บราซิล – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 12 Dec 2023 06:19:30 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 กาแฟสำเร็จรูปอาจมีราคาแพงขึ้น สาเหตุจากผลผลิตในบราซิลเก็บเกี่ยวได้น้อยลงเกือบ 20% https://positioningmag.com/1455176 Tue, 12 Dec 2023 03:38:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1455176 ราคากาแฟสำเร็จรูปนั้นมีโอกาสที่จะปรับตัวสูงขึ้นได้ สาเหตุสำคัญมาจากเมล็ดกาแฟพันธุ์โรบัสต้านั้นเก็บเกี่ยวได้น้อยลง จากปัญหาสภาวะอากาศเปลี่ยนแปลง ซึ่งก่อนหน้านี้ผลผลิตในประเทศเวียดนามเองก็เก็บเกี่ยวได้น้อยลงเช่นกัน

สำนักข่าว Bloomberg รายงานข่าวว่า ราคากาแฟสำเร็จรูปนั้นมีโอกาสที่จะปรับตัวสูงขึ้นได้ สาเหตุสำคัญมาจากเมล็ดกาแฟพันธุ์โรบัสต้านั้นเก็บเกี่ยวได้น้อยลง จากปัญหาสภาวะอากาศเปลี่ยนแปลง

สาเหตุสำคัญที่ทำให้เมล็ดกาแฟพันธุ์โรบัสต้านั้นเก็บเกี่ยวได้น้อยลงในบราซิลคือสภาวะอากาศที่แห้งแล้ง ปริมาณฝนที่ตกน้อยลง รวมถึงอุณหภูมิที่สูงมากขึ้น โดยสหกรณ์ Espirito Santo ซึ่งถือเป็นแหล่งปลูกกาแฟพันธุ์โรบัสต้าแหล่งใหญ่แห่งหนึ่งในประเทศบราซิลคาดว่าจะสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตน้อยลงเกือบ 20% จากที่เคยคาดการณ์ไว้

แม้ว่าเกษตรกรในสหกรณ์ Espirito Santo จะพยายามทำให้ต้นกาแฟนั้นมีน้ำหล่อเลี้ยงดิน เพื่อไม่ให้ดินแห้งเกินไป แต่อากาศที่แห้งแล้งส่งผลทำให้อุณหภูมิสูงมากขึ้น ทำให้ต้นกาแฟพันธุ์โรบัสต้านั้นตายลง ขณะเดียวกันในละแวกสหกรณ์เองเริ่มมีการจำกัดการใช้น้ำ เพื่อป้องกันการขาดแคลนน้ำ ยิ่งทำให้สถานการณ์ดูแย่ลงไปอีก

ก่อนหน้านี้ไม่ใช่แค่ในประเทศบราซิลที่ได้รับผลกระทบจากสภาวะอากาศเปลี่ยนแปลง แต่เวียดนามซึ่งเป็นแหล่งผลิตกาแฟโรบัสต้ารายใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เองนั้นเก็บเกี่ยวผลผลิตได้น้อยสุดในรอบ 4 ปีเช่นกัน

นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาราคาเมล็ดกาแฟพันธุ์โรบัสต้าที่ซื้อขายล่วงหน้ามีราคาปรับสูงขึ้นถึง 42% ส่งผลทำให้ต้นทุนในการผลิตกาแฟนั้นปรับตัวเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันราคาน้ำตาลซึ่งถือเป็นอีกส่วนผสมหลักที่สำคัญของกาแฟสำเร็จรูปก็มีราคาเพิ่มขึ้น ซึ่งสร้างความเสี่ยงที่ราคากาแฟสำเร็จรูปนั้นมีโอกาสปรับเพิ่มสูงขึ้นตาม

]]>
1455176
ผู้ว่าแบงก์ชาติบราซิล มอง “อนาคตมนุษย์จะทำธุรกรรมผ่านแอปพลิเคชัน แทนที่การใช้เงินสด หรือบัตรเครดิต” https://positioningmag.com/1448988 Mon, 23 Oct 2023 06:28:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1448988 ผู้ว่าธนาคารกลางของบราซิล ได้กล่าวว่า อนาคตมนุษย์จะทำธุรกรรมผ่านแอปพลิเคชัน แทนที่การใช้เงินสด หรือบัตรเครดิต และมองว่าแพลตฟอร์มเหล่านี้ทำหน้าที่ได้ไวกว่า ง่ายกว่า และยังสามารถเพิ่มความสามารถใหม่ ๆ เพิ่มได้ด้วย

Roberto Campos Neto ผู้ว่าธนาคารกลางของบราซิล ได้กล่าวว่า แพลตฟอร์มสกุลเงินดิจิทัล เช่น แอปพลิเคชันชำระเงิน จะเข้ามาแทนที่บัตรเครดิตและเครื่องมือทางการเงินแบบเดิม ๆ ในที่สุด และมองว่าแพลตฟอร์มต่าง ๆ เหล่านี้จะทำหน้าที่ได้ไวกว่า และง่ายกว่า

