ทีวี – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 19 Jun 2024 10:50:43 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “เครื่องใช้ไฟฟ้า” กำลังซื้อฝืดหลังพ้นหน้าร้อน “เพาเวอร์ มอลล์” ลุ้น “บอลยูโร 2024” ช่วยดันยอดขาย “ทีวี” https://positioningmag.com/1478885 Wed, 19 Jun 2024 09:51:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1478885
  • “เพาเวอร์ มอลล์” เปิดข้อมูลตลาด “เครื่องใช้ไฟฟ้า” 4 เดือนแรกทำยอดขาย 78,000 ล้านบาท เติบโตดีจากโครงการ Easy e-Receipt และหน้าร้อนช่วยดันยอดขาย “แอร์”
  • แต่หลังเข้าเดือนพฤษภาคม กำลังซื้อชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัดจากสภาวะเศรษฐกิจ หวังกระแส “บอลยูโร 2024” ช่วยเพิ่มยอดขาย “ทีวี” กลับมาโต
  • “รัชตะ สุทธาพัฒน์ธานนท์” Chief Business Officer – Specialty Business “บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด” เปิดข้อมูลตลาด “เครื่องใช้ไฟฟ้า” ประเทศไทยปี 2567 ช่วง 4 เดือนแรกถือว่าเป็นช่วงที่ทำยอดขายดี มูลค่าตลาดขึ้นไปแตะ 78,000 ล้านบาท เติบโตแบบดับเบิลดิจิต

    ปัจจัยบวกมาจากโครงการ “Easy e-Receipt” ช้อปลดหย่อนภาษีที่สิ้นสุดเดือนมีนาคม 2567 อานิสงส์ส่งให้ต้นปีเครื่องใช้ไฟฟ้าขายคล่อง

    เพาเวอร์ มอลล์
    “รัชตะ สุทธาพัฒน์ธานนท์” Chief Business Officer – Specialty Business “บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด”

    รวมถึงช่วงหน้าร้อนเดือนมีนาคม-เมษายนปีนี้ เนื่องจากอากาศร้อนจัด ทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้ากลุ่ม “เครื่องปรับอากาศ” ทำยอดขาย 4 เดือนแรกโต 10-15% และพยุงตลาด “ตู้เย็น” ให้เติบโตซิงเกิลดิจิต

    “แต่ตลาดแอร์ผมคิดว่ายอดขายโตน้อยกว่าที่คาดไว้ เพราะอากาศปีนี้ร้อนจัดมากๆ ยอดขายแอร์ควรจะโตได้ถึง 30-40% ด้วยซ้ำ” รัชตะกล่าว

     

    เข้าเดือน 5 กำลังซื้อหด รอลุ้น “บอลยูโร 2024”

    รัชตะกล่าวต่อว่า หลังหมดปัจจัยหนุนในช่วงหน้าร้อน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นมาการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าเริ่มลดลงมาโตซิงเกิลดิจิต ด้วยสภาวะเศรษฐกิจไม่เอื้อ

    อย่างไรก็ตาม กลุ่มตลาดที่ยังพอมีลุ้นปัจจัยหนุนพิเศษคือ “ทีวี” เพราะการแข่งขัน “บอลยูโร 2024” เริ่มเปิดฉากแล้ว และปกติมักจะเป็นปัจจัยหนุนยอดขายทีวี ตามด้วยในช่วงเดือนกรกฎาคมนี้จะมีการแข่งขัน “โอลิมปิก 2024” ต่อเนื่อง น่าจะทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อทีวีรวมถึงเครื่องเสียงมากขึ้น

    เครื่องใช้ไฟฟ้า

    “ตอนนี้อาจจะยังไม่คึกคักเพราะธรรมชาติของผู้บริโภคมักจะมาซื้อทีวีในช่วงใกล้จะถึงรอบน็อกเอาต์ ไม่ว่าจะเป็นบอลยูโรหรือบอลโลกจะเป็นแบบนี้เสมอ” รัชตะกล่าว โดยบอลยูโร 2024 จะเริ่มเข้าสู่รอบน็อกเอาต์ 16 ทีมสุดท้าย นัดแรกวันที่ 29 มิถุนายนนี้

    สำหรับตลาด “ทีวี” ปี 2567 รัชตะกล่าวว่า ยอดขายทั้งตลาดค่อนข้างฝืด 4 เดือนแรกทำยอดขายไปเพียง 5,000 ล้านบาท ติดลบประมาณ -10% จากปีก่อน ทำให้แบรนด์ทีวีต่างหมายมั่นว่าบอลยูโร 2024 จะช่วยหนุนทำยอดขายเติบโตพุ่ง 20-30% เพื่อให้ยอดขายเฉลี่ยทั้งปียังยืนระยะทรงตัวเท่ากับปีก่อนให้ได้

    เครื่องใช้ไฟฟ้า

    ภาพรวมตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าปี 2567 ทั้งปีนี้ รัชตะมองว่าน่าจะ ‘เติบโตเล็กน้อย’ จากปีก่อนที่มีมูลค่าตลาด 220,000 ล้านบาท โดยหวังว่าครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้น และหากโครงการ “ดิจิทัล วอลเล็ต” ของรัฐบาลสามารถใช้จ่ายกับกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าได้จะเป็นปัจจัยสำคัญต่อตลาดนี้ เนื่องจากผู้บริโภคส่วนใหญ่น่าจะต้องการใช้ซื้อ “โทรศัพท์มือถือ” และเครื่องใช้ไฟฟ้าจำเป็นต่างๆ ภายในบ้าน

     

    “เพาเวอร์ มอลล์” วางเป้าโต 20-30% หลังสาขาใหม่รีโนเวตเสร็จ

    ด้านธุรกิจของ “เพาเวอร์ มอลล์” ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าในเครือเดอะมอลล์ กรุ๊ป รัชตะระบุว่ายอดขายปี 2566 เติบโต 10% ส่วนปี 2567 ตั้งเป้ายอดขายโตถึง 20-30% เนื่องจากสาขา 2 แห่งใน “เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ และ บางแค” เพิ่งรีโนเวตเสร็จสมบูรณ์พร้อมกับตัวศูนย์การค้าเมื่อเดือนธันวาคม 2566 ทำให้ปีนี้จะเป็นปีแรกที่สองสาขานี้กลับมาขายแบบเต็มปี

    ยอดขายจากสาขาบางกะปิและบางแคน่าจะช่วยดันยอดได้มากเพราะถือเป็นกลุ่มสาขาขายดี รองจากสยามพารากอน และ เอ็มโพเรียม

    นอกจากนี้ เพาเวอร์ มอลล์ เองมีการปรับตัวตามตลาด มีการจัดสรรพื้นที่ให้กับกลุ่มสินค้าขายดีอย่าง “แอร์” มากขึ้นกว่าเดิม รวมถึงเน้นกลุ่มสินค้า “พรีเมียม” ต่างๆ เช่น ทีวีขนาดใหญ่ 75 นิ้วขึ้นไป, เครื่องซักผ้าฝาหน้า, สินค้าที่ผสานนวัตกรรม AI ซึ่งเป็นที่ต้องการของลูกค้า

