้านที่เกี่ยวข้อง อย่างถูกต้อง ครบถ้วนทุกประการ

    บริษัทฯ มุ่งหวังจะเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาด้านเศรษฐกิจชุมชนให้กับชาวบ้านในพื้นที่โดยรอบโรงงาน พื้นที่ใกล้เคียง และจังหวัดขอนแก่น เพราะการเข้ามาตั้งโรงงาน จะทำให้เกิดอุตสาหกรรมต่อเนื่องมากมาย สร้างห่วงโซ่อุปทาน สร้างรายได้ให้กับคนในพื้นที่ ทั้งในรูปแบบการจ้างแรงงาน สร้างรายได้ให้กับ อบต. ในรูปแบบภาษีบำรุงท้องที่ ภาษีโรงเรือน และสร้างรายได้ให้กับประเทศในรูปแบบของการส่งออก ซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่าราว 10,000 ล้านบาทในอีก 5 ปี ข้างหน้า ทำให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล

    ขณะเดียวกันการมีโรงงานก็จะช่วยขยายโอกาสให้กับชาวบ้านได้มีรายได้เสริมให้กับครอบครัว ทั้งจากการค้าขายเล็กๆน้อยๆ ลดการอพยพของคนในพื้นที่เพื่อออกไปหารายได้จากที่อื่น รวมถึงสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับที่ดินในพื้นที่โดยรอบโรงงานอีกด้วย

    บริษัทฯ ยังมีความตั้งใจที่จะทำงานร่วมกับชาวบ้านในการอนุรักษ์และบริหารจัดการน้ำ และพื้นที่โดยรอบโรงงานให้มีความสมบูรณ์ คงความเป็นพื้นที่สีเขียว ไม่แห้งแล้งเหมือนในอดีต รวมถึงจากการทำประชาคมชาวบ้านที่มาร่วมประชุมทั้งหมดยินยอมให้บริษัทฯ สร้างถนนลาดยางขึ้นใหม่ ซึ่งเมื่อแล้วเสร็จจะกว้างประมาณ 4-6 เมตร ติดไฟส่องสว่าง เพื่อทดแทนทางเกวียนเดิม

    อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา พบว่ามีบางคน บางกลุ่ม ไม่เห็นด้วยกับการเข้ามาตั้งโรงงาน และได้ใช้วิธีการต่างๆนานา บิดเบือนเจตนารมณ์อันบริสุทธิ์ใจของบริษัทฯ ที่ต้องการอยู่ร่วมกับชุมชนอย่างยั่งยืน

    เมื่อมีผู้คัดค้านไม่เห็นด้วย จะด้วยวัตถุประสงค์ใดก็ตาม หากบริษัทฯ ยังคงเดินหน้าดำเนินกิจการที่นี่ต่อไป ก็คงต้องพบกับปัญหาความไม่พอใจตลอดเวลา ขณะที่ผู้บริหารของบริษัทฯ ที่ต้องทำงานภายใต้กรอบระเบียบด้านความซื่อสัตย์ โปร่งใส ตรงไปตรงมา นี่จึงเป็นความลำบากใจ หากต้องคอยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น

    บริษัทฯ จึงตัดสินใจยกเลิกการลงทุนราว 3,000 ล้านบาท ที่คาดว่าจะใช้กับโรงงาน และยุติการดำเนินกิจการโรงงานในพื้นที่ตำบลบ้านดง อำเภออุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น โดยบริษัทฯ กำลังพิจารณาหาสถานที่ที่เหมาะสม ซึ่งอาจจะเป็นประเทศเพื่อนบ้าน เพราะโรงงานแห่งนี้จะเป็นฐานการผลิตสำคัญเพื่อการส่งออกไปยังกลุ่มประเทศ CLMV

    อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าบริษัทฯ จะย้ายฐานการผลิตไปที่อื่นแล้ว แต่ด้วยความผูกพันที่มีต่อคนส่วนใหญ่ในชุมชนตำบลบ้านดงที่ร่วมทำประชาคมและต้องการให้เรามาตั้งโรงงาน บริษัทฯ จึงจะยังคงทำกิจกรรมเพื่อสังคมที่ได้เริ่มต้นไว้ต่อไปตามเจตนารมณ์เดิม อาทิ โครงการเกษตรอินทรีย์วิถียั่งยืน โครงการยุวเกษตรอินทรีย์ และโครงการอื่นๆ รวมถึงบริษัทฯ ยินดีให้ความร่วมมือกับหน่วยงานราชการในการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่างๆ ต่อไป.