ผู้ว่าธนาคารกลางของบราซิลได้กล่าวในงานที่จัดขึ้นโดย Americas Society/Council of the America ในเมืองไมอามีว่า บัตรเดรดิตในอนาคตจะเป็นเงินที่สามารถตั้งโปรแกรมได้ ซึ่งจะไม่ต้องการบัตรเครดิตอีกต่อไป และเขายังมองว่าในอนาคตเราไม่ต้องจ่ายเงินให้กับบริษัทบัตรเครดิตตามจำนวนที่คุณจ่ายเงินในวันนี้ เพราะจะสามารถทำธุรกรรมดังกล่าวได้ง่ายและไวมากกว่า

นอกจากนี้ผู้ว่าธนาคารกลางของบราซิลยังมองว่า ควรจะมีกระเป๋าเงินออฟไลน์ เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถโอนเงินจำนวนเล็กน้อยได้ถ้าหากอยู่บนพื้นที่ที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์มือถือ แต่กลับกลายเป็นว่าธนาคารไม่ได้ทำสิ่งนั้นไม่ได้ไวตามที่เขาคาดหวังด้วยซ้ำ

ในปี 2020 ธนาคารกลางของบราซิลเองได้เปิดตัว Pix ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันสำหรับชำระเงิน และมีผู้ใช้งานในประเทศบราซิลมากกว่า 110 ล้านคนในช่วงที่ผ่านมา โดยในไตรมาส 1 ของปี 2023 นี้ Pix มีจำนวนธุรกรรมมากกว่า 8,000 ล้านรายการ และเคยมีสถิติทำธุรกรรมมากสุด 163 ล้านธุรกรรมภายใน 1 วัน

ความนิยมของ Pix ในบราซิลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากความสะดวกในการใช้งานและความได้เปรียบเหนือบัตรเครดิตสำหรับทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการ

หลังจากนี้ธนาคารกลางบราซิลเตรียมเพิ่มความสามารถในการผ่อนจ่ายชำระ ซึ่งเหมือนกับบริการของบัตรเครดิต ซึ่ง Roberto มองว่า Pix นั้นเป็นแอปพลิเคชันสำหรับชำระเงินที่สามารถเขียนโปรแกรมเพิ่มได้ ดังนั้นโอกาสของแอปฯ ตัวนี้มีไม่สิ้นสุด

ผู้ว่าธนาคารกลางของบราซิลยังได้กล่าวว่า เขาอยากเห็นอุตสาหกรรมการชำระเงินดิจิทัลก้าวหน้าด้วยกระเป๋าเงินแบบออฟไลน์ กระเป๋าเงินดิจิทัล และความสามารถในการเข้าถึง Pix ด้วยขั้นตอนการใช้งานที่ลดลง และสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปหลังจากนี้คือการยกระดับการศึกษาทางการเงิน

]]>
1448988
ผู้ประกอบการเตรียมรับมือ! หลังประเทศส่งออก ‘กาแฟ’ เจอ ‘พิษโควิด-ภัยแล้ง’ ทำราคาขึ้นยาวถึงปีหน้า https://positioningmag.com/1352181 Thu, 16 Sep 2021 10:12:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1352181 เนื่องจากประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นผู้ส่งออกกาแฟรายใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ขณะที่หลายประเทศกำลังต่อสู้กับการระบาดของไวรัส COVID-19 ทำให้หลายประเทศต้องทำการล็อกดาวน์ โดยเฉพาะประเทศเวียดนาม ที่มีนครโฮจิมินห์เป็นศูนย์กลางการส่งออก ทำให้ส่งผลกระทบต่อการขนส่งกาแฟและสินค้าอื่น ๆ ในต่างประเทศ

การล็อกดาวน์ของเวียดนามเพื่อสกัดการระบาดของ COVID-19 อาจส่งผลกระทบต่อความต้องการ ‘กาแฟทั่วโลก’ อาจทำให้ราคากาแฟสูงขึ้นยาวถึงปี 2022 โดยในเดือนสิงหาคมการส่งออกกาแฟเวียดนามลดลง -8.7% จากเดือนกรกฎาคมมาอยู่ที่ 111,697 ตัน จากที่ระหว่างเดือนมกราคมถึงสิงหาคม เวียดนามส่งออกกาแฟถึง 1.1 ล้านตัน ลดลง -6.4% จากปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม รายได้จากการส่งออกกาแฟเพิ่มขึ้น 2% เป็นประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์