    รวมถึง เพาเวอร์ มอลล์ ยังโหมตลาดด้วยการจัดมหกรรม “เพาเวอร์ มอลล์ อิเล็คทรอนิก้า โชว์เคส” ร่วมกับผู้ประกอบการแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้ากว่า 200 แบรนด์ รวบรวมหลากหลายกลุ่มสินค้า เช่น ทีวี เครื่องเสียง มือถือ แกดเจ็ต เครื่องซักผ้า เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัว ฯลฯ มาจัดโปรโมชันลดราคาพิเศษสูงสุด 60%, ผ่อน 0% นานสูงสุด 24 เดือน, แจกคูปองส่วนลดเงินสดสูงสุด 15,000 บาท ที่เพาเวอร์ มอลล์ ทุกสาขา ตั้งแต่วันที่ 19 มิถุนายน – 29 กรกฎาคม 2567

    ]]>
    1478885
    TCL เตรียมปรับกลยุทธ์ภาพลักษณ์แบรนด์ ขายทีวีจอใหญ่-รุ่นพรีเมียม ชี้ผู้บริโภคในจีนต้องการเพิ่มขึ้น https://positioningmag.com/1470487 Sun, 21 Apr 2024 10:41:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1470487 ทีซีแอล (TCL) ผู้ผลิตทีวีรายใหญ่จากประเทศจีน เตรียมปรับกลยุทธ์ภาพลักษณ์แบรนด์ ขายทีวีจอใหญ่-รุ่นพรีเมียม โดยสาเหตุสำคัญคือผู้บริโภคในประเทศจีนต้องการสินค้าดังกล่าวเพิ่มขึ้น และเชื่อว่าแผนดังกล่าวของบริษัทจะประสบความสำเร็จได้ เพียงแต่ต้องใช้เวลา

    South China Morning Post รายงานข่าวว่า TCL หนึ่งในผู้ผลิตทีวีรายใหญ่จากประเทศจีน เตรียมที่จะปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้ดูดีมากขึ้น โดยบริษัทจะมาโฟกัสในการผลิตทีวีที่มีขนาดจอภาพใหญ่มากขึ้น หรือแม้แต่ทีวีที่พรีเมียมแต่ลูกค้าสามารถเข้าถึงได้

    Dmitri Hu รองประธานของ TCL Industries กล่าวว่า บริษัทจะหันมาผลิตสินค้าที่มีความพรีเมียมแต่ลูกค้าสามารถที่จะยังเข้าถึงได้ เขาเชื่อว่าบริษัทจะสามารถปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ของบริษัทได้ เพียงแต่ต้องใช้เวลาอีกสักระยะเท่านั้น

    นอกจากนี้ TCL เองยังเตรียมผลิตทีวีที่มีขนาดใหญ่มากขึ้น เนื่องจากเทคโนโลยี mini LED ทำให้สามารถผลิตจอทีวีขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น ในขณะที่เรื่องของราคาสามารถที่จะแข่งขันกันได้มากขึ้น โดยในงาน CES 2024 ซึ่งเป็นงานโชว์สินค้าไอทีและสินค้าที่เกี่ยวข้องนั้นบริษัทได้นำทีวีรุ่น 115 นิ้วเข้าไปโชว์ในงานด้วย

    ไม่เพียงเท่านี้บริษัทยังได้ผลิตทีวีขนาด 163 นิ้ว ในรุ่น X11H Max ซึ่งเป็นรุ่นพรีเมียม ราคาตกอยู่ที่ 800,000 หยวน หรือคิดเป็นเงินไทย 4.15 ล้านบาท โดยบริษัทกล่าวว่ามีลูกค้ามากกว่า 10 รายได้สั่งจองล่วงหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วย

    สำหรับแบรนด์ TCL เองนั้นมีภาพลักษณ์ของผู้บริโภคส่วนใหญ่แล้วจะมองถึงเรื่องความคุ้มค่า เนื่องจากผู้ผลิตจากประเทศจีนรายนี้ได้ขายทีวีที่มีราคาถูกเมื่อเทียบขนาดกับราคา

    รายงานของ Counterpoint ชี้ว่าในปี 2023 ที่ผ่านมายอดขายทีวีรุ่นพรีเมียมในประเทศจีนถือว่าเติบโตมากถึง 39% และยอดเติบโตดังกล่าวส่วนใหญ่มาจากผู้ผลิตจากจีนทั้งนั้น

    แต่ถ้าเป็นสัดส่วนการครองตลาดทีวีทั่วโลกแล้วนั้นในปี 2023 ที่ผ่านมา Samsung เองยังครองเบอร์ 1 ของโลก ด้วยสัดส่วน 16% รองลงมาคือ Hisense อยู่ที่ 11%

    ปัจจุบันรายได้จากการผลิตทีวีของ TCL ในไตรมาส 1 ของปี 2024 ถือว่าเติบโต 30% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ของปี 2023 ที่ผ่านมา ซึ่งรายได้ที่เติบโตมากขึ้นมาจากการขายทีวีจอใหญ่ซึ่งทำยอดขายได้ดีมากขึ้น และบริษัทเชื่อว่าจะรักษาโมเมนตัมดังกล่าวได้จากความต้องการของลูกค้าที่ต้องการทีวีจอใหญ่

    ]]>
    1470487
    ‘ซัมซุง’ ขอ 3 ปีขึ้นเบอร์ 1 เครื่องใช้ไฟฟ้าทุกกลุ่ม ชู ‘ดีไซน์-นวัตกรรม’ จับกลุ่มพรีเมียม https://positioningmag.com/1415452 Fri, 13 Jan 2023 07:44:54 +0000 https://positioningmag.com/?p=1415452 แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจในปี 2022 ที่ผ่านมาจะมีวิกฤตหลาย ๆ เรื่อง โดยเฉพาะ เงินเฟ้อ แต่ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้ามูลค่า 5.3 หมื่นล้านบาทก็ยังเติบโตได้ 5-6% ซึ่งก็ได้กลุ่ม พรีเมียม เป็นตัวขับเคลื่อนตลาด โดย ซัมซุง (Samsung) แบรนด์สัญชาติเกาหลีใต้ก็เห็นโอกาสในส่วนนี้ และขอสู้เพื่อขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในทุกกลุ่มสินค้าภายใน 3 ปี

    ตลาดพรีเมียมโตสวนทางแมส

    เจนนิเฟอร์ ซอง ประธานบริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด เปิดเผยว่า ปี 2022 ที่ผ่านมาไม่ใช่ปีที่ดีนักสำหรับตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้า เพราะมีทั้งปัจจัยเรื่องค่าเงิน และเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตาม ภาพรวมตลาดและตัวซัมซุงเองยังคงเติบโตได้ 5-6% โดยมีสินค้าใน กลุ่มพรีเมียม เป็นตัวขับเคลื่อนตลาด เนื่องจากช่องว่างระหว่างครัวเรือนที่มีรายได้สูงและครัวเรือนที่มีรายได้น้อยกว้างขึ้น

    “สินค้ากลุ่มพรีเมียมของเราเติบโต 2 เท่าในทุกกลุ่มสินค้า เพราะตั้งแต่ COVID-19 ระบาด คนอยู่บ้านมากขึ้น เขามองว่าบ้านเป็นพื้นที่ส่วนตัวและเริ่มอยากตกแต่งบ้านใหม่ ๆ มากขึ้น แต่แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ซัมซุงที่เห็นโอกาสนี้ ดังนั้น เชื่อว่าการแข่งขันในกลุ่มสินค้าพรีเมียมจากนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย”