    ]]>
    1142453
    “กระทิงแดง” ลุยพรีเมียม ขยายฐานสู่คนรุ่นใหม่ https://positioningmag.com/1095047 Mon, 20 Jun 2016 11:07:28 +0000 http://positioningmag.com/?p=1095047 ตลาดเครื่องดื่มชูกำลังเป็นอีกตลาดที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ เนื่องจากกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนใช้แรงงานที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องงาน และกำลังซื้อที่น้อยลง ส่งผลให้ตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในช่วงปีที่ผ่านมาเติบโตเพียงแค่ 1-2% เท่านั้น มีมูลค่า 21,400 ล้านบาท โดยเอ็ม 150 ยังเป็นเจ้าตลาดด้วยด้วยส่วนแบ่ง 57.7%

    กระทิงแดงในฐานะอันดับ 3 ที่ครองส่วนแบ่งตลาด 16.3% ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ทำให้ต้องมีการปรับกลยุทธ์ในการออกสินค้าในกลุ่มพรีเมียม เพื่อขยายกลุ่มเป้าหมายไปยังกลุ่มคยรุ่นใหม่มากขึ้น เพื่อกระจายความเสี่ยงจากกลุ่มลูกค้าหลักที่มีความถี่ในการดื่มน้อยลง

    สำหรับตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในระดับพรีเมียมถือว่าเล็กอยู่ คิดเป็นสัดส่วน 15% ของตลาดรวม หรือราว 3,400 ล้านบาท มีการเติบโต 2-3%  ขึ้นอยู่ว่าแต่ละปีมีการออกสินค้าใหม่ในตลาดหรือไม่

    2_Kratingdaeng2

    กระทิงแดงได้เริ่มนำร่องออกเซ็กเมนต์พรีเมียมเมื่อปี 2558 ที่ผ่านมา ในชื่อ แบรนด์กระทิงแดง G2 ที่มีส่วนผสมจินเซนโนไซน์ ชูจุดขายเรื่องบำรุงสมอง ราคา 15 บาท เพื่อเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่เป็นกลุ่มนักศึกษา

    และในปีนี้ได้ออกอีกแบรนด์ในกลุ่ม G ใช้ชื่อ กระทิงแดง G3 มีส่วนผสมของเคอร์คูมินอยด์ ชูเรื่องการบำรุงตับ สำหรัคนที่ชอบทานของมัน และชอบปาร์ตี้ด้วย

    สุรชัย จงเลิศวราวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เครื่องดื่มกระทิงแดง จำกัด กล่าวว่า เครื่องดื่มชูกำลังมีกลุ่มลูกค้าหลักเป็นคนใช้แรงงานหรือกลุ่มรากหญ้า ที่พอเศรษฐกิจไม่ดีทำให้เขาทำมาหากินไม่ได้ ความถี่ในการดื่มก็น้อยลง เราเลยต้องมองหาตลาดอื่นเพื่อขยายฐานลูกค้าไปกลุ่มอื่นอย่างคนรุ่นใหม่มากขึ้น เป็นการกระจายความเสี่ยง หรือหาโอกาสในช่วงที่ตลาดแมสไม่เติบโต

    “แต่ในการที่จะคุยกับคนรุ่นใหม่ ทำให้ต้องทำการบ้านอย่างหนักอยู่พอสมควร เพราะต้องล้างภาพลักษณ์ของเครื่องดื่มชูกำลังที่เป็นเครื่องดื่มของคนใช้แรงงาน ซึ่งคนจะจดจำภาพขวดสีชา เราจึงต้องทำแพ็กเกจใหม่ให้ทันสมัย และเพิ่มราคาให้ดูพรีเมียมขึ้น”

    1_Kratingdaeng

    พร้อมทั้งใช้พรีเซ็นเตอร์ควบคู่ไปด้วย เลือกใช้พระเอกจากช่อง 7 เวียร์ ศุกลวัฒน์ คณารศ เพื่อให้แบรนด์ดูทันสมัยมากขึ้น และเข้ากับคอนเซ็ปต์ลูกผู้ชายตัวจริง หลังจากที่ไม่ได้ใช้พรีเซ็นเตอร์มากว่า 10 ปีแล้ว ซึ่งสาเหตุต้องใช้พรีเซ็นเตอร์อีกครั้ง เพื่อมากระตุกภาพลักษณ์ให้เด็กลง ให้ทันสมัย และเข้าถึงคนได้ง่าย