การลดลงของการส่งออกและการผลิตของเวียดนามในผู้ผลิตชั้นนำรายอื่น ๆ ได้หนุนราคากาแฟทั่วโลกให้เพิ่มขึ้น โดยเกณฑ์มาตรฐานกาแฟอาราบิก้าฟิวเจอร์สได้เพิ่มขึ้นประมาณ 45.8% ในปีนี้ ขณะที่โรบัสต้าฟิวเจอร์สพุ่งขึ้น 52.2% ตามข้อมูลของ Refinitiv

ส่วน บราซิล ผู้ผลิตกาแฟรายใหญ่ที่สุดของโลก เผชิญกับความแห้งแล้งซึ่งทำให้พืชผลเสียหาย สภาพอากาศเลวร้ายส่งผลกระทบต่อการเก็บเกี่ยว เช่นเดียวกันกับที่ประเทศโคลอมเบียที่เจอปัญหาเช่นกัน แถมการเกิดขึ้นของ COVID-19 สายพันธุ์ ‘mu’ ทำให้ขาดแคลนแรงงานซึ่งทำให้การผลิตแย่ลง

“จากการคลายล็อกดาวน์ในหลายประเทศ โดยเฉพาะในยุโรปและสหรัฐฯ ทำให้เราเชื่อว่าความต้องการจะยิ่งเพิ่มขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เพราะร้านกาแฟกลับมาเปิดได้อีกครั้ง”

ที่ปรึกษาได้เพิ่มการคาดการณ์ในปี 2564 สำหรับราคาเฉลี่ยของกาแฟอาราบิก้าจาก 1.35 ดอลลาร์ต่อปอนด์เป็น 1.60 ดอลลาร์ต่อปอนด์ นอกจากนี้ยังปรับขึ้นประมาณการสำหรับปี 2022 จาก 1.25 ดอลลาร์ต่อปอนด์เป็น 1.50 ดอลลาร์ต่อปอนด์

อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดเรื่อง COVID-19 อาจถูกยกเลิกอย่างค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้นการหยุดชะงักของการส่งออกกาแฟของเวียดนามจึงมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นได้ไม่นาน ส่วนการผลิตกาแฟของบราซิลก็ควรจะฟื้นตัวเร็ว หากสภาพอากาศกลับมาเอื้ออำนวย ดังนั้น หมายความว่า ความต้องการกาแฟทั่วโลกจะเริ่มฟื้นตัวในฤดูกาล 2022/2023 โดยราคาอาราบิก้าเฉลี่ยต่อปีลดลงเหลือ 1.20 ดอลลาร์ต่อปอนด์ในปี 2023 ตามการคาดการณ์ของ Fitch Solutions

Source

]]>
1352181
อเมริกัน ‘วัยผู้ใหญ่’ ครึ่งประเทศ ฉีดวัคซีนโควิดเเล้ว ท่ามกลางยอดติดเชื้อพุ่งทั่วโลก https://positioningmag.com/1328304 Mon, 19 Apr 2021 14:54:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1328304 ภายในระยะเวลา 4 เดือนกว่าๆ สหรัฐฯ สามารถฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 ให้ประชาชนไปเเล้ว 209 ล้านโดส โดยกว่า 50% ของกลุ่มวัยผู้ใหญ่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มแรกแล้ว ท่ามกลางวิกฤตโรคระบาดทั่วโลกที่ยังเลวร้าย พบผู้ติดเชื้อใหม่รายสัปดาห์สูงสุดนับตั้งแต่การระบาด ยอดเสียชีวิตสะสมทะลุ 3 ล้านคน

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ (CDC) รายงานว่า ชาวอเมริกันที่มีอายุมากกว่า 18 ปีขึ้นไป จำนวนกว่า 130 ล้านคน หรือราว 50.4% ของประชากรกลุ่มผู้ใหญ่ทั้งหมด ได้รับการได้ฉีดวัคซีนอย่างน้อยคนละหนึ่งโดส เเละอีกประมาณ 84 ล้านคน หรือมากกว่า 25% ของประชากรทั้งหมดได้รับวัคซีนครบทั้ง 2 โดสแล้ว 

การเร่งฉีดวัคซีนเป็นความพยายามในการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ท่ามกลางสถานการณ์ที่เลวร้ายลงอย่างรวดเร็วในหลายประเทศ หลังพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั่วโลกในช่วง 7 วันที่ผ่านมา พุ่งสูงสุดถึง 5.2 ล้านคน ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตสะสมทั่วโลกพุ่งเกิน 3 ล้านคน

Photo : Shutterstock

สหรัฐฯ มียอดผู้เสียชีวิตจาก COVID-19 สะสมมากกว่า 5.67 เเสนราย นับเป็นประเทศที่มียอดผู้เสียชีวิตมากที่สุดในโลก โดยข้อมูล ณ วันที่ 19 เม.. 2020 ระบุว่า สหรัฐฯ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ราว 4 หมื่นราย ส่งผลให้ยอดติดเชื้อสะสมในประเทศรวม 32 ล้านราย จากจำนวนประชากรทั้งหมดราว 332 ล้านราย