    อัดสินค้าใหม่กว่า 100 รุ่น ชูความ Personalize

    เจนนิเฟอร์ กล่าวต่อว่า พฤติกรรมผู้บริโภคในกลุ่มพรีเมียมจะให้ความสำคัญกับความเป็นตัวตน ต้องการสินค้าที่ สะท้อนความเป็นตัวตน มากกว่าราคา นอกจากนี้ ต้องมีนวัตกรรมที่ทำให้เขาใช้ชีวิต ง่ายขึ้น ดังนั้น สินค้าของซัมซุงในกลุ่มพรีเมียมจะเน้น ดีไซน์สินค้าที่เป็นเอกลักษณ์ นวัตกรรมทันสมัย และ การเชื่อมต่ออัจฉริยะ นอกจากนี้ ต้องตอบโจทย์ ความยั่งยืน ด้วย

    “ผู้บริโภค 70% มองว่า ถ้าสินค้าเข้าใจในตัวตนเขาจริง ๆ เขาก็จะเลือกอยู่กับแบรนด์นั้น ๆ โดยเฉพาะ Gen Z ที่ 55% ระบุว่า เขาจะซื้อของที่สะท้อนความเป็นตัวเอง นอกจากนี้ คนไทยถึง 72% มีความต้องการติดตั้งสมาร์ทโฮม”

    ในปีนี้ ซัมซุงมีแผนจะเพิ่มโปรดักส์ใหม่กว่า 100 รุ่น โดยจะเน้นไปที่กลุ่มพรีเมียม และการทำตลาดช่วง Q1-Q3 จากนี้จะเน้นที่เรื่อง ไลฟ์สไตล์ โดยสินค้าในกลุ่ม Bespoke จะขยายไปกลุ่มผลิตภัณฑ์อื่น ๆ นอกเหนือจาก ตู้เย็น  อาทิ ไมโครเวฟ, เครื่องดูดฝุ่น เป็นต้น และเปลี่ยนการสื่อสารเป็น Bespoke Home เพื่อสื่อสารถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งบ้าน ทั้งนี้ ปีที่ผ่านมา กลุ่มเครื่องซักผ้าและตู้เย็นเติบโต 5% กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก (เตาอบไมโครเวฟ เครื่องดูดฝุ่นและเครื่องฟอกอากาศ) เติบโต 10%

    ในส่วนของ ทีวี จะเน้น Lifestyle TV และกลุ่ม QLED, OLED เพราะในปีที่ผ่านมาจะเห็นเทรนด์อย่างชัดเจนว่าทีวีขนาด 65 นิ้วขึ้นไป เติบโตขึ้นมากแบบเห็นได้ชัดถึง 1.5 เท่า ทีวีพรีเมียมยังคงเติบโตสูง อาทิ Neo QLED เติบโตขึ้นถึง 3 เท่า เฉพาะ Neo QLED 8K เติบโตถึง 4 เท่า

    ด้าน เครื่องปรับอากาศ ที่ใช้เทคโนโลยี WindFree ซึ่งเป็นกลุ่มพรีเมียมเติบโตถึง 30% โดยปีนี้ซัมซุงเตรียมเปิดตัวไลน์อัพเครื่องปรับอากาศรุ่นใหม่ในกลุ่ม WindFree คาดว่าจะคิดเป็น 90% ของไลน์สินค้า ครอบคลุมกลุ่มกลาง-บน พร้อมขยายระยะเวลารับประกันสูงสุดถึง 10 ปี

    เดินหน้าลุยตลาด B2B

    อีกตลาดที่จะช่วยให้ซัมซุงเติบโตก็คือ B2B ที่ปีนี้บริษัทจะเน้นมากขึ้น อาทิ โครงการบ้านและคอนโด โดยจะชูจุดเด่นเรื่อง โทเทิ่ลโซลูชั่น ที่สินค้าทั้งหมดของซัมซุงสามารถเชื่อมต่อกันได้ และสินค้าที่จะใช้เป็นตัวนำในการบุกก็คือ เครื่องปรับอากาศ เนื่องจากในปีที่ผ่านมายอดขายเครื่องปรับอากาศในกลุ่ม B2B เติบโตถึง 40% ก่อนจะตามด้วยสินค้าอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นทีวี, ตู้เย็น, เครื่องซักผ้า

    “เราเพิ่งเริ่มทำตลาด B2B แต่เรามองว่านี่คือ โอกาสสำคัญ เพราะจุดแข็งเราคือ ไลน์สินค้าที่ครบวงจร สามารถตอบสนองความต้องการได้ต่างจากคู่แข่ง โดยเฉพาะการตอบโจทย์เรื่องโทเทิ่ลโซลูชั่น”

    ขึ้นเบอร์ 1 ทุกกลุ่มสินค้าใน 3 ปี

    สำหรับเป้าหมายของซัมซุงในปี 2023 ต้องเติบโต 2 หลัก ขึ้นไป โดยมองว่าปีนี้มีปัจจัยบวกจากดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะจากภาค การท่องเที่ยว ทั้งจากตัวนักท่องเที่ยว เม็ดเงินที่เข้ามาช่วยให้ผู้บริโภคจับจ่ายได้ดีขึ้น รวมถึงผู้ประกอบการร้านค้า คาเฟ่ และโรงแรมต่าง ๆ ลงทุนเปลี่ยนเครื่องใช้ไฟฟ้า นอกจากนี้ ต้นทุนต่าง ๆ น่าจะลดลง สินค้าก็จะมีราคาดีขึ้น ทำให้ผู้บริโภคจับต้องสินค้าได้ง่ายขึ้น

    อย่างไรก็ตาม ความท้าทายของตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าคือ ไม่ใช่สินค้าหลักที่ผู้บริโภคจะใช้เงิน เพราะเนื่องจากการระบาดของ COVID-19 ทำให้ผู้บริโภคอยากใช้จ่ายไปกับการท่องเที่ยว ดังนั้น เชื่อว่ากว่าที่กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าจะกลับมาเป็นสินค้าหลักที่ผู้บริโภคเลือกใช้จ่ายคงต้องใช้เวลาอีก 2-3 ปี

    “ตอนนี้คนไปเที่ยวกันเยอะเพราะเขาอั้นมานาน ดังนั้น เครื่องใช้ไฟฟ้าจากที่เคยเป็นอันดับ 1-2 สิ่งที่ผู้บริโภคเลือกใช้เงินก่อน แต่ตอนนี้มันไม่ใช่”

    สำหรับเป้าหมายใน 3 ปีจากนี้ ซัมซุงต้องการขึ้นเป็นอันดับ 1 ในทุกกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า จากปัจจุบันสินค้ากลุ่มทีวี, ตู้เย็น เป็นอันดับ 1 ที่แข็งแรง และกลุ่มต่อไปที่ซัมซุงมองว่ามีโอกาสขึ้นเป็นอันดับ 1 คือ เครื่องซักผ้า ที่ปัจจุบันเป็น Top 2 ของตลาด ตามมาด้วย เครื่องปรับอากาศ ที่ปัจจุบันเป็น Top 5 ของตลาด

    ]]>
    1415452
    ส่องเทรนด์ ‘ทีวี’ ยุคดิจิทัล ชี้คนไทยใช้ Smart TV เพิ่ม 147% รายการ ‘ข่าว’ มาแรงเทียบชั้น ‘ละคร’ https://positioningmag.com/1388186 Wed, 08 Jun 2022 09:56:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1388186 แม้ปัจจุบันจำนวนผู้ใช้ดิจิทัลจะมีเพิ่มขึ้นในทุก ๆ ปี แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าทีวียังเป็นช่องทางที่เข้าถึงคนไทยได้มากที่สุด ซึ่ง 95% ของครัวเรือนไทยที่สามารถเข้าถึงทีวีได้ แต่ผู้ใช้ส่วนหนึ่งได้เปลี่ยนจากการดูผ่านเครื่องเล่นทีวีแบบดั้งเดิมมาเป็นช่องทางดิจิทัล ซึ่งอาจไม่ได้รับชมแค่ช่องทีวีปกติอีกต่อไป