    แต่อย่างไรแล้วในตลาดแมสก็ยังคงเป็นตลาดใหญ่ ซึ่งขับเคลื่อนด้วยโปรโมชั่นมาโดยตลอด ทำให้กระทิงแดงต้องมีโปรโมชั่นควบคู่ไปด้วย “ตลาดนี้แข่งขันด้วยโปรโมชั่นมาโดยตลอด พ่วงด้วยทีมสาวๆ ของแต่ละค่าย จนถึงทุกวันนี้ถ้ามีโปรโมชั่น หรือไม่มีโปรโมชั่นคนก็เก็บฝาตลอด จะไม่ให้มีโปรโมชั่นไม่ได้ เพราะเราคุยกับคนรากหญ้าจำเป็นต้องมีโปรโมชั่นเข้ามากระตุ้น แต่ก็ต้องสร้างแบรนด์ควบคู่ไปด้วย”

    ในปีนี้กระทิงแดงได้วางงบการตลาด 200 ล้านบาท เป็นทั้งการจัดโปรโมชั่น และทำกิจกรรมออนกราวนด์ต่างๆ และใช้สื่อดิจิทัลมากขึ้น โดยตั้งเป้ารายได้มีการเติบโต 5-8% และมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น 1% จากปัจจุบันมี 16.3% ครองอันดับ 3

    นับเป็นอีกหนึ่งความท้าทายของกระทิงแดง เพราะกระทิงแดงไม่ใช่เจ้าแรกที่ทำเซ็กเมนต์พรีเมียม ในตลาดก็มีผู้เล่นหลายรายที่เป็นคู่แข่งโดยตรงที่ทำตลาดมาก่อนหน้านี้ ได้แก่ ลิโพ เอ็มสตรอม และชาร์คคูลไบท์ ของค่ายฉลาม โดยที่ลิโพเป็นผู้นำตลาด และยังมีคู่แข่งทางอ้อมก็เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงสมองอย่างเปปทีน หรือแบรนด์ แต่มีราคาสูงกว่ามาก ต้องดูว่ากลยุทธ์ของ กระทิงแดง ใช้เป็นจุดเด่นก็คือส่วนผสมที่ให้คุณประโยชน์เพิ่ม รวมทั้งแพ็กเกจจิ้ง ให้ดูพรีเมียมขึ้น และใช้พรีเซ็นเตอร์มาช่วยสร้างการรับรู้ จะช่วยปลุกตลาดเครื่องดื่มชูกำลังได้มากน้อยแค่ไหน

    plan_Kratingdaeng

    3_Kratingdaeng

    info_Kratingdaeng

    ]]>
    1095047
    วัดใจ Crisis Management กระทิงแดง https://positioningmag.com/14922 Wed, 12 Sep 2012 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=14922

    ในยุคโซเชียลมีเดียครองเมือง การบริหารจัดการแบรนด์สินค้าและบริการไม่ใช่เรื่องง่าย และเป็นเรื่องอ่อนไหวสำหรับแบรนด์ยุคนี้ ที่ต้องติดตามกระแสของแบรนด์ที่มีในโลกออนไลน์ให้ดี และอาจส่งผลกระทบกับความรู้สึกต่อคนทั่วไป และอาจถึงขั้นบานปลาย

    “ในโลกออนไลน์ และโซเชียลมีเดีย แบรนด์ต้องทำงานยากขึ้น เพราะทุกคนมีอิสระโพสท์ความเห็นอะไรก็ได้ ทั้งแง่ดีและแง่ลบ และเป็นเรื่องปกติไปแล้วที่แง่ลบจะได้รับความสนใจเป็นพิเศษ เป็นเรื่องยากที่แบรนด์จะควบคุมความเห็นเหล่านี้ได้ ยกเว้นเมื่อเกิดปัญหาขึ้นก็ต้องรีบแก้ไขโดยเร็ว”

    ดังเช่นกรณีของทายาทกระทิงแดง วรยุทธ อยู่วิทยา ขับรถเฟอร์รารี่ชนเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ สน.ทองหล่อ เสียชีวิตเมื่อเช้าวันที่ 3 กันยายน สื่อทั้งในประเทศและต่างประเทศต่างก็ประโคมข่าวในฐานะที่เขาเป็นทายาท “กระทิงแดง” หรือ Red Bull ไม่ว่าจะเป็นสื่อหลัก หรือกระแสทอล์ค ในโซเชี่ยล มีเดียล้วนแล้วแต่วิจารณ์ในเชิงลบ เช่น เพจของ “ออกพญาหงส์ทอง เพจ” ที่มีคนกด Like มากถึง 1แสนไลค์ และเมื่อออกญาฯ พูดเรื่องคดีนี้ก็กลายเป็นว่าเป็นเรื่องที่มีผู้อ่านเข้ามา Engage ไม่ว่าจะเป็น แชร์ ไลค์ คอมเมนต์มากที่สุดตั้งแต่เพจนี้ตั้งขึ้น