ทั้งนี้ วัคซีนที่ฉีดไปเเล้วในสหรัฐฯ กว่า 209 ล้านโดสนั้น ตามข้อมูลของ CDC เเบ่งเป็นวัคซีนของบริษัท Pfizer-BioNTech อย่างน้อย 109 ล้านโดส เป็นของ Moderna อีก 92 ล้านโดส และ Johnson & Johnson อีก 7.9 ล้านโดส

อย่างไรก็ตาม กรณีที่พบเคสลิ่มเลือดอุดตัน ในประชาชนที่ฉีดวัคซีนของ Johnson & Johnson และ AstraZeneca ได้สร้างความสงสัยในประสิทธิภาพของวัคซีน โดยวัคซีนแบบฉีดเข็มเดียวของ Johnson & Johnson ถูกทางการสหรัฐฯ ระงับใช้ชั่วคราวไปเมื่อกลางสัปดาห์ที่แล้ว

แม้อัตราการติดเชื้อในสหรัฐฯ เเละสหราชอาณาจักรจะชะลอลง เเต่เหล่าประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะอินเดียและบราซิล กลับกำลังเผชิญจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังต้องเจอกับไวรัสโคโรนากลายพันธุ์

ตอนนี้ อินเดียและบราซิล มีอัตราการกระจายวัคซีนคิดเป็น 4.5% และ 8.3% ของจำนวนประชากร ตามลำดับ ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับสหรัฐฯ 33% และสหราชอาณาจักร 32%

Photo : Shutterstock

ด้านอิสราเอลเพิ่งประกาศยกเลิกมาตรการบังคับให้ประชาชนสวมหน้ากากในที่สาธารณะเเล้วแต่ยังคงกำหนดให้สวมหน้ากากเวลาอยู่ในอาคารหรือพื้นที่ปิดหลังประสบความสำเร็จอย่างมากในการกระจายวัคซีน

ประชาชนอิสราเอลเกือบ 60% ได้รับวัคซีน COVID-19 ไปเเล้วอย่างน้อยหนึ่งโดสทำให้รัฐบาลมีความเชื่อมั่นว่าสามารถควบคุมการระบาดได้ เเละเตรียมตัวจะเป็นประเทศเเรกที่กำลังเข้าสู่ภาวะภูมิคุ้มกันหมู่ หลังฉีดวัคซีนคิดตามอัตราประชากรได้เร็วที่สุดในโลก โดยเลือกใช้วัคซีนของ Pfizer-BioNTech

 

 

ที่มา : CBS , ABCnews , Bloomberg

]]>
1328304
เจออีก! “ญี่ปุ่น” พบไวรัส COVID-19 กลายพันธุ์ตัวใหม่ เจอในนักเดินทางจากบราซิล https://positioningmag.com/1313606 Mon, 11 Jan 2021 05:12:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1313606 สายพันธุ์ใหม่ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ถูกตรวจเจอในนักเดินทาง 4 คน ที่มาจากรัฐอามาโซนัสของบราซิล จากการเปิดเผยของกระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่น เมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 ม.ค. ถือเป็นตัวกลายพันธุ์ใหม่ล่าสุดที่พบ

เจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่นรายหนึ่ง เปิดเผยว่า อยู่ระหว่างการศึกษาประสิทธิภาพของวัคซีนที่มีต่อตัวกลายพันธุ์ใหม่ล่าสุดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งต่างจากตัวกลายพันธุ์ที่พบครั้งแรกในสหราชอาณาจักร และแอฟริกาใต้ ที่ผลักจำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้น เนื่องจากมันแพร่กระจายเชื้อได้ง่ายกว่าตัวดั้งเดิมหลายเท่า

“ณ ตอนนี้ ยังไม่มีข้อพิสูจน์ว่าตัวกลายพันธุ์ใหม่ที่พบในบุคคลที่เดินทางมาจากบราซิลนั้น แพร่กระจายเชื้อได้ง่าย” ทาคาจิ วาคิตะ ผู้อำนวยการสถาบันโรคติดต่อแห่งชาติกล่าว

กระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่นระบุว่า ในบรรดานักเดินทาง 4 คน ที่เดินทางมาถึงสนามบินฮาเนดะของกรุงโตเกียว เมื่อวันที่ 2 มกราคม ชายคนหนึ่งอายุ 40 ปีเศษๆ มีปัญหาด้านการหายใจ ผู้หญิงในวัย 30 ปีเศษๆ ปวดศีรษะและเจ็บคอ ชายวัยรุ่นมีไข้ และคนสุดท้ายเป็นหญิงสาววัยรุ่น ติดเชื้อแบบไม่แสดงอาการ

นักเดินทางทั้งหมดอยู่ภายใต้มาตรการกักกันโรคที่สนามบินของกรุงโตเกียว ตามการเปิดเผยของกระทรวงสาธารณสุขบราซิล

หลังจากพบเห็นจำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 พุ่งขึ้นอย่างมาก ญี่ปุ่นตัดสินใจประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินสำหรับกรุงโตเกียวและอีก 3 จังหวัดที่อยู่ติดกับเมืองหลวงเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 7 ม.ค.