    การสำรวจของ นีลเส็น พบว่า การรับชมทีวีผ่าน Smart TV ของคนไทยเติบโตขึ้นถึง 147% เมื่อเทียบกับปี 2019 หรือช่วงก่อนเกิดการระบาดของ COVID-19 และกว่า 45% ดูทีวีผ่าน โทรศัพท์มือถือ ซึ่งโตถึง 83% แสดงให้เห็นว่าเมื่อเทรนด์ของผู้ชมเริ่มไปทางฝั่งออนไลน์มากขึ้น ทีวีเริ่มมีการปรับตัว

    โดยทีวีหลายสำนักมีการทำเนื้อหาในรูปแบบออนไลน์ สร้างแพลตฟอร์มของตัวเองเพื่อดึงผู้ชม ทำให้ตลาดสตรีมมิ่งปัจจุบันจึงมีความสนุกและเข้มข้นมาก ผู้ชมมีตัวเลือกเยอะมากขึ้น จากผลสำรวจเมื่อปี 2019 ถึงจำนวนผู้ใช้งานแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง หรือ OTT (Over the top) พบว่ามีประมาณ 29% ของคนไทยทั้งประเทศที่ใช้งาน แต่จากข้อมูลล่าสุดได้ทำการสำรวจช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ พบว่าเพิ่มขึ้นเป็น 59%

    จากจำนวนผู้ใช้ในตลาดสตรีมมิ่งที่โตแบบก้าวกระโดด ผู้ชมจำนวนมากยินดีที่จะจ่ายเงินเพื่อติดตามเนื้อหา ถึงแม้ว่าปัจจุบันมีจำนวนแพลตฟอร์มจำนวนมาก โดยการสำรวจของนีลเส็นสหรัฐฯ พบว่าปัจจุบัน คนส่วนใหญ่จ่ายเงินเพื่อติดตามเนื้อหาสตรีมมิ่ง 2-3 แพลตฟอร์มต่อคน

    รายการ ข่าว มาแรง

    นอกจากเทรนด์ของรับชมทีวีเปลี่ยนไป เนื้อหาที่คนไทยรับชมผ่านทีวีก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ในปี 2019 เนื้อหาที่คนไทยดูผ่านทีวีมากที่สุด คือ ละคร ซีรีส์ (54%) แต่ข้อมูลในปีล่าสุดพบว่า เนื้อหาที่คนไทยดูมากที่สุดตอนนี้คือ รายการข่าว (52%) คนไทยหันมาสนใจข่าวมากขึ้น โดยสาเหตุหนึ่งคาดว่ามาจากสถานการณ์โควิดมีส่วนทำให้พฤติกรรมเปลี่ยน โดยช่วงเริ่มแรกคนติดตามข่าวการรายงานรายวันและสถานการณ์รอบโลก และปัจจุบันรายการข่าวหลายรายการมีการถ่ายทอดสดผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งเอื้ออำนวยให้ผู้ชมเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

    เรื่องเล่าเช้านี้

    ยกระดับการวัดเรตติ้ง

    ความท้าทายในปัจจุบันคือ ประเทศไทยผู้ชมจำนวนมากที่ยังนิยมดูรายการทีวีอยู่ แต่ผู้ชมเหล่านั้นกระจัดกระจายไปตามช่องทางต่าง ๆ ทั้งคนที่ดูผ่านจอทีวีและจอออนไลน์ ซึ่งผู้ชมในแต่ละแพลตฟอร์มมีพฤติกรรมการชมที่แตกต่างกันไป เพื่อความเข้าใจผู้ชมมากขึ้นและเพื่อที่จะได้สะท้อนภาพของผู้ชมที่แท้จริงว่าเป็นอย่างไร อุตสาหกรรมจำเป็นต้องมีระบบการวัดเรตติ้งที่สามารถวัดรวมทั้งทางทีวีและทางดิจิทัลไปพร้อมกัน เพื่อให้ผู้ประกอบการนำไปพัฒนารูปแบบรายการ และมีเดียเอเจนซี สามารถนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์วางแผนในการซื้อสื่อโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    นีลเส็น ประเทศไทย กำลังพัฒนา การวัดเรตติ้งข้ามแพลตฟอร์ม (Cross Platform) ซึ่งเป็นโครงการร่วมกับ สมาคมโทรทัศน์ระบบดิจิตอลประเทศไทย และ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช). โดยนีลเส็น ได้ดำเนินการตามแผนงานโดยมีการติดตั้งและปรับปรุงระบบและอุปกรณ์ เพื่อรองรับการวัดการรับชมผ่านออนไลน์เรียบร้อยแล้ว และกำลังอยู่ในขั้นตอนการเก็บผลสำรวจและทดสอบระบบ ซึ่งจะได้รายงานผลสำรวจความนิยมของรายการโทรทัศน์แบบข้ามแพลทฟอร์มชุดแรกในช่วง ไตรมาส 3 ของปี

    สำหรับการสำรวจความนิยมรายการโทรทัศน์แบบข้ามแพลตฟอร์มนี้ เป็นเทคโนโลยีระบบการวิจัยล่าสุดที่นีลเส็นได้พัฒนาและเริ่มใช้แล้วในประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก โดยประเทศไทยจะเป็นประเทศแรกในอาเซียน

    “พฤติกรรมของผู้ชมกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมในการนำการวัดเรตติ้งข้ามแพลตฟอร์มที่มีประสิทธิภาพมาสู่ประเทศไทย มาตรวัดนี้จะเป็นค่ามาตรฐานที่ช่วยให้นักการตลาดและเจ้าของสื่อเข้าใจในพฤติกรรมของคนไทย อีกทั้งยังช่วยสร้างสรรค์โอกาสใหม่ให้กับผู้ลงโฆษณา และผลักดันการผลิตเนื้อหาที่มีความสอดคล้องกับกลุ่มผู้ชมมากยิ่งขึ้น” อารอน ริกบี้ กรรมการผู้จัดการ นีลเส็นประเทศไทย กล่าว

    ]]>
    1388186
    ตลาดหด! ทีวี LG ไตรมาสแรกกำไรร่วง 93% พ้นระยะล็อกดาวน์ คนอยู่หน้าจอน้อยลง https://positioningmag.com/1383099 Wed, 27 Apr 2022 09:53:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1383099 ธุรกิจจอแสดงผลของ LG กำไรไตรมาส 1/2022 หดตัวเกือบ 93% เนื่องจากดีมานด์ลดลง เมื่อการล็อกดาวน์ผ่อนคลาย ทำให้ความต้องการทีวี จอคอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก ลดตามไปด้วย รวมถึงราคาจอยังลดลง 7-11% ช่วงที่เหลือของปีบริษัทตั้งใจบุกหนักทีวี OLED เกาะตลาดไฮเอนด์ที่โตได้ดีกว่า

    LG Display Co. ผู้ผลิตจอแสดงผลรายใหญ่ของเกาหลีใต้ โดยผลิตทั้งโทรทัศน์ และจอคอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก สมาร์ทโฟน รายงานผลประกอบการไตรมาส 1/2022 ของบริษัท รายได้ร่วงลง 6% เทียบกับไตรมาสแรกปีก่อน โดยทำรายได้ไปเพียง 6.5 ล้านล้านวอน (ประมาณ 1.76 แสนล้านบาท)

    ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานลดฮวบอย่างหนัก จากช่วงเดียวกันปีก่อนทำได้ 5.23 แสนล้านวอน (ประมาณ 1.42 หมื่นล้านบาท) ลดไปถึง 93% เหลือเพียง 38,300 ล้านวอนเท่านั้น (ประมาณ 1,040 ล้านบาท)

    สาเหตุมาจากดีมานด์ที่น้อยลงหลังโรคระบาดคลี่คลาย การล็อกดาวน์จบลงทำให้คนอยู่หน้าจอน้อยลง ซึ่งส่งผลต่อราคาตลาดของจอแสดงผลที่ถูกกดดันให้ต่ำลงไปด้วย

    ข้อมูลจาก WitsView พบว่า ราคาจอแสดงผลลดลงไป 7-11% ในช่วงไตรมาสแรก ยิ่งเป็นกลุ่มโทรทัศน์ยิ่งลดหนัก ทีวี LCD ขนาด 55 นิ้วนั้นราคาลดลงไป 16% เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และหากเทียบกับเดือนสิงหาคมปี 2021 ราคาปัจจุบันได้ลดลงไปถึง 47% และเป็นราคาต่ำสุดนับตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2020 ซึ่งเป็นช่วงที่โรคระบาดเพิ่งเกิดขึ้น

    นอกจากนี้ ยังเกิดจากปัญหาการส่งมอบสินค้าด้วย เพราะการระบาดและล็อกดาวน์ในจีนทำให้การส่งมอบชิ้นส่วนล่าช้า

     

    หันไปเน้นทีวี “ไฮเอนด์” แทน

    ปกติหน้าจอแบบ LCD จะคิดเป็นสัดส่วน 60% ของรายได้รวม LG Display ส่วนอีก 30% มาจากหน้าจอ OLED เทคโนโลยีที่สูงกว่า

    ทำให้บริษัทคาดว่า กำไรตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไปน่าจะดีขึ้น เพราะบริษัทจะออกโทรทัศน์เทคโนโลยีใหม่ OLED.EX ซึ่งให้ภาพคมชัดและสีสดมากขึ้นกว่าจะ OLED แบบเดิม

    LG ทีวี
    เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด OLED EX ที่ LG หมายมั่นจะมากู้กำไรคืนได้ในปี 2022

    LG มองว่า แม้ตลาดทีวีโดยรวมจะหดตัวลง แต่มีโอกาสรออยู่ในกลุ่มทีวีไฮเอนด์ เพราะตลาดรวมหดตัวไป 10% และตลาดทีวีจอ LCD ถูกเล่นสงครามราคาหนักจากทีวีจีน แต่ทีวีกลุ่มไฮเอนด์ใช้จอ OLED กลับเติบโตมากกว่า 40% ในไตรมาสแรก จากการเพิ่มเทคโนโลยีใหม่ๆ สร้างความต่างในตลาด

    ด้านดีลที่ LG กำลังพยายามเจรจาเพื่อเป็นผู้ผลิตจอ OLED ให้กับทีวี Samsung นั้นยังไม่คืบหน้า แต่ว่าโอกาสก็ยังเปิดอยู่ หากทั้งสองบริษัทสามารถเจรจากันได้ลงตัว ดีลนี้ก็อาจเกิดขึ้น

    Source: Reuters, Yonhap

    ]]>
    1383099
    ผู้เชี่ยวชาญเตือน ‘ทีวี’ จะตายเร็วขึ้นเพราะการมาของ ‘เมตาเวิร์ส’ https://positioningmag.com/1381684 Mon, 18 Apr 2022 09:54:12 +0000 https://positioningmag.com/?p=1381684 ผู้เชี่ยวชาญออกมาเตือนว่า อุตสาหกรรมโทรทัศน์จะต้องปรับตัวให้เข้ากับโลกแห่งความบันเทิงออนไลน์ที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว หากพวกเขาหวังว่าจะอยู่รอด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘เมตาเวิร์ส’ (Metaverse)

    ในขณะที่ผู้บริโภคสูงอายุยังคงแต่งงานกับทีวีแบบดั้งเดิม แต่จำนวนผู้ชมในกลุ่มอายุต่ำกว่า 35 ปีได้ลดลงเกินกว่าครึ่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตามของมูลของ Statista และจะลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อ metaverse พัฒนาขึ้น ทำให้บริษัทด้านคอนเทนต์หลายรายกำลังมุ่งไปที่ ‘เกมออนไลน์’ เพื่อแย่งชิงความสนใจของผู้ชมอายุน้อยและเงินโฆษณาที่จะตามมา รวมไปถึงการเร่งพัฒนา Metaverse ที่จะดึงดูดผู้ใช้หลายล้านคน

    “ช่องทีวีกำลังจะตายไปพร้อมกับผู้ชม คนหนุ่มสาวเขาย้ายตัวเองมาอยู่บนสมาร์ทโฟนที่สามารถโต้ตอบได้อย่างเรียลไทม์” เฟรเดอริก คาวาซซา ผู้ร่วมก่อตั้ง Sysk บริษัทฝรั่งเศสที่เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลกล่าว

    เพื่อเข้าถึงกลุ่มวัยรุ่น ผู้แพร่ภาพกระจายเสียงจะต้องแข่งขันกับแพลตฟอร์มเกมอย่าง Roblox, Fortnite และ Minecraft ซึ่งถูกมองว่าเป็นต้นแบบของ metaverse โดยบริษัทวิจัยสื่อ Dubit ระบุว่า ครึ่งหนึ่งของเด็กอายุ 9-12 ปีในสหรัฐอเมริกาใช้ Roblox อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ซึ่งทำทุกอย่างตั้งแต่เล่นเกม ดูคอนเสิร์ต ไปจนถึงไปเที่ยวกับเพื่อน

    “มีผู้ชมกว่า 33 ล้านคนดูแร็ปเปอร์ Lil Nas X แสดงบน Roblox ในปี 2020 ซึ่งมากกว่าสามเท่าของจำนวนที่คนที่ดูเขาทางทีวีที่ Grammys ในสัปดาห์นี้”

    Matthew Warneford ผู้ร่วมก่อตั้ง Dubit กล่าวว่า ผู้แพร่ภาพกระจายเสียงต้องเลือกว่าจะยึดติดกับตลาดที่หดตัวลงสำหรับรายการโทรทัศน์แบบเดิม ๆ หรือเริ่มนำตัวละครและแบรนด์ของตนมาสู่แพลตฟอร์ม metaverse

    “มันหมายถึงการนำผู้คนเข้าสู่โลก ทำให้พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราว เล่นเคียงข้างเพื่อนของพวกเขา เช่นเดียวกับที่ดิสนีย์แลนด์อนุญาตให้คุณและเพื่อนของคุณอยู่ในโลกของพวกเขากับมิกกี้เมาส์”

    ทีวียังพอมีเวลาปรับตัว แต่ต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ เพราะตอนนี้คนวัยกลางคนที่เปลี่ยนไปใช้สตรีมมิ่ง และคนหนุ่มสาวที่ต้องการความบันเทิงแบบอินเทอร์แอคทีฟและโซเชียล ซึ่งถ้าทีวีอยากอยู่รอด จะต้องวางตำแหน่งตัวเองในทุกการใช้งานเหล่านี้

    อีกความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือเรื่อง เงิน โดยรายได้จากโฆษณาของช่องทีวีกำลังลดลง แม้จะไม่ได้หดหายเหมือนกับสื่อสิ่งพิมพ์ก็ตาม ตอนนี้อาจจะยังยากที่จะโยกโฆษณาจากทีวีไปสู่โลกของเกม แต่ด้วยขอบเขตที่เปิดกว้างของ metaverse แบรนด์ต่าง ๆ จะมีพื้นที่มากขึ้นในการโปรโมตตัวเองและขายสินค้าให้กับผู้ใช้โดยตรง อาทิ แบรนด์แฟชั่นและสินค้าหรูหราทำยอดขายเสื้อผ้าและเครื่องประดับเสมือนจริงบน Roblox, Fortnite และแพลตฟอร์มอื่น ๆ ได้แล้ว

    Source

    ]]>
    1381684
    เจาะอินไซต์การรับชม ‘กีฬา’ และ ‘อีสปอร์ต’ ที่แบรนด์ต้องรู้ก่อนจะลงเงินโฆษณา https://positioningmag.com/1338835 Thu, 24 Jun 2021 11:28:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1338835 หากพูดถึงเรื่อง กีฬา และ กีฬาอีสปอร์ต เชื่อว่าเป็นหนึ่งในคอนเทนต์ที่คนไทยหลายคนให้ความสนใจ ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งที่มาคู่กันก็คือ สปอนเซอร์ แต่หลายแบรนด์อาจจะยังไม่แน่ใจว่าในส่วนของรายการกีฬานั้นมีผู้ชมมากน้อยแค่ไหน เป็นใคร และจะได้อะไรกลับมา ดังนั้น นีลเส็น ประเทศไทย จึงได้ออกมาเปิดเผยถึงอินไซต์ว่าภาพรวมเป็นอย่างไรบ้าง

    ประชากรไทย 43 ล้านคนชมกีฬา

    จากผลสำรวจในช่วง 12 เดือน ที่ผ่านมาพบว่า ผู้ชมชาวไทย 84% หรือกว่า 43 ล้านคน กลับมารับชมกีฬา และมากกว่า 20 ล้านคน รับชมกีฬาในสนามแข่ง โดยคนไทย 19 ล้านคน เล่นกีฬา

    แพลตฟอร์มในการรับชมกีฬา 5 อันดับ ได้แก่

    • ฟรีทีวี (74%)
    • โซเชียลมีเดีย (69%)
    • สตรีมมิ่งแพลตฟอร์ม (46%)
    • OTT แพลตฟอร์ม (44%)
    • เพย์ทีวี (37%)

    คนดูโหยหารายการกีฬา

    แม้ว่าช่วงการระบาดของ COVID-19 จะทำให้ไม่สามารถจัดแข่งขันกกีฬาได้ ซึ่งส่งผลกระทบให้ไม่มีรายการกีฬาถ่ายทอดสด จากยอดการรับชมเดือนละ 40-45 ล้านคนกลายเป็นศูนย์ในช่วงเดือนเมษายน 2020 แต่พอช่วงที่มีการผ่อนปรน มีการจัดแข่งขันกีฬาสดคนก็กลับมาชมกีฬาเหมือนเดิม อย่างที่ผ่านมา รายการ วอลเลย์บอลหญิงเนชั่นลีก 2021 สามารถทำเรตติ้งได้ 5.3%

    ส่งผลให้โฆษณาสามารถเข้าถึงคนดูได้มากขึ้น อาทิ มิตซูบิชิ สามารถเข้าถึงคนดูได้ 3.9 ล้านคน จากการแข่งขัน AFC U23 Championship Thailand 2020, Coca-Cola เข้าถึงคนดู 1.8 ล้านคนจากรายการ Thai Fight, Leo Soda เข้าถึงคน 1.1 ล้านคน จากรายการ Toyota Thai League และ Nescafe เข้าถึคนดู 5 ล้านคน จากรายการวอลเลย์บอลหญิงเนชั่นลีก 2021 สำหรับการแข่งขัน ฟุตบอลยูโร 2020 มียอดผู้ชมสะสม 8.1 ล้านคนในช่วง 12 วันที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นว่ารายการกีฬาที่สำคัญยังสามารถดึงดูดคนได้อยู่

    คนดูกีฬามักมีรายได้สูงกว่า

    ผู้ชมกีฬาส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่มีรายได้ สูง เมื่อเทียบกับผู้ชมทั่วไป โดยประเภทรายการกีฬาที่คนไทยสนใจมากสุดคือ

    • ฟุตบอล (61%) ผู้ชมส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อมากกว่าคนไทยทั่วไป ส่วนใหญ่อาศัยในกรุงเทพฯ และเขตเทศบาลต่างจังหวัด ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย
    • วอลเลย์บอล (53%) มีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ส่วนใหญ่อาศัยในกรุงเทพฯ และเขตเทศบาลต่างจังหวัด กำลังซื้อระดับปานกลาง
    • แบตมินตัน (42%) ผู้ชมส่วนใหญ่รายได้ปานกลางถึงสูง อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ เป็นหลัก
    • มวยไทย (41%) จับกลุ่มรายได้น้อย ส่วนใหญ่อยู่ต่างจังหวัด

     

    โซเชียลช่องทางหลักติดตามข่าว

    โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางอันดับ 1 (80%) ตามด้วยทีวี (78%) แพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่ง (75%) Social Messaging (63%) และ เว็บไซต์ต่าง ๆ (60%) ทั้งนี้ ช่องทางการติดตามโซเชียล 5 อันดับ ดังนี้

    • Facebook 93%
    • YouTube 92%
    • Instagram 66%
    • Twitter 61%
    • TikTok 55%

    สำหรับรายการแข่งขันที่คนไทยให้ความสนใจ ได้แก่ FIFA Would Cup 61%, Asian Game 55%, Sea Game 54% และ Asian Volleyball Cup 53%

    ส่วนการแข่งขันที่จัดเป็นฤดูการที่คนไทยสนใจ ได้แก่ Premier League 55%, UEFA Champions League 49%, UEFA Europa League 44% และ Toyota Thai League 43%

    ในส่วนของกีฬาโอลิมปิกที่จะจัดแข่งในเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้พบว่า คนไทยให้ความสนใจเพียง 43% แม้ว่าจะรู้จักเกือบ 100% อย่างไรก็ตาม หากวัดตามจำนวนผู้ที่มีรายได้สูงกว่า 60,000 บาทพบว่าพวกเขาให้ความสนใจ 53% สูงกว่าค่าเฉลี่ย

    สปอนเซอร์มีภาพลักษณ์ที่ดีสำหรับแฟนกีฬา

    • 65% ของผู้ชมเห็นด้วยว่าแบรนด์ผู้สนับสนุนกีฬาได้รับความสนใจจากผู้ชมมากขึ้น
    • 63% รู้สึกจดจำชื่อแบรนด์ได้
    • 60% รู้สึกว่าแบรนด์มีความรับผิดชอบต่อสังคม
    • 55% จะเลือกใช้แบรนด์สปอนเซอร์มากกว่าแบรนด์คู่แข่ง

    ที่น่าสนใจคือ สำหรับแฟนกีฬาจะให้ความสำคัญกับสปอนเซอร์มากกว่าผู้ชมทั่วไป โดยจะมีความภักดีต่อแบรนด์มากกว่า รักแบรนด์มากกว่า

    แฟนอีสปอร์ตเป็นวัยรุ่นรายได้สูง

    จากการสำรวจแฟนกีฬาอีสปอร์ตในพื้นที่กรุงเทพมหานครพบว่า 65% เป็นเพศชาย เป็นกลุ่มนักศึกษาหรือ Fist Jobber อายุเฉลี่ยประมาณ 27 ปี มีรายได้สูงกว่าเฉลี่ยคนกรุงที่ 45,000 บาท โดยเฉลี่ยมักจะใช้เวลา 8 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ในการ เล่นเกม และใช้เวลา 5 ชั่วโมง ต่อสัปดาห์โดยเฉลี่ยในการ รับชมการแข่งขันอีสปอร์ต ดย  79% ดูเพราะชื่นชอบ 74% ดูเป็นงานอดิเรก และ 61% ดูเพื่อพัฒนาทักษะการเล่นเกม