    นอกจากนี้ตามเว็บบอร์ด เว็บไซต์ดังต่างๆ ก็วิจารณ์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งล้วนแล้วแต่มีแต่ความหมายเชิงลบ ซ้ำร้ายยังผูกโยงไปถึงสโลแกนของแบรนด์กระทิงแดง “เป้าหมายมีไว้พุ่งชน” แล้วเอามาต่อท้ายในเชิงล้อเลียน รวมถึงสื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆ ของกระทิงแดงหรือว่า Red Bull ซึ่งสนับสนุนกีฬา Racing มาอย่างยาวนาน ทั้งในตลาดเมืองไทยไปจนถึงทีมแข่ง F1 ระดับโลก ก็กลายเป็นภาพด้านลบของแบรนด์

    ทั้งหมดนี้ จึงกลายเป็นความท้าทายของแบรนด์ “กระทิงแดง” ที่จะบริหารการสื่อสารการตลาดในช่วงวิกฤติได้อย่างไร ซึ่งดูเหมือนว่ากระทิงแดงจะรับมือได้ไม่ดีนัก

    “กระทิงแดงเขาออกมาสื่อสารช้าไป ต้องออกมาพูดทันที ไม่ควรรอให้เป็นกระแสถึง 3 วัน และ เจ้าของแบรนด์แทนที่จะออกพูดโดยตรง มาขอโทษ และยอมชดใช้ค่าเสียหาย แต่ให้ทนายมาพูดแทน ซึ่งทนายขาต้องปกป้องลูกความของตัวเอง เลยทำให้เกิดความไม่พอใจเป็นกระแสวงกว้างในโลกออนไลน์ ซึ่งไปกระทบกับแบรนด์มากๆ ”

    คำแนะนำของนักการตลาดที่เฝ้าสังเกตกรณีที่เกิดขึ้น ให้คำแนะนำนักการตลาด ควรจะะแก้เกมส์อย่างไร?

    1. ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า “เวลาบนโลกออนไลน์เดินเร็วกว่าเวลาบนโลกแห่งความจริง 3 เท่า” เพราะว่าเรื่องราวบนโลกออนไลน์ไม่เคยหยุดพัก และกระจายตัวต่อไปได้เร็ว ดังนั้น นักการตลาด นักประชาสัมพันธ์เดี๋ยวนี้ต้องรู้แม้กระทั่งว่าคนบนโลกออนไลน์กำลังพูดถึงแบรนด์ว่าอย่างไร

    2. เรื่อง Corporate ผู้ที่เป็นเจ้าของ หรือผู้บริหารระดับสูงควรเป็นผู้ที่ออกมาชี้แจงโดยตรง

    3. การแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าต้องรีบออกมารับผิดชอบ “ขอโทษ” และรับผิดชอบค่าเสียหายต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิตทันที ส่วนเรื่องคดีความเป็นเรื่องที่ต้องใช้ระยะเวลาในการหาข้อเท็จจริงต่อไป

    4. สำหรับกรณีของกระทิงแดง อาจต้องพักการสื่อสารการตลาดในช่วงนี้ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรม CSR หรือการตลาดต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจกรรมที่เกี่ยวกับรถแข่ง ป้ายโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับแคมเปญนี้ที่ติดไว้แล้วก็ควรปลดลง

    5. ในระยะยาวสโลแกน “เป้าหมายมีไว้พุ่งชน” อาจต้องปรับ เพื่อให้คนลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้หมด การใช้สโลแกนเดิมก็เท่ากับเป็นการตอกย้ำอยู่เรื่อยๆ

    ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด บอกอีกว่า กรณีของกระทิงแดงเป็นอีกหนึ่งในกรณีตัวอย่าง หลังจากที่ก่อนหน้านี้มี ทั้งกรณีดีแทค เครือข่ายล่มเป็นครั้งที่ 5 ก็ถูกโจมตีอย่างหนักในโลกออนไลน์ ซึ่งแบรนด์ควรต้องเตรียมตัวรับมือ วิกฤติที่จะเกิดขึ้นให้ดี และน่าจะเป็นหนึ่งในหลักสูตรที่แบรนด์ต้องเรียนรู้มากขึ้น

    ]]>
    14922