สถานีโทรทัศน์เอ็นเอชเครายงานว่า จนถึงตอนนี้ ทั่วประเทศมีผู้ติดเชื้อ 289,000 คน ในนั้นเสียชีวิต 4,061 ราย

Source

]]>
1313606
บราซิลเปิดเกาะ Fernando de Noronha แต่รับเฉพาะคนที่เคยติด COVID-19 แล้วเท่านั้น! https://positioningmag.com/1295059 Wed, 02 Sep 2020 15:11:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1295059 บราซิลเปิดเกาะ Fernando de Noronha รับนักท่องเที่ยวอีกครั้งเดือนกันยายนนี้ แต่รับเฉพาะคนที่เคยติด COVID-19 แล้ว พร้อมแสดงหลักฐานยืนยันว่าเคยติดเชื้อจริง

บราซิลเปิดเกาะสวรรค์ Fernando de Noronha อีกครั้งในเดือนกันยายน หลังจากปิดเกาะไปตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมาเนื่องจากสถานการณ์ระบาดของโรค COVID-19 แต่เปิดรับเฉพาะผู้ที่เคยติดเชื้อแล้วเท่านั้น

ซึ่งการที่จะเข้าไปในเกาะ นักท่องเที่ยวต้องแสดงหลักฐานยืนยันว่าตนเคยติดเชื้อ จากชุดตรวจ PCR ซึ่งเป็นชุดตรวจสารพันธุกรรมของไวรัสที่สามารถแสดงผลว่าใครได้รับเชื้อแล้ว ที่ตรวจมาแล้วอย่างน้อย 20 วัน หรือการตรวจภูมิคุ้มกันร่างกาย (Serology test) ที่จะแสดงผลว่าบุคคลนั้นมีภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อโรค COVID-19 หรือไม่

ทั้งนี้จะมีการตรวจผู้ที่จะเข้ามายังเกาะอย่างรัดกุม ผู้ที่เคยติดเชื้อที่เข้ามาจะได้รับกำไลข้อมือที่แสดงตัวตนเพื่อใส่ติดตัวตลอด อีกทั้งนักท่องเที่ยวยังต้องจ่ายภาษีค่าทำนุบำรุงสถานที่ทางธรรมชาติของเกาะด้วย

สำหรับเกาะ Fernando de Noronha เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมและสวยงามในบราซิล เป็นกลุ่มเกาะที่ประกอบด้วยเกาะ 21 เกาะ ตั้งอยู่นอกชายฝั่งรัฐเปร์นัมบูกู ในมหาสมุทรแอตแลนติก อยู่ห่างจากชายฝั่งบราซิล 354 กม. และยังขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม

โดยเกาะแห่งนี้ถูกค้นพบเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม ค.ศ. 1503 โดยนักสำรวจชาวโปรตุเกส Fernando de Noronha เกาะนี้มีป้อมปราการเก่าแก่รวมถึงอาคารประวัติศาสตร์ และยังเคยใช้เป็นสถานที่กักกันนักโทษตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา

ส่วนประเทศบราซิลเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 เป็นอันดับ 2 ของโลกด้วยจำนวน 3,717,156 คน (ข้อมูลจาก WHO) รองลงมาจากอเมริกา

Source

]]>
1295059
ลาตินอเมริกา กำลังเป็น “ศูนย์กลางเเห่งใหม่” ของการระบาด COVID-19 https://positioningmag.com/1280343 Sun, 24 May 2020 10:35:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1280343 WHO ประกาศให้กลุ่มประเทศในลาตินอเมริกา เป็น “ศูนย์กลาง” การระบาดเเห่งใหม่ของ COVID-19 เนื่องจากมียอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยสถานการณ์ในบราซิลนับว่าวิกฤตที่สุดในตอนนี้

นายเเพทย์ Michael Ryan อำนวยการเหตุฉุกเฉินขององค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดเผยว่า ในขณะนี้ทวีปอเมริกาใต้ได้กลายเป็นศูนย์กลางของการระบาดเเห่งใหม่ของ COVID-19 แล้ว และประเทศที่อยู่ในขั้นวิกฤตคือ “บราซิล” ที่มียอดผู้เสียชีวิตเกิน 2 หมื่นราย มีผู้ติดเชื้อสะสมเเล้วกว่า 3.3 เเสนราย ขณะที่เม็กซิโกและเปรู ก็ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงเช่นกัน