     

    โทรศัพท์มือถือ เป็นอุปกรณ์หลักสำหรับใช้เล่นเกมและรับชมการแข่งขันมากถึง 88% ส่วนการเล่นเกมบน พีซี คิดเป็น 54% และมีเพียง 45% ที่ใช้เกม คอนโซล ส่วนแพลตฟอร์มที่ชาวอีสปอร์ตไทยใช้รับชมการแข่งขันอีสปอร์ต ได้แก่

    • YouTube 77%
    • Twitch 48%
    • Facebook 16%
    • mixer 12%
    • Garena 11%

    ทั้งนี้ 71% ของแฟนอีสปอร์ตมองว่าสปอนเซอร์ช่วยทำให้ประสบการณ์ดีขึ้น 69% รู้สึกว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มคอมมูนิตี้อีสปอร์ต และ 55% รู้สึกว่าแบรนด์ที่ได้รับการแนะนำจากนักกีฬาหรือสตรีมเมอร์ให้ความรู้สึกว่ามีความจริงใจ

    สรุป คนดูกีฬามีอำนาจการซื้อสูงกว่า โดยทีวียังคงเป็นช่องทางหลักในการรับชม แต่โซเชียลมีความสำคัญในการติดตามข่าวสาร ส่วนแบรนด์สปอนเซอร์จะได้รับผลบวกจากการสนับสนุนแน่นอน และแม้การแข่งขันกีฬาจะได้รับผลกระทบจาก COVID-19 แต่ผู้ชมกีฬาไม่เคยหายไปไหน อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจอาจยังไม่ฟื้นจากพิษ COVID-19 แต่หากไม่ลงโฆษณาอาจทำให้แบรนด์ไม่ได้สื่อสาร ทำให้ถูกลืมและถูกคู่แข่งแทรกขึ้นมาได้ ดังนั้น ต้องวางแผนอย่างรัดกุมและเฉียบขาดมากขึ้น

    ]]>
    1338835
    เริ่มฟื้น! เม็ดเงินโฆษณาเดือนพ.ค. 64 เพิ่มขึ้น 27% สื่อทีวีเพิ่มขึ้น 37% https://positioningmag.com/1337115 Sat, 19 Jun 2021 15:40:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1337115 นีลเส็น เปิดเผยมูลค่าเม็ดเงินโฆษณาในช่วงมกราคม-พฤษภาคมปี 2564 เพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมูลค่าอยู่ที่ 44,956 ล้านบาท สื่อทีวียังคงเป็นสื่อที่มีสัดส่วนของการใช้เม็ดเงินโฆษณาสูงสุดอยู่ที่ 60% ขณะที่ภาพรวมเม็ดเงินโฆษณาในเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้น 27% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

    สื่อทีวียังเป็นสื่อหลัก มีการใช้งบโฆษณาเพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว อีกทั้งยังเป็นช่วงของการกลับมาของ “สรยุทธ์” มีส่วนทำให้งบโฆษณาเพิ่มขึ้นได้ ส่วนสื่อสิ่งพิมพ์ยังเป็นสื่อเดียวที่ติดลบ 11%

    ภาพรวมใช้เม็ดเงินโฆษณาปี 2564 ช่วงเดือนมกราคม-พฤษภาคม อุตสาหกรรมหลัก ได้แก่

    • กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม (Food&Beverage) มูลค่า 8,106 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33%
    • กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคล และเครื่องสำอาง (Personal Care & Cosmetic) มูลค่า 6,587ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17%
    • กลุ่มยานยนต์ (Automotive) มูลค่า 2,769 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3%
    • กลุ่ม Media & Marketing ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจขายตรงมูลค่า 5,026 ล้านบาท ลดลง 3%
    • กลุ่มยา (Pharmaceuticals) มูลค่า 2,324 ล้านบาท ลดลง 1%

    3 บริษัทที่ใช้เม็ดเงินโฆษณาสูงสุดในปี 2564

    UNILEVER (THAI) HOLDINGS มูลค่า 2,168 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 33% โดยแคมเปญที่ใช้เม็ดเงินโฆษณาสูงสุดในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา คือ คอมฟอร์ท อัลตร้าแคร์ ปกป้องสี และใยผ้าจากการซัก ทางสื่อทีวีมูลค่า 48 ล้านบาท รองลงมาคือคนอร์ สูตรใหม่ หอมกลิ่นหมู เพิ่มขึ้นทางสื่อทีวีมูลค่า 25 ล้านบาท

    NESTLE (THAI) มูลค่า 1,355 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 73% โดยแคมเปญที่ใช้เม็ดเงินโฆษณาสูงสุดในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา คือ ไมโล ประโยชน์เต็มแก้ว ทางสื่อทีวีมูลค่า 24 ล้านบาท รองลงมาคือเนสกาแฟ ทริปเปิ้ล เอสเปรสโซ่ อร่อยเข้มคูณสามทางสื่อทีวีมูลค่า 22 ล้านบาท

    PROCTER & GAMBLE (THAILAND) มูลค่า 1,004 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 27% โดยแคมเปญที่ใช้เม็ดเงินโฆษณาสูงสุดในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา คือ รีจอยส์ ผมนุ่มสลวย พร้อมกลิ่นหอมติดผมยาวนาน ทางสื่อทีวีมูลค่า 29 ล้านบาท รองลงมา คือ พริงเกิ้ล ลุคใหม่! สุดปัง ทางสื่อทีวีมูลค่า 23 ล้านบาท

    ]]>
    1337115
    ปัญหาขาดแคลนชิปทำ ‘ทีวี’ ราคาพุ่ง 30% ส่วน ‘Ps5’ ขาดตลาดยาวถึง 2022 https://positioningmag.com/1332674 Tue, 18 May 2021 08:22:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1332674 โทรทัศน์, แล็ปท็อป และแท็บเล็ตเป็นที่ต้องการอย่างมากในช่วงที่ COVID-19 ระบาด เนื่องจากผู้คนทำงานและเรียนผ่าน Zoom, คุยกับเพื่อน ๆ ผ่าน Skype และใช้ Netflix เพื่อบรรเทาอาการเบื่อ แต่การขาดแคลนชิปตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ซึ่งยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นนั้นทำให้ ราคาของดีไวซ์พุ่งสูงขึ้น โดยเริ่มจาก ‘ทีวี’

    ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ราคาของทีวีระดับตัว Top พุ่งขึ้นประมาณ 30% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกับปีที่ผ่านมาตามรายงานของบริษัทวิจัยตลาด NPD การที่ราคาพุ่งอย่างก้าวกระโดดเป็นผลโดยตรงจากวิกฤตชิปขาดแคลนในปัจจุบันและเป็นการตอกย้ำว่าปัญหามีความซับซ้อนมากกว่าการเพิ่มกำลังการผลิต

    ปัญหาดังกล่าวถือเป็นการส่งสัญญาณว่าดีไวซ์อื่น ๆ อาจมีราคาสูงขึ้นตาม ไม่ว่าจะเป็นแล็ปท็อป, แท็บเล็ต และชุดหูฟัง VR โดย ‘Asus’ ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ชาวไต้หวันกล่าวว่าการขาดแคลนส่วนประกอบอาจหมายถึง การปรับขึ้นราคาที่สูงขึ้นไปอีกขั้น ซึ่งน่าจะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค

    SEOUL, SOUTH KOREA – 2020/11/13: People wearing masks exit a PlayStation Store in Seoul. (Photo by Simon Shin/SOPA Images/LightRocket via Getty Images)

    Michael Hurlston ซีอีโอของ Synaptics ซึ่งเป็นบริษัทขายวงจรสำหรับควบคุมหน้าจอสัมผัสให้กับผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มั่นใจว่า “ราคาจะสูงขึ้นอย่างแน่นอน” สำหรับส่วนประกอบเหล่านี้ เพราะบริษัทเห็นการขึ้นราคาของส่วนประกอบอื่น ๆ จากบริษัทอื่น

    ด้าน Sony ได้เปิดเผยว่า PlayStation 5 จะยังคงขาดตลาดไปจนถึงปี 2022 เนื่องจากปัญหาดังกล่าว โดยบริษัทระบุว่าส่วนประกอบบางอย่างได้เห็นยอดสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อาทิ ตัวควบคุมแรงดันไฟฟ้าที่ใช้ในผลิตภัณฑ์จำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งปกติราคา 50 เซ็นต์ แต่ตอนนี้ขายได้มากถึง 70 เหรียญ ซึ่งผู้ผลิตวงจรจอแสดงผลจะรู้สึกถึงผลกระทบเป็นอันดับแรก

    “คำที่ฉันได้ยินเมื่อไม่นานมานี้คือ สินค้าคงเหลือหมดลงแล้ว ดังนั้นราคาใหม่เที่เพิ่มขึ้นจะกระทบต่อร้านค้าปลีกและการบริโภคของผู้บริโภค” Peggy Carrieres รองประธานของ AVNet ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์กล่าว

    Photo : shutterstock

    ก่อนหน้านี้ ผลกระทบได้เกิดกับผู้ผลิตรถยนต์ที่ต้องหยุดการผลิตเพราะขาดแคลนชิป ขณะที่มีอีกหลายปัญหาที่ส่งผลต่ออุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นปัญหาภายแล้งในไต้หวัน ที่กระทบต่อผู้ผลิตชิปในประเทศเพราะน้ำถือเป็นส่วนสำคัญในการผลิต นอกจากนี้มีเหตุไฟไหม้ในเดือนมีนาคมที่ต้องปิดโรงงานในญี่ปุ่นซึ่งเป็นผู้ผลิตส่วนประกอบเซมิคอนดักเตอร์หลายชนิดรวมถึงวงจรรวมจอแสดงผล

    ผู้เชี่ยวชาญหลายคนคาดว่า ปัญหาการขาดแคลนชิปอาจกินเวลานานกว่าหนึ่งปี ซึ่งปัญหาการขาดแคลนดังกล่าวได้เน้นให้เห็นถึงความสำคัญของอุตสาหกรรม รวมถึงผลกระทบต่อความก้าวหน้าในเทคโนโลยีสำคัญ ๆ เช่น AI, 5G และเทคโนโลยีทางทหาร

    ที่ผ่านมา Intel ผู้ผลิตชิปชั้นนำของสหรัฐฯ ที่พ่ายแพ้ให้กับคู่แข่งอย่าง TSMC ในไต้หวัน และ Samsung ในเกาหลีใต้ แต่ปัจจุบันบริษัทวางแผนที่จะลงทุนอย่างหนักเพื่อความพยายามที่จะกลับมาเป็นผู้นำ ขณะที่รัฐบาลสหรัฐฯ ได้เสนอมาตรการกระตุ้นอุตสาหกรรมชิปของสหรัฐฯ มูลค่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตชิปของอเมริกา อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวจะไม่ช่วยอะไรในสถานการณ์ปัจจุบัน

    Source

    ]]>
    1332674
    ‘พานาโซนิค’ เตรียมจ้าง ‘TCL’ ผลิตทีวี พร้อมยุติการไลน์ผลิตใน ‘อินเดีย-เวียดนาม’ https://positioningmag.com/1330450 Wed, 05 May 2021 04:22:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1330450 ‘พานาโซนิค’ บริษัทผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าของญี่ปุ่นกำลังเตรียมการขั้นสุดท้ายภายในสิ้นเดือนพฤษภาคม สำหรับการร่วมมือทางธุรกิจกับบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าของจีน ‘TCL Electronics’ ที่มียอดขายทีวีเป็นอันดับ 3 ของโลก โดยพานาโซนิคจะจ้างให้ TCL เป็นผู้ผลิต ‘ทีวี’ ขนาดเล็กและกลางภายในปีงบประมาณ 2564

    หลังจากที่ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลาย ๆ รายของญี่ปุ่นต่างเจ็บตัวจากธุรกิจทีวี เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงกับคู่แข่งในต่างประเทศ ส่งผลให้พานาโซนิคกำลังวางแผนที่จะปรับปรุงการดำเนินงานด้านการผลิตทีวีให้ลดลงเหลือ 40% ภายในปีงบประมาณ 2567 เนื่องจากตัวเลขรายได้จากฝั่งทีวีของพานาโซนิคติดตัวแดงอยู่

    โดยพานาโซนิค วางแผนที่จะลดต้นทุนโดยการจ้าง TCL ผลิตแบรนด์ Viera ในขณะที่บริษัทยังคงผลิตผลิตภัณฑ์กลุ่มระดับไฮเอนด์ เช่น ทีวี LCD และ OLED TV ขนาดใหญ่ เพื่อขายในตลาดญี่ปุ่นเป็นหลัก ทั้งนี้ ด้วยการร่วมมือกับ TCL คาดว่าจะลดการผลิตภายในประจำปีเหลือประมาณ 3.5 ล้านหน่วยซึ่งน้อยกว่าระดับปัจจุบัน 30-40% ซึ่งนี่จะเป็นการปรับโครงสร้างธุรกิจทีวีครั้งใหญ่ครั้งแรกของบริษัท นับตั้งแต่มีการถอนการผลิตในจีนและอเมริกาเหนือในปีงบประมาณ 2558

    โรงงานผลิต TV ของ TCL ในจีน ภาพจาก shutterstock

    นอกจากนี้ บริษัทยังวางแผนที่จะทบทวนการผลิตที่โรงงาน 7 แห่งทั่วโลกรวมถึงในมาเลเซีย และสาธารณรัฐเช็ก และจะยุติการผลิตในอินเดียและเวียดนามภายในสิ้นปีงบประมาณ 2564 ส่วนโรงงานในอุสึโนมิยะ ซึ่งเป็นฐานการผลิตทีวีแห่งเดียวในญี่ปุ่นจะถูกใช้เพื่อผลิตผลิตภัณฑ์อื่น ๆ แม้ว่าจะมีทีวี OLED บางรุ่นจะยังคงผลิตอยู่ที่นั่นก็ตาม

    ที่ผ่านมา พานาโซนิคจำหน่ายทีวีประมาณ 6 ล้านเครื่องทั่วโลกต่อปี โดยรายงานของบริษัทวิจัย Omdia ของอังกฤษระบุว่า พานาโซนิคอยู่ในอันดับที่ 12 ของการจัดส่งทีวีทั่วโลก โดยมีส่วนแบ่งการตลาด 1.8% นี่คือการลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากอันดับที่ 4 ในปี 2010 ที่มีส่วนแบ่งการตลาด 7.9% โดยมียอดขาย 20.23 ล้านเครื่องทั่วโลก

    Source

    ]]>
    1330450