โดยล่าสุดบราซิล เป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อมากเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากสหรัฐฯ และรัสเซีย ส่วนยอดผู้ติดเชื้อในอเมริกากลางและอเมริกาใต้ พุ่งสูงเกือบ 5.5 เเสนราย ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อสะสมทั่วโลกตอนนี้เกือบแตะ 5.2 ล้านรายเเล้ว

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ ช่วงอายุของผู้เสียชีวิตเเละผู้ป่วย COVID-19 ในบราซิลเเตกต่างจากหลายประเทศที่จัดให้กลุ่มผู้สูงอายุเเละคนที่มีโรคประจำตัวเป็นกลุ่มเสี่ยง เเต่ผู้เสียชีวิตเเละติดเชื้อในบราซิล ส่วนใหญ่กลับเป็นคนหนุ่มสาว

นายเเพทย์ Ryan วิเคราะห์ว่า สถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นปัญหาในหลายปัจจัย ทั้งระบบสาธารณสุขเเละระบบเศรษฐกิจที่กดดันให้ประชาชนยังคงต้องออกมาทำงานหาเลี้ยงชีพ ท่ามกลางภาวะเสี่ยงของโรคระบาด

สุสานฟอร์โมซาในนครเซาเปาโล เมืองใหญ่ที่สุดในบราซิล กำลังเร่งขุดหลุมฝังศพเพิ่ม เพื่อให้เพียงพอกับการเสียชีวิตของผู้ป่วย COVID-19 ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง คนงานของสุสานแห่งหนึ่งบอกว่า พวกเขาต้องฝังศพวันละ 12 ชั่วโมงติดต่อกันมาหลายวันแล้ว

สำหรับพิธีฝังศพนั้น รัฐบาลอนุญาตให้เฉพาะสมาชิกครอบครัวเท่านั้นที่สามารถเข้าไปภายในสุสานได้ โดยบุคคลอื่นที่มาร่วมไว้อาลัยต้องรอด้านนอก

ขณะที่ประธานาธิบดี Jair Bolsonaro เเห่งบราซิลกำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เรื่องการรับมือ COVID-19 ที่ไม่มีประสิทธิภาพ โดยในช่วงเเรกของโรคระบาด เขาเคยกล่าวว่านี่เป็นเพียง ไข้หวัดธรรมดาเเละร่วมสนับสนุนผู้ชุมนุมฝ่ายต่อต้านคำสั่งล็อกดาวน์ด้วย

นอกจากโซนลาตินอเมริกาที่สถานการณ์กำลังน่าเป็นห่วงเเล้ว “ทวีปเเอฟริกา” ก็กำลังเข้าสู่ช่วงวิกฤต โดยมียอดผู้ติดเชื้อสะสมเเล้วกว่า 1 เเสนราย ใน 54 ประเทศ เเต่ตอนนี้ยอดผู้เสียชีวิตยังอยู่ในระดับต่ำราว 3 พันราย อย่างไรก็ตาม ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดเนื่องจากการระบาดยังไม่ถึงจุดสูงสุด โดยประเทศที่มีความเสี่ยงสูงคือประเทศที่มีระบบสาธารณสุขที่ไม่มีประสิทธิภาพเเละมีความขัดเเย้งภายใน อย่างโซมาเลียเเละซูดานใต้ ซึ่งขณะนี้กำลังมียอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

ที่มา : AFP, euronews , Reuters

]]> 1280343 ไม่เห็นต้อง “ง้อ” อเมริกา! Huawei ประกาศพร้อมลงทุนเกือบ 25,000 ล้านในโรงงานที่บราซิล มุ่งโตในประเทศที่ยินดีต้อนรับ https://positioningmag.com/1242594 Fri, 16 Aug 2019 07:00:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1242594 Huawei ยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีสัญชาติจีน ประกาศจะลงทุนจำนวน 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 24,650 ล้านบาท) ในโรงงานแห่งใหม่ที่เมืองเซาเปาลู (Sao Paolo) ประเทศบราซิล ขณะที่บริษัทเพิ่มความพยายามอย่างหนักในละตินอเมริกา เพื่อเป็นการชดเชยที่ถูกกีดกันออกจากตลาดสหรัฐฯ

Business Insider ออกรายงานว่า เทพเทคโนโลยีการสื่อสารของจีนรายนี้ หยั่งรากลงลึกพอสมควรอยู่แล้วในบราซิล โดยที่ได้ดำเนินกิจการในประเทศนี้มาเป็นเวลากว่า 20 ปี และว่าจ้างพนักงานราว 2,000 คนในโรงงานผลิตอุปกรณ์เครือข่ายการสื่อสารโทรคมนาคมแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในเซาเปาลู

ขณะเดียวกัน ข่าวการลงทุนใหม่ๆ ก้อนโตนี้ก็ปรากฏออกมาท่ามกลางการรณรงค์ต่อต้านคุกคามไม่หยุดหย่อนของคณะบริหารโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ทั้งสกัดกั้นไม่ให้พวกบริษัทอเมริกันทำธุรกิจกับ Huawei และกดดันให้ประเทศต่างๆ แบน Huawei

บุกแดนแซมบ้า สร้างอาณาจักร 5G

ตามรายงานของ O Globo สำนักข่าวชื่อดังของบราซิล ระบุว่า เพื่อที่จะเร่งรัดการสร้างเครือข่ายสื่อสารไร้สาย 5 จี ขึ้นในแดนแซมบ้า Huawei จึงกำลังวางแผนให้สอดรับกับการประมูลคลื่นความถี่ 5 จีของบราซิลซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นในเดือนมีนาคมหน้า โดยบริษัทยังวางแผนจะผลิตสมาร์ทโฟน 5G ในโรงงานใหม่แห่งนี้

บราซิลในปัจจุบันมีฐานะเป็นตลาดสมาร์ทโฟนใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลก ประเทศใหญ่ในละตินอเมริการายนี้ยังจัดเก็บภาษีนำเข้าอย่างหนักจากสมาร์ทโฟน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พวกผู้ผลิตสมาร์ทโฟนจำนวนมาก เป็นต้นว่า Samsung, LG และ Nokia ต่างเข้าไปสร้างโรงงานในบราซิล

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ก็รบเร้ารัฐบาลทั้งหลายทั่วโลกให้ปิดประตูไม่ต้อนรับ Huawei โดยอ้างเหตุผลที่ว่าอุปกรณ์ของบริษัทจีนรายนี้ อาจมีจุดอ่อนทำให้รัฐบาลจีนแอบสอดแนมทำจารกรรม 

ทว่าแม้มีแรงบีบคั้นกดดันจากสหรัฐฯ รองประธานาธิบดีอามิลตง โมเรา (Hamilton Mourao) ของบราซิล ก็เพิ่งแถลงเมื่อไม่นานมานี้ว่า ประเทศของเขาไม่มีแผนการใดๆ ที่จะจำกัดธุรกิจของ Huawei ในบราซิล รวมทั้งไม่สั่งห้ามบริษัทจีนรายนี้เข้าสู่ธุรกิจการสร้างเครือข่าย 5G

อย่างไรก็ดี ประธานาธิบดีชาอีร์ โบลโซนารู (Jair Bolsonaro) ของประเทศนี้ซึ่งขึ้นชื่อลือชาเรื่องมีพฤติการณ์ที่ไม่สามารถคาดการณ์ทำนายล่วงหน้าได้ ยังอาจที่จะแสดงตัวต่อต้านคัดค้านอารมณ์ความรู้สึกต่อแดนมังกรในแง่บวกเช่นนี้ และหันมาเดินตามการนำของสหรัฐฯ ทั้งนี้โบลโซนารูประกาศตัวเองว่าเป็นประธานาธิบดีผู้ฝักใฝ่นิยมอเมริกา” และบอกเรื่อยมาว่าเขาต้องการมีความสัมพันธ์อันผูกพันใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับสหรัฐฯ

ไม่ได้มีแค่ละตินอเมริกายุโรปก็ไป

สำหรับ Huawei นั้น เวลานี้ได้ไปทำความตกลงให้สัญญาลงทุนเป็นจำนวนเงินรวมหลายพันล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างโรงงานใหม่ๆ และสิ่งปลูกสร้างใหม่ๆ ตลอดจนสร้างงานเป็นพันเป็นหมื่นตำแหน่ง ในประเทศทั้งหลายซึ่งให้ความเป็นธรรมในการดำเนินธุรกิจแก่แบรนด์ Huawei

ตัวอย่างเช่น ในอิตาลี Huawei ประกาศแผนการที่จะลงทุน 3,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงเวลา 3 ปีจากนี้ไป และจะสร้างงานใหม่ๆ ขึ้นมา 1,000 ตำแหน่ง แต่เรียกร้องให้ประเทศยุโรปรายนี้มีความเป็นธรรมในการดำเนินการเพื่อสร้างเครือข่าย 5G ของอิตาลีขึ้นมา อันเป็นการเสนอแนะแบบแทบไม่ปิดบังอำพรางว่า อิตาลีควรจะต้องอนุญาตให้ใช้อุปกรณ์ของ Huawei ในเครือข่ายสื่อสารเจเนอเรชั่นหน้าซึ่งจะสร้างขึ้นมานี้ด้วย

ส่วนที่โปแลนด์ บริษัทแถลงว่าจะใช้จ่ายเงินร่วมๆ 3,000 ล้าน ซวอตือ (sloty) (ประมาณ 789 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ในช่วง 5 ปีข้างหน้า โดยระบุด้วยว่าการลงทุนนี้จะขึ้นอยู่กับบทบาทของ Huawei ในการสร้างเครือข่าย 5G ในประเทศยุโรปตะวันออกแห่งนี้

ในอเมริกาใต้นั้น Huawei เป็นบริษัทผู้จัดจำหน่ายสมาร์ทโฟนรายใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 4 ตามหลัง Samsung, Motorola และ Apple โดยมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ 8% ทั้งนี้ตามข้อมูลของ Statcounter

ตลาดอุปกรณ์สื่อสารไร้สายของบราซิล ถูกจับตามองว่ามีโอกาสในการทำรายรับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ตัวเลขยอดจำหน่ายเมื่อนับเป็นเครื่องได้ตกต่ำลงมา สืบเนื่องจากปัจจัยต่างๆ ทางด้านเศรษฐกิจมหภาคก็ตามที โดยตามข้อมูลตัวเลขของ IDC รายรับจากยอดขายโทรศัพท์มือถือในบราซิลในไตรมาสแรกปี 2019 โตขึ้น 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 3,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

การมีโรงงานในท้องถิ่นสามารถช่วยให้ผู้ผลิตมือถือรายนี้ลดราคาผลิตภัณฑ์ของตนลงได้ เนื่องจากไม่ต้องขนส่งอุปกรณ์จากพวกโรงงานของตนในประเทศจีน เรื่องนี้น่าจะเพิ่มเสน่ห์ให้แก่สมาร์ทโฟนของบริษัทขึ้นอีกมาก ในตลาดบราซิลที่มีความอ่อนไหวต่อเรื่องราคา

HarmonyOS แผน 2 ของ Huawei

ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อเร็วๆ นี้ทีมผู้บริหารของ Huawei ได้เปิดเผยแผนสำรองแพลน บีสำหรับอนาคตของยักษ์เทเลคอมจีนรายนี้

ริชาร์ด หยู (Richard Yu) ซีอีโอ Huawei’s Business Group เมื่อเร็วๆ นี้ ได้รีบเปิดตัวระบบปฏิบัติการใหม่ของ Huawei ซึ่งใช้ชื่อว่า HarmonyOS ไปเมื่อไม่นานมานี้

HarmonyOS ไม่ใช่เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับโทรศัพท์มือถือที่จะเข้าแทนที่ Android ทว่ามันถูกออกแบบมาสำหรับทำงานบนอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ อย่างกว้างขวางหลายหลาก ตั้งแต่แทบเลตไปจนถึงโทรศัพท์ทั้งหลาย สมาร์ทวอตช์ ไปจนถึงรถยนต์ และอื่นๆ อีกมากมาย โดยที่ลักษณะสำคัญประการหนึ่งของมันก็คือ มันเป็นระบบปฏิบัติการแบบโอเพนซอร์ซ (open-source)

นี่หมายความว่า พวกโรงงานผู้ผลิตฝ่ายที่ 3 ทั้งหลาย ซึ่งต้องการให้มั่นใจว่า บรรดาอุปกรณ์อินเทอร์เน็ตในทุกสิ่ง” (Internet of Things) ของพวกเขาจะพูดจาติดต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ ได้ สามารถที่จะนำเอา ฮาร์โมนี ไปปรับใช้ได้โดยสะดวก

ขณะที่มีการยืนยันอย่างชัดเจนแล้วว่า พวกอุปกรณ์ของ Huawei ที่วางตลาดอยู่ในปัจจุบัน เป็นต้นว่า สมาร์ทโฟน Huawei P30 Pro ยังคงสามารถที่จะได้รับอัปเดตระบบปฏิบัติการมือถือเวอร์ชั่นหน้าของ Google นั่นคือ Android Q แต่มันไม่มีความกระจ่างเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับอุปกรณ์รุ่นอนาคตต่อๆ ไปของ Huawei

ทางหัวเว่ยเองนั้นพูดชัดๆ มากๆ ว่า บริษัทไม่ได้ต้องการละทิ้ง Android โดยย้ำหลายครั้งว่าต้องการที่จะทำงานกับพวกพาร์ตเนอร์อเมริกันของตนต่อไป การเปลี่ยนไปใช้ฮาร์โมนีจะบังเกิดขึ้นมา ก็ต่อเมื่อหัวเว่ยถูกห้ามไม่ให้ใช้ Android.

Source

]]>
1